มู่หนานจือ - บทที่ 64 ซื่อจื่อ
หลี่เชียนทำเป็นเดินเหินไม่สะดวก เซี่ยหยวนซีกับเฉากั๋วจู้ประคองไปที่ประตูวังทางทิศตะวันออก
ระหว่างทางมีคนวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังอยู่ตลอด
แม้หลี่เชียนจะสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยังมองออกว่าสีหน้าเจือความกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย
เซี่ยหยวนซีรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก
แล้วก็ดีใจที่ตนเองติดตามถูกคนแล้ว
ทว่าหลี่เชียนกลับกำลังคิดว่าเขาเป็นแบบนี้ น่าจะรู้ไปถึงหูของเจียงเซี่ยนแล้วใช่หรือไม่?
—
เจียงเซี่ยนได้ข่าวแล้วจริงๆ
ตอนนั้นนางกำลังจะกินข้าวต้ม
มือของเจียงเซี่ยนที่ถือช้อนอยู่ชะงักไป
เฉากั๋วจู้ให้หลี่เชียนคุกเข่าอยู่ตรงนั้นตลอด เพราะอยากให้หลี่เชียนรู้ว่าใครที่เป็นคนที่มีอำนาจและเป็นที่พึ่งให้หลี่เชียนได้หรือ?
เวลานี้เฉาไทเฮายังอยู่ระหว่างทางมาภูเขาวั่นโซ่ว จึงไม่มีทางได้รับข่าว
การทำเช่นนี้ต้องเป็นความคิดของใต้เท้าเฉาผู้นั้นเองอย่างแน่นอน
เฉากั๋วจู้ทำเรื่องให้เฉาไทเฮาพลอยได้ประโยชน์ไปอีกเรื่องแล้ว หูตาว่องไว ลงมือรวดเร็วไม่เบา
นางถอนหายใจเล็กน้อย
ตอนที่เป็นฮองเฮา เฉากั๋วจู้ถูกริบทรัพย์และสังหารทั้งตระกูลไปแล้ว
จะเห็นได้ว่าราชสำนักนี้ยังมีคนมากมายที่แค่ไม่มีโอกาสก็เท่านั้นเอง!
นางวางถ้วยในมือลง และล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก
ฉิงเค่อยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านหญิง จะไปเดินย่อยอาหารในลานสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ขันทีหลิวบอกว่า พวกเราออกเดินทางยามโหย่ว เลี่ยงเรือของไทเฮาได้พอดี”
นี่เป็นสิ่งที่เดิมทีเจียงเซี่ยนรับปากไทฮองไทเฮาไว้
นางได้ยินก็คิด และให้คนเชิญหลิวเสี่ยวหม่านเข้ามา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้าไม่กลับไปแล้ว จะพักที่ตำหนักชิ่งซั่น พรุ่งนี้กลับเมืองหลวงพร้อมกับท่านลุงใหญ่ของข้า”
หลิวเสี่ยวหม่านไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นึกถึงท่าทีของเจียงเซี่ยนเมื่อครู่ ในเมื่อนางเอ่ยปากแล้วก็ไม่มีทางที่จะกลับไปเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตนเองอย่างแน่นอน ทว่าหากไม่กลับไป ไทฮองไทเฮามอบท่านหญิงให้เขาดูแลแล้ว เขาจะอธิบายกับไทฮองไทเฮาอย่างไร
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางแก้ปัญหาให้เขา “เจ้าก็ทูลว่าเฉาไทเฮามาถึงก่อนเวลาแล้วรั้งข้าไว้ หรือไม่ก็ทูลว่าฝ่าบาทรั้งข้าไว้ก็ได้”
หลิวเสี่ยวหม่านฝืนยิ้มออกมา แล้วส่ายหน้าอย่างจนใจและถอยออกไป
เจียงเซี่ยนหัวเราะไม่หยุด
มีแต่คนที่ใส่ใจเท่านั้นที่จะจำใจยอมลงให้นางเพราะรักนางมาก
นางไม่ได้รับความห่วงใยและความรักแบบนี้มานานมากแล้ว
ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับนางในและขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายว่า “พวกเราไปดูกันว่าวันนี้โรงละครที่ตำหนักอี๋เล่อกำลังซ้อมละครเรื่องอะไร?”
ไม่มีใครกล้าขัดนาง
ฉิงเค่อไปเอาเสื้อคลุมขนเฮยเตียว[1]ลายดอกสือย่างจิ่นสีแดงเข้ม ส่วนไป่เจี๋ยสั่งให้นางในนำสิ่งของ เช่น เบาะนั่ง ถังชา กระโถนบ้วนน้ำลาย และเครื่องประทินผิวไปด้วย และหลิวตงเยว่ก็นำทางไปตำหนักอี๋เล่ออย่างยิ่งใหญ่
พวกนางได้ยินเสียงฆ้อง กลอง และเครื่องเป่าดังมาแต่ไกล พอเข้าใกล้อีกนิดก็ได้ยินเสียงร้องงิ้ว
เจียงเซี่ยนหยุดฝีเท้าฟังครู่หนึ่ง และเอ่ยกับฉิงเค่อด้วยรอยยิ้มว่า “นี่กำลังร้อง ‘เฉินเซียงช่วยแม่’ อยู่ น่าจะเป็นเล่มที่ฝ่าบาทพระราชทานให้”
คนที่รับใช้อยู่ข้างกายนางต่างแปลกใจ
ไทฮองไทเฮาชอบเล่นไพ่ไม่ชอบดูงิ้ว เฉาไทเฮาก็ยุ่งเรื่องว่าราชการ ฮ่องเต้เกรงว่าจะถูกอาจารย์และขุนนางใหญ่ในราชสำนักจับตาดู ในวังจึงดูงิ้วน้อยมาก ดังนั้นตอนที่ท่านหญิงบอกว่าจะมาดูกายกรรม ไทฮองไท่เฟยก็อดที่จะพูดแทนท่านหญิงไม่ได้เช่นกัน
ท่านหญิงได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคจากไกลๆ ก็รู้ว่าร้องงิ้วเรื่องอะไรอยู่ได้อย่างไร?
แต่ไม่มีใครกล้าถาม
ไม่เพียงแต่ไม่กล้าถาม ทว่ายังต้องพูดจาเออออตามเจียงเซี่ยนไปด้วย
แต่เรื่องนี้ควรจะตอบอย่างไรกันแน่ ฉิงเค่อ ไป่เจี๋ย และซ่งเสียนอี๋ที่ชีวิตนี้เคยดูงิ้วเพียงสองสามครั้งต่างก็จนปัญญา จนอดที่จะมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่ได้
ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆ ก็มีคนมาเอ่ยข้างๆ ว่า “ฟังเสียงนี้ น่าจะเป็นเสียงของท่านตู้แห่งคณะเหลียนจูจากเจ้อเจียง งิ้วเรื่องที่เขาถนัดก็คือ ‘เฉินเซียงช่วยแม่’ ข้านึกว่ามีแค่ท่านหยวนแห่งคณะสือซานจากเมืองก่วงที่รับราชโองการเข้าเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าท่านตู้ก็รับราชโองการเข้าเมืองหลวงมาเช่นกัน สองวันนี้ตำหนักอี๋เล่อต้องคึกคักมากอย่างแน่นอน”
เป็นเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง และฟังดูคุ้นหูมาก
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วแบบที่น้อยนักจะมีอโอกาสได้เห็น
นางอยู่ที่อุทยานหลวงภูเขาวั่นโซ่ว มีคนกลุ่มใหญ่ติดตามอยู่ข้างหลัง อยู่ไกลกว่าสามจั้งก็สามารถมองเห็นได้
บุรุษอย่างเขาไม่หลบเลี่ยงแล้วยังหาโอกาสคุยกับนาง หากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ
เจียงเซี่ยนหันไปมองตามเสียง
เห็นเพียงชายสามคนยืนอยู่ห่างจากพวกนางไปสิบกว่าก้าว
ชายคนที่เป็นหัวหน้าอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างสูง สวมเครื่องแบบขุนนางปักลายไป๋เจ๋อสีแดงเข้มของขุนนางขั้นสูงสุด ใส่หมวกเจ็ดแถบที่เป็นสัญลักษณ์ของป๋อและโหว หน้าตาท่าทางองอาจห้าวหาญ หน้าผากกว้างจมูกโด่ง ท่าทางสุภาพ สุขุม เยือกเย็น และใจกว้าง เขายืนยิ้มพลางมองเจียงเซี่ยนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง ในความถือดีของทายาทตระกูลสูงศักดิ์ยังเผยความอบอุ่นดั่งอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิออกมาด้วย ดูทะนงตนแต่ยังให้ความรู้สึกสนิทสนม
ชายที่ติดตามอยู่ข้างหลังเขาล้วนอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก คนหนึ่งสวมเครื่องแบบขันที อีกคนสวมเครื่องแบบองครักษ์ ซึ่งต่างยืนอยู่ข้างๆ อย่างเคารพและเชื่อฟัง
เจียงเซี่ยนหางตากระตุก
จ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหว!
คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาเวลานี้
นึกถึงที่จิ้งไห่โหวรีบมอบของให้เฉาไทเฮาตอนที่เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน ทว่าตอนที่นางสำเร็จราชการแทน นางเรียกจ้าวเซี่ยวเข้าเมืองหลวงสิบครั้ง เขาไม่มาแปดครั้ง แถมสองครั้งก็ตั้งใจแสร้งยืนนิ่งเป็นเสาไม้ต่อหน้าพระพักตร์ ดังนั้นจ้าวเซี่ยวในตอนนี้จะอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิแค่ไหน นางก็ไม่สนใจเขาอยู่ดี
เจียงเซี่ยนพยักหน้าให้เขา และไปตำหนักอี๋เล่อต่อ
ถึงจ้าวเซี่ยวจะไม่รู้จักเจียงเซี่ยน แต่อายุและบุคลิกทั้งตัวของเจียงเซี่ยนทำให้เขาอดที่จะถามขันทีที่อยู่ข้างหลังไม่ได้ “ท่านหญิงเจียหนานหรือ?”
ขันทีพยักหน้าและตอบเสียงเบา
จ้าวเซี่ยวแปลกใจเล็กน้อย
เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนที่เติบโตที่วังฉือหนิงถึงจะไม่ถูกปลูกฝังให้เป็นคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเองและขี้ขลาดตาขาวก็จะถูกปลูกฝังให้เป็นคนเงียบขรึมและระมัดระวังรอบด้าน ทว่าตอนนี้ดูเหมือน…นางเป็นคนหยิ่งยโส ไม่เกรงกลัวสิ่งใด และดูถูกทุกสิ่งทุกอย่าง…
ไม่ใช่ว่าวังคุนหนิงกดวังฉือหนิงจนโงหัวไม่ขึ้นหรือ?
ทำไมท่านหญิงเจียหนานยังมีความมั่นใจเช่นนี้?
ความคิดฉายวาบผ่านไป จ้าวเซี่ยวพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
หรือว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนที่เจตนาอื่นแอบแฝงจงใจสร้างขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องราวที่แท้จริงภายในวังหลวงเลยไม่ใช่หรือ? กระทั่งทุกเรื่องที่ได้รับรู้อาจจะเป็นเรื่องลวงทั้งหมด?
จ้าวเซี่ยวเหงื่อตกทั้งตัว
เขาตามอยู่ข้างหลังเจียงเซี่ยนอย่างเสียมารยาทเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน นางค่อยๆ เดินไปเหมือนเช่นเคย และสังเกตทิวทัศน์รอบด้านเป็นระยะ
อ๋องเหลียวมาถึงภูเขาวั่นโซ่วยามอู่ คนที่ติดตามกำลังจัดเก็บสัมภาระ
เขาก็เป็นหนามที่เติบโตอยู่ในใจของเฉาไทเฮา
จ้าวเซี่ยวไม่คิดที่จะติดต่อกับอ๋องเหลียว จึงจำเป็นต้องพาองครักษ์ไปด้วยคนหนึ่ง และเรียกขันทีที่ภูเขาวั่นโซ่วจัดให้รับใช้อยู่ข้างกายมา โดยอ้างว่ามาภูเขาวั่นโซ่วเป็นครั้งแรก และจะไปที่ตำหนักเหรินโซ่วที่ฮ่องเต้พักผ่อน
ไม่คิดว่าจะเจอท่านหญิงเจียหนานที่นี่
ท่านหญิงเจียหนานไม่สนใจเขา เขาก็ไม่เข้าไปชวนคุยเองเช่นกัน แต่เลือกจะตามนางไม่ใกล้ไม่ไกลและไม่รีบร้อนแทน ฉวยโอกาสนี้สังเกตเจียงเซี่ยนอย่างละเอียด
ทว่ายิ่งเขาตามก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น
ท่านหญิงเจียหนานไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว เหมือนเขาก็เป็นผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายนาง ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ดีที่ไม่สั่งเขา ท่าทางเช่นนั้นเหมือนท่านหญิงหัวอ่อนที่ทำอะไรตามคำสั่งของคนอื่นที่ไหนกัน นางแทบจะเหมือนฮองเฮาที่รักและห่วงใยผู้คนทั่วใต้หล้าด้วยความรักของแม่และบัญชาการวังทั้งหก…ไม่สิ นางน่าเกรงขามยิ่งกว่าฮองเฮาเสียอีก…เหมือนเฉาไทเฮาเล็กน้อย…
พอคิดแบบนี้ จ้าวเซี่ยวก็รู้สึกอึดอัดไปหมดทั้งตัว
—————————————–
[1] เฮยเตียว = เซเบิล