มู่หนานจือ - บทที่ 68 นกสองตัว
เจียงเซี่ยนมองถุงเงินนั้นแต่กลับไม่รับ แล้วยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอีกอึก ถึงเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าเก็บมันไว้ให้ดี ตอนนี้ข้าจะเชื่อว่าหลักฐานที่เจ้าบอกอยู่ในถุงเงินนี้ ข้าจะแนะนำทางสว่างให้เจ้าสักทางแล้วกัน”
ซ่งเสียนอี๋สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก น้ำตาร่วงลงมาอีกครั้ง “ท่านหญิง ท่าน…ท่านไม่สนใจข้าแล้วหรือ? เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบัง ข้ากลัวว่าเอาออกมาแล้วจะสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน…”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็เริ่มไม่ชอบซ่งเสียนอี๋ขั้นมาหน่อยแล้ว
ทุกคนไม่ใช่ญาติที่ยากจะตัดความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้เสียหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ความรักที่ก่อตัวขึ้นในยามทุกข์ยากเช่นกัน ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายก็เป็นเรื่องปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะเตรียมรับมือกันและกันอยู่แล้ว แต่นางพูดอย่างชัดเจนแล้ว ซ่งเสียนอี๋ยังแสร้งทำเป็นแสดงความจงรักภักดีอยู่ตรงนี้ นี่จึงทำให้นางหงุดหงิด
บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่นางใช้ชีวิตในชาติก่อนซับซ้อนเกินไป นางจึงชอบคนและเรื่องที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนมากกว่า
เจียงเซี่ยนไม่คิดที่จะสอนซ่งเสียนอี๋ คนแบบซ่งเสียนอี๋ยังไม่คุ้มที่นางจะสั่งสอนโดยเปล่าประโยชน์
“เจ้าก็ไม่ต้องลนลาน” นางเอ่ยแทรกเสียงพูดปนร้องไห้ของซ่งเสียนอี๋ “เจ้าก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ ถึงจะเป็นข้า ก็ทำได้เพียงไปบอกไทฮองไทเฮาหรือไทเฮาเช่นกัน เจ้าเป็นคนฉลาด ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทก็คงจะไม่ให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนี้ และเจ้าก็คงจะไม่ได้กลอนรักที่ฝ่าบาทเขียนให้คนสกุลฟางมาง่ายๆ แน่ เจ้าคิดว่าไทฮองไทเฮากับไทเฮารู้เรื่องนี้แล้ว จะจัดการอย่างไร?”
ซ่งเสียนอี๋นิ่งไป
แน่นอนว่านางรู้
คนสกุลฟางต้องตายเพื่อเกียรติของฮ่องเต้อย่างแน่นอน
ไม่เพียงเท่านี้ พวกคนที่รู้เรื่องก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งรู้ว่าฮ่องเต้จะฆ่านาง นางถึงได้ลนลานขึ้นมา คิดทบทวนหลายครั้งก็เจอท่านหญิงเจียหนานที่ไม่เห็นแม้แต่ฮ่องเต้กับไทเฮาอยู่ในสายตา
และนี่ก็เหมือนเป็นการพนัน ในเมื่อนางเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดกับท่านหญิงเจียหนานก็จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยท่านหญิงเจียหนานแล้ว
“ท่านหญิง” นางกัดฟัน และเอ่ยว่า “ได้โปรดสอนข้าด้วย!”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และเอ่ยว่า “พูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่ยากเช่นกัน สำคัญคือเจ้ากล้าที่จะเสี่ยงเพื่อหาทางรอดหรือไม่”
มาถึงเวลานี้แล้ว ต่อให้นางไม่กล้าจะมีประโยชน์อะไร
ซ่งเสียนอี๋ใจเย็นลง ใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยวจริงจัง และตอบคำเดียวว่า “กล้า” อย่างรวบรัดทว่าหนักแน่น
เจียงเซี่ยนถึงกดเสียงเบาลง และเอ่ยว่า “วิธีที่ดีที่สุดก็คือเจ้าเอาหลักฐานนี้ไปหาไทเฮา…”
ซ่งเสียนอี๋ได้ยินก็อกสั่นขวัญหาย
หากนางสามารถไปหาเฉาไทเฮาได้ก็คงไปตั้งนานแล้ว
เฉาไทเฮาจะต้องให้คนสกุลฟางไปตายอย่างแน่นอน แต่ฮ่องเต้กลับอยากเก็บคนสกุลฟางไว้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร นางก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
เจียงเซี่ยนเห็นก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ส่งทหารไปในสนามรบที่มีแต่ทางตาย แล้วเขาจะสู้อย่างสุดชีวิตจนได้ชัยชนะ’ หรือ? ถึงอย่างไรเจ้าก็มีแต่ตาย ยังจะสนใจว่าตายอย่างไรอีกหรือ? ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ฝ่าบาทจะเอาชนะไทเฮาได้อย่างไร ในเมื่อฝ่าบาทให้นางคลอดเด็กคนนี้ก็จะต้องเก็บคนสกุลฟางไว้อย่างแน่นอน เสือสองตัวสู้กันต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บสาหัส หากทุกคนไม่ไว้หน้า คนที่จะโดนคนดูถูกเหยียดหยามก็คือราชวงศ์ วิธีที่ดีที่สุดก็คือต่างคนต่างถอยคนละก้าว…” นางพูดไปก็โน้มตัวมาข้างหน้า และกระซิบข้างหูซ่งเสียนอี๋ว่า “กำจัดแม่และเก็บลูกไว้…”
ดวงตาของซ่งเสียนอี๋สว่างขึ้นมาในทันใด
กำจัดแม่และเก็บลูกไว้!
ต่อให้กำจัดแม่และเก็บลูกไว้ แล้วเด็กคนนี้จะทำอย่างไร?
ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของราชวงศ์ คงจะทิ้งไปโดยไม่จัดการไม่ได้กระมัง?
แต่หากจัดการ จะจัดการอย่างไร?
การเกิดของเด็กเป็นปัญหาใหญ่?
ถึงอย่างไรก็บอกคนอื่นว่าคนสกุลฟางเป็นคนให้กำเนิดเด็กคนนี้ไม่ได้กระมัง?
หากเป็นเช่นนั้น กำจัดแม่และเก็บลูกไว้จะยังมีความหมายอะไร?
ทว่านางเป็นนางในของวังเฉียนชิง เป็นคนที่รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ รู้เรื่องราวเบื้องหลังแล้วแอบไปแสดงความจงรักภักดีกับไทเฮา…ชื่อของเด็กคนนี้จะบันทึกอยู่ภายใต้ชื่อของนางหรือไม่…นางมีลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมของฮ่องเต้แล้ว ขอเพียงตั้งใจ ค่อยๆ คิดหาทาง…อันจิ้งเฟยของฮ่องเต้เซี่ยวจงก็มาจากนางในเหมือนกันไม่ใช่หรือ? สุดท้ายยังเป็นเซิ่งหมู่ฮองไทเฮา ถึงแม้ตอนที่ฮ่องเต้เซี่ยวจงเสียชีวิต นางจะปลงไม่ตกจนฝังตนเองไปพร้อมกับฮ่องเต้ด้วย ไม่ได้เสวยสุขกับความมั่งคั่งและอำนาจใดๆ แต่นางเป็นผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้องค์ก่อน เวลาคนอื่นเอ่ยถึงคนสกุลอัน ไม่รู้ว่าอิจฉาและเคารพแค่ไหน…
หัวใจของซ่งเสียนอี๋ร้อนขึ้นมา และเอ่ยเสียงเบาทันทีว่า “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไรแล้ว ไว้จบวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว ข้าจะไปหาไทเฮา…”
ถึงเวลานั้นก็คงสายไปแล้ว
เฉาไทเฮาถูกคุมขัง ดูแลแค่ตนเองยังไม่สามารถ ยังจะมีแรงเหลือไปจัดการคนสกุลฟางที่ไหน ต่อให้ตั้งตัวได้และจะจัดการคนสกุลฟาง ใครจะมาเป็น ‘มารดาผู้ให้กำเนิด’ แก่จ้าวสี่ เกรงว่าเฉาไทเฮาก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าเช่นกัน
“เจ้าไปเสียตอนนี้เลยดีกว่า” เจียงเซี่ยนเตือนซ่งเสียนอี๋ “หลังจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮา หากฝ่าบาทต้องการให้เจ้ากลับไป ข้าก็ไม่อาจขวางเขาได้เช่นกัน”
ซ่งเสียนอี๋สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในทันใด และรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า แล้วเอ่ยกับนางว่า “เรื่องอื่น เจ้าก็ต้องตัดสินใจเองแล้วว่า…ไปแล้วจะพูดอย่างไร? เอ่ยปากตอนไหนดี? และจะปลีกตัวออกมาอย่างไร…ถึงข้าจะอยากสอนเจ้าก็สอนไม่ได้เช่นกัน”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ!” ซ่งเสียนอี๋สีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว และคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยน “บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านหญิง ข้าจะไม่มีวันลืม หวังเพียงว่าวันหน้าจะได้ตอบแทน”
หากนางเป็นฮองเฮาแล้ว ซ่งเสียนอี๋จะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน ทว่าหากนางออกจากวังและกลายเป็นท่านหญิงธรรมดาคนหนึ่ง แล้วซ่งเสียนอี๋กลับกลายเป็นสนมของจ้าวอี้ ด้วยนิสัยของซ่งเสียนอี๋ นางจะตอบแทนบุญคุณนี้หรือไม่กัน? และจะตอบแทนอย่างไร? ก็ยังพูดยากจริงๆ
แต่เวลานี้เจียงเซี่ยนกลับยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “เจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน” แล้วก็เรียกฉิงเค่อเข้ามาและส่งซ่งเสียนอี๋ออกไป
เรื่องที่ควรทำนางก็ทำหมดแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอผลแล้ว!
เจียงเซี่ยนถอนหายใจยาวเหยียด หลังจากฟื้นคืนชีพเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก
นางอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาโดยตลอด ไม่มีเรื่องมากเกินไป แล้วก็ไม่ต้องการเสื้อผ้าที่สวยงามหรูหรา ทุกวันนอนจนตื่นเอง ปลูกดอกไม้ แกล้งนกเล่น วันหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว
แต่ชีวิตกลับมักจะไม่เป็นดังที่หวัง
ต่อให้นางฟื้นคืนชีพแล้วก็ยังต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ แสวงหาฐานะและผลประโยชน์ส่วนตัว
บนโลกใบนี้ไม่มีใครได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและอิสระเลยอย่างนั้นหรือ?
นางนึกถึงองค์หญิงหย่งอันมารดาของตนเอง
ท่านพ่อตายแล้ว ท่านแม่รู้สึกว่าฟ้าถล่มลงมาหมดจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ตกเลือดเช่นกัน
แล้วยังอันจิ้งเฟย
ฮ่องเต้เซี่ยวจงเสียชีวิตแล้ว ลูกชายของนางเองเป็นฮ่องเต้ นางกลายเป็นเซิ่งหมู่ฮองไทเฮา เจ้าของที่แท้จริงของวังทั้งหก และสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า แต่กลับอาศัยตอนที่คนไม่สังเกตผูกคอตาย
นางไม่คิดถึงลูกชายของตนเอง ไม่คิดถึงความเจริญรุ่งเรืองในโลกนี้หรือ?
แล้วเจียงเซี่ยนก็นึกถึงตอนที่เมืองหลวงถูกบุกยึดในชาติก่อน ในวังห้ามให้เห็นอาวุธสังหาร นางถือสารหนูอยู่ในมือ นึกถึงการตายของคนสกุลฟาง ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าโชคดีที่ไม่กล้ากินยา หากนางกินยาทันที จะรอจนหลี่เชียนบุกเข้ามาได้อย่างไร…
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่างน้อยเพราะนาง ชาตินี้หลี่เชียนจึงถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย
เรื่องราวยังไม่ถึงตอนจบในท้ายที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร
หากครั้งนี้ท่านลุงล้มเหลว นางควรจะทำอย่างไร?
เฉาไทเฮาต้องคิดบัญชีราชสำนัก จึงยังไม่มีเวลามาสนใจนางชั่วขณะ
ถึงแม้ท่านลุงจะบอกให้นางอดทนกับความอัปยศอดสูชั่วคราว เพื่อการะทำการที่ยากลำบากให้สำเร็จ และต่อไปก็ยกลูกคนหนึ่งให้สืบทอดตระกูลเจียง ทว่านางมีชีวิตอยู่ไปจะมีความหมายอะไร?
ใช้ชีวิตต่อไปเช่นนี้?
ในชีวิตที่เต็มไปด้วยการลอบวางแผนทำร้าย อับจนหนทาง และฝืนอดทน…
เช่นนั้นทำไมนางยังต้องมาเกิดใหม่อีก?
ทว่าหากเลือกความตาย นางควรจะตายอย่างไรเล่า?
นางไม่มีทางกินสารหนูอย่างเด็ดขาด
ปรอท…ได้ยินว่าตายเร็วมาก
ตอนที่ยังไม่อยากฆ่าคนสกุลฟาง ก็ได้ยินว่าสารหนูตายเร็วมากเช่นกัน…
คำเล่าลือล้วนไม่เป็นความจริง
พอเจียงเซี่ยนคิดว่าตนเองอาจจะตายได้ สองขาก็เหมือนอ่อนยวบ
นางเรียกไป่เจี๋ยเข้ามา “ปูเตียงให้ข้า ข้าจะนอนสักตื่น ใครมาก็ห้ามปลุกข้าทั้งนั้น”
บางทีนอนสักตื่น ทุกอย่างก็อาจจะเรียบร้อยแล้ว!
———————-