มู่หนานจือ - บทที่ 406 นินทา
เป็นอย่างที่เจียงเซี่ยนคาดไว้ ไป๋ซู่ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น คำนวณเวลาเปิดประตูเมืองและออกจากเมือง ฟ้ายังไม่สว่างก็มาถึงบ้านของเจียงเซี่ยนที่ภูเขาเสี่ยวทังแล้ว เพราะมาเป็นครั้งแรก จึงไปผิดที่ อ้อมไปรอบหนึ่ง นางรีบร้อนจนเหงื่อออกทั้งตัว เวลานี้นั่งลงที่เก้าอี้กุหลาบไม้จันทน์แดงของโถงบุปผา ดื่มชาที่ไม่เย็นไม่ร้อนอึกหนึ่งแล้ว ใจของนางถึงจะสงบลง แล้วสั่งให้ฉิงเค่อพานางไปล้างหน้ากับเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
ปรากฏว่าพอนางออกมาก็เห็นเจียงเซี่ยนพุ่งเข้ามาเหมือนเด็ก
“จ่างจู!” อาจจะเพราะรีบเดินเกินไป หน้าของนางจึงแดงก่ำ นัยน์ตาเปล่งประกาย นางก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวและกอดไป๋ซู่ “เจ้าเป็นคนแรกที่มาเยี่ยมข้า ข้ายังคิดว่าเจ้าจะมาถึงใกล้ๆ เที่ยง จึงไม่ได้สั่งให้คนของห้องครัวทำอาหารเช้าให้เจ้า ทำแต่อาหารเที่ยง…”
ไป๋ซู่กอดตอบเจียงเซี่ยนแนบแน่น
นางรู้สึกตื่นเต้นมาก
ความตื่นเต้นเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพราะนางได้เจอเจียงเซี่ยนอีกครั้งหลังจากไม่พบกันเป็นเวลานาน มากกว่านั้นคือ นางไม่เห็นเจียงเซี่ยนร่าเริงแบบนี้มาหลายปีแล้ว
ตั้งแต่อายุสิบขวบ เจียงเซี่ยนมักจะเดินและพูดจาอย่างเชื่องช้า เยือกเย็น เหมือนฮูหยินเฒ่าน้อย
แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี ทว่าไม่มีชีวิตชีวาเกินไปแล้ว
ไม่เหมือนเด็กสาว
แต่ตอนนี้เจียงเซี่ยนกลับเหมือนเด็กสาวธรรมดา ไม่เพียงแต่พุ่งเข้ามา ทว่ายังกอดนางอย่างสนิทสนมมากด้วย
แสดงว่า ชีวิตแต่งงานของเจียงเซี่ยนดีมาก...
แบบนี้…ไป๋ซู่ก็วางใจ
นางออกแรงกอดเจียงเซี่ยนทีหนึ่ง ถึงจะปล่อยมือ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ายังไม่รู้ว่าข้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับลาภปากอย่างนั้นหรือ? แค่ข้าวต้มสักถ้วย ผักดองครึ่งถ้วย ก็กินอิ่มได้เช่นกัน หลักๆ คือข้าเป็นห่วงเจ้า ตอนนี้เห็นเจ้าใช้ชีวิตสุขสบาย ดีกว่าเจ้าต้อนรับข้าด้วยอาหารล้ำค่าที่หายากมากเสียอีก”
เจียงเซี่ยนหัวเราะ แล้วจูงมือของไป๋ซู่ไปนั่งลงบนเตียงอรหันต์ในห้อง และถามถึงเรื่องราวหลังจากจากกัน
“ช่วงนี้ข้ากำลังเตรียมสินเดิมอยู่ จึงไม่ค่อยได้ออกไป” ตอนที่ไป๋ซู่เอ่ยถึงเรื่องนี้ยังเขินเล็กน้อย “สินเดิมนั้นเริ่มเตรียมตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้ว แต่ยังมีเพิ่มอีกนิดหน่อย ไทฮองไท่เฟยใช้เงินออมส่วนตัวของตนเองเพิ่มให้ข้า ในมือมีเงินเหลือเฟือ ของก็ซื้อครบและสวยงามเช่นกัน ไม่มีอะไรต้องกังวล แค่หาคนมาตอนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลจินมาถึงเมืองหลวง และแนะนำคุณหนูใหญ่ตระกูลจินให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นสรีจากตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบและชนชั้นสูงในเมืองหลวงแล้ว”
“คุณหนูใหญ่ตระกูลจินเป็นคนฉลาดหลักแหลม ถึงแม้หน้าตาจะทำให้คนอิจฉาง่าย แต่กลับเข้าได้กับทุกฝ่าย รู้ว่าคนไหนสามารถเมินได้ คนไหนไม่ว่าอย่างไรก็ล่วงเกินไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังเป็นห่วงว่านางจะยืนหยัดไม่ได้ คิดว่าต้องหาคนให้นางอีกหรือไม่ ช่วยนางสักหน่อย ใครจะรู้ว่าแค่ครั้งนั้น นางก็ยืนหยัดได้แล้ว”
“ตอนแรกเรื่องแต่งงานกับตระกูลเติ้ง ฮูหยินอันลู่โหวยังลังเลเล็กน้อย”
“ตอนหลังพอเห็นภาพนี้ ก็ตกลงทันที”
“และไม่ว่าจะเป็นของหมั้นหรือสินสอด ต่างก็ไว้หน้าคุณหนูใหญ่ตระกูลจินเต็มที่ ไม่ด้อยกว่าลูกสาวของพวกตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจแม้แต่นิดเดียว เวลานี้ทั้งเมืองหลวงมีใครไม่วิจารณ์ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจินมีวาสนาบ้าง”
ถึงอย่างไรเรื่องนี้เจียงเซี่ยนก็เป็นแม่สื่อตามความต้องการของหลี่เชียน เกี่ยวพันถึงความสุขตลอดชีวิตของหญิงคนหนึ่ง มีผลลัพธ์แบบนี้ เจียงเซี่ยนก็ดีใจมากเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ดี!” นางเอ่ยอย่างรู้สึกดีใจเล็กน้อยว่า “ข้าเป็นห่วงนางมาตลอด”
“เจ้าวางใจเถอะ” ไป๋ซู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหมั้น เติ้งเฉิงลู่เคยเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลจินด้วยตนเองแล้ว”
“เช่นนั้นเรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ตระกูลเติ้งล่ะ?” เจียงเซี่ยนถาม
“ทั้งสองตระกูลต่างพอใจมาก” ไป๋ซู่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ตระกูลไช่จำนวนคนมากมายทรัพย์สินของตระกูลมหาศาล ทรัพย์สินส่วนตัวที่ลูกหลานสามารถใช้ได้ก็น้อย แต่คนสองรุ่นของอันลู่โหวต่างก็บริหารเป็นจนมีชื่อเสียงแล้ว สินเดิมของคุณหนูใหญ่ตระกูลเติ้งไม่น้อย ฮูหยินจิ้นอันโหวเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานนี้ก็บอกว่าต้องขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะกะพริบตา
นี่ก็ถือว่าเป็นเจตจำนงของสวรรค์กระมัง?
นางอดไม่ได้ที่จะกดเสียงให้เบาลงและถามไป๋ซู่ “ท่านพี่อาจ้านล่ะ? ที่บ้านไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานให้เขาหรือ?”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว” ไป๋ซู่เอ่ยเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง “เวลานี้หานถงซินได้ใจทีเดียว ไช่หรูอี้แต่งงานกับจ้าวเซี่ยว เป็นชายาซื่อจื่อจิ้งไห่โหว คนยังไม่ได้ออกเรือน บรรดาศักดิ์ของไช่หรูอี้ก็ลงมาแล้ว ขั้นสูงสุด หานถงซินบอกว่าเป็นเพราะไช่หรูอี้กับนางเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกัน ฝ่าบาทจึงเห็นแก่นาง!”
“ข้าว่าคนที่เชื่อคำพูดของนางมีไม่น้อยเลย!”
“ยังดีที่คนๆ นั้นคือไช่หรูอี้ หากเป็นข้า ข้าต้องทากาวทั้งหน้า นางก็ไม่ดูเช่นกันว่าตนเองเป็นใคร ต่อไปแต่งเข้าไปแล้ว เริ่มใช้ชีวิตในวังจริงๆ ก็รู้ได้ถึงความร้ายกาจแล้ว” เอ่ยถึงตรงนี้ ไป๋ซู่ก็เอ่ยกับเจียงเซี่ยนอย่างจริงจังว่า “เจ้าแต่งไปซานซีได้อย่างไร คนอื่นไม่รู้ หลี่เชียนยังไมว่าหรือ? ทำไมเขาถึงปล่อยให้เจ้ากลับมาอย่างลับๆ? ข้าว่าเจ้าอยู่ที่ภูเขาเสี่ยวทังสักสองสามวัน กินอาหารว่างของเมืองหลวง และวนไปรอบๆ สักหน่อยก็รีบกลับไปเถอะ อย่าให้ฝ่าบาทรู้เชียว ครั้งก่อนข้าอยากเข้าวังไปเยี่ยมไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยก็ถูกแม่นมเมิ่งขวางไว้ ไทฮองไทเฮาคิดว่าตอนนี้มีตระกูลหานแล้ว พวกเราก็ควรจะยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน และปล่อยให้พวกเขาไปกระโดดโลดเต้น…พวกผู้ตรวจการจับตามองตระกูลหวังมาหลายปีก่อน แล้วก็จับตามองตระกูลเฉามาหลายปีแล้ว ก็น่าจะจับตามองตระกูลหานเช่นกัน พวกเราฉวยโอกาสนี้ ทำทุกสิ่งที่ควรทำ ถึงเวลานั้นพอพวกผู้ตรวจการได้สติกลับมา จะได้ไม่เริ่มซุบซิบจนทำให้คนรังเกียจอีก”
เจียงเซี่ยนอดที่จะหัวเราะไม่ได้
ชาติก่อนตระกูลหวัง ตระกูลเฉา และตระกูลเจียงมักจะถูกพวกผู้ตรวจการกล่าวโทษเสมอ ชาตินี้ก็ถึงตาคนอื่นแล้วเช่นกัน
“ข้ารู้แล้ว!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเจอไทฮองไทเฮากับเฉาไทเฮาแล้วก็ไป”
ไป๋ซู่เหมือนกับเจียงลวี่ พอได้ยินว่านางอยากเจอเฉาไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เจ้าอาจจะยังไม่รู้กระมัง เฉาเซวียน...เป็นเสมียนของกรมพิธีการแล้ว…”
นางเอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
เจียงเซี่ยนหัวเราะเสียงดัง และซบลงบนไหล่ของนาง พลางเอ่ยว่า “มิน่าเล่าคนอื่นต่างบอกว่าปากงูไผ่เขียว เหล็กไนบนหางตัวต่อ ทั้งสองสิ่งต่างไม่มีพิษ สิ่งที่มีพิษที่สุดคือจิตใจของสตรี นี่เจ้ายังไม่ได้แต่งไปเลย ก็ทรยศสามีของตนเองแล้ว…”
ไป๋ซู่หน้าแดง และยื่นมือจะไปหยิกแก้มของเจียงเซี่ยน “พูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ? ข้าทรยศเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางหลบ และเข้ามาคล้องแขนของไป๋ซู่ กันไป๋ซู่หยิกนางอีก แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ เฉาเซวียนถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งสำคัญ เฉาไทเฮาต้องเป็นคนออกแรงอย่างแน่นอน แต่ข้ารู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ตระกูลเฉาก็ยืนอยู่ในสถานที่ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด หากเฉาไทเฮาไม่อยู่แล้ว สถานการณ์ของตระกูลเฉาจะลำบากมาก หากเฉาเซวียนสามารถยืนขึ้นมาได้ด้วยกำลังของตนเอง ถึงจะดีกับพวกเจ้าจริงๆ เจ้าก็อย่ามัวแต่กังวลว่านี่เป็นอำนาจของเฉาไทเฮา หากตระกูลเฉามักจะถูกกดขี่แบบนี้ จะต้านทานฝ่าบาทได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเวลานี้ยังมีตระกูลหานด้วย”
“ทำไมข้าจะไม่รู้” ไป๋ซู่พึมพำว่า “บังเอิญเห็นภาพต้นหยางกับต้นหลิวข้างทาง เสียใจที่ปล่อยให้สามีไปรับบรรดาศักดิ์โหว ตอนนี้ข้าไม่ขออะไรทั้งนั้น ขอแค่เขาปลอดภัย”
เจียงเซี่ยนนึกถึงเฉาเซวียนกับไป๋ซู่ในชาติก่อน นางจับมือของไป๋ซู่แน่น แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเข้าใจ! ดังนั้นชาตินี้พวกเราจะไม่เดินทางเก่าในอดีต”
ไป๋ซู่มองไม่เห็นอนาคต
นางเพียงแค่เข้าไปอย่างกระตือรือร้นเพียงฝ่ายเดียว
และไม่เคยเสียใจเลย
นางแค่กังวลว่าตนเองจะทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อน
สายตาของไป๋ซู่มืดมน
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับคิดถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้
————————————–