มู่หนานจือ - บทที่ 83 ความปรารถนา
เฉาไทเฮามองใบหน้าที่ไร้สีของแต่ละคน โทสะในใจลุกไหม้ถึงขีดสุดอีกครั้ง
นี่ก็คือชีวิตหลังจากนางถอยกลับมาอยู่วังหลัง
คนรอบข้างหน้าตาไม่มีความสุข ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม!
เวลานี้จ้าวอี้ต้องกำลังปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางคนสนิทของเขาอย่างภูมิใจมากว่าอีกสักครู่จะพบเหล่าขุนนางใหญ่ที่ช่วยฮ่องเต้บริหารราชการแผ่นดินซึ่งยังตั้งตัวไม่ทันเพียงลำพังอย่างไรอยู่แน่นอน ทว่านางกลับทำได้เพียงเผชิญหน้ากับคนรับใช้เหล่านี้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจเลยว่านางรับมื้อกลางวันไปหรือยัง และยิ่งไม่มีใครสนใจว่างานเลี้ยงวันเกิดของนางเป็นอย่างไร!
นัยน์ตาของนางฉายแววโมโห พลางตวาดว่า “ให้หลี่เชียนมาพบข้า!”
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นางหลับตาไม่ลงด้วยซ้ำ
แต่หลี่เชียนกลับเฝ้าอยู่นอกตำหนักของนางตลอด ทั้งกลัวมีคนวางแผนเข้ามาฆ่าเฉาไทเฮา แล้วก็กลัวมีคนวางแผนฆ่าหลี่เชียนเช่นกัน
ฮูหยินอันเฉิงกล้าชักช้าที่ไหนกัน นางไปเรียกหลี่เชียนเข้ามาทันที
หลี่เชียนก็ไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งแล้วเหมือนกัน สีหน้าแลดูไม่ค่อยดีนัก
เขาคารวะเฉาไทเฮาอย่างเงียบๆ
เฉาไทเฮาส่งสายตาให้ฮูหยินอันเฉิง
ฮูหยินอันเฉิงพาคนรับใช้ในห้องออกไปแล้ว
เฉาไทเฮาถึงชะลอเสียงลง และเอ่ยว่า “เจ้าติดต่อบิดาเจ้าได้หรือยัง?”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เชียนเอ่ยอย่างหดหู่เล็กน้อย “เมื่อวานองครักษ์เฝ้าอยู่นอกตำหนัก กระหม่อมจึงไม่มีโอกาสติดต่อบิดาเลย”
อันที่จริงเขาติดต่อเซี่ยหยวนซีกับเว่ยสู่ได้แล้ว แต่เซี่ยหยวนซีกับเว่ยสู่ต่างเป็นคนของเขาเอง ภูเขาวั่นโซ่วยังเป็นอุทยานหลวง ในเมื่อคนของตระกูลหลี่ของพวกเขาสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ ก็สามารถลอบสังหารราชวงศ์ได้ตลอดเวลา เวลานี้เฉาไทเฮาไม่ว่างคิดทบทวนอย่างละเอียด ไว้พอนางมีเวลาคิดแล้ว นี่ก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามในใจนาง
เฉาไทเฮาพยักหน้า สีหน้าฉายแววสับสน
หลี่เชียนเอ่ยว่า “ไทเฮา อย่าทรงกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่กระหม่อมเจอสหายคนหนึ่งที่ยังพอคุยกันได้ตอนที่กระหม่อมเข้าเวรที่หน่วยองครักษ์แล้ว เขารับปากว่าจะลองติดต่อบิดาให้กระหม่อม แต่ว่าถึงจะติดต่อบิดาของกระหม่อมได้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ในมือของบิดากระหม่อมมีแต่ทหารของกองบัญชาการฝูเจี้ยน ซึ่งก็แค่สิบกว่าคน ใช้การไม่ได้ด้วยซ้ำ ไทเฮาว่าติดต่อเฉิงเอินกงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฉวยโอกาสที่เวลานี้ฝ่าบาทต้องปลอบขวัญขุนนางใหญ่ คิดหาทางเลือกคนที่ไทเฮาไว้ใจได้หลายคนในหน่วยองครักษ์ ถึงเวลานั้นก็ให้มาเฝ้าภูเขาวั่นโซ่ว”
เฉาไทเฮาได้ยินแล้วก็ตาสว่างทันที สายตาที่มองหลี่เชียนฉายแววชื่นชมมากขึ้นอีกเล็กน้อย ความรู้สึกที่กระวนกระวายใจเมื่อครู่ก็สงบลงไปมากทีเดียว
ในยามที่มีอันตรายและมีภัยนี้ ข้างกายยังมีคนที่ไม่กลัวภัยข้างหน้า เยือกเย็นและควบคุมตนเองได้ มีความกล้าและมีแผนการสักคน ก็ถือว่าสวรรค์เหลือทางรอดไว้ให้นางทางหนึ่งแล้ว
นางก็ยิ่งไม่ควรยอมแพ้ถึงจะถูก!
เฉาไทเฮาเอ่ยทันทีว่า “ที่เจ้าคิดก็ถูก” นางพูดอยู่ก็ตะโกนเรียกฮูหยินอันเฉิงเข้ามา และสั่งให้ฮูหยินอันเฉิงนำตราประทับส่วนตัวของนางมา พลางเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “เจ้าเอาไปเป็นหลักฐานยืนยัน คิดหาทางแจ้งเฉาเซวียน ให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงข้า แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับฝ่าบาทมากนักเช่นกัน รีบคิดหาทางเลือกองครักษ์ที่จะเฝ้าภูเขาวั่นโซ่ว” แล้วก็เอ่ยอีกว่า “หากเจ้ามีคนที่ไว้ใจ เวลานี้ก็ต้องแนะนำให้เฉิงเอินกงอย่างเร็วที่สุดเช่นกัน ใช่ว่าข้าช่วงชิงโอกาสที่จะอยู่ภูเขาวั่นโซ่วมาได้แล้ว แต่สุดท้ายกลับสั่งการองครักษ์เหล่านั้นไม่ได้ งั้นที่ช่วงชิงโอกาสที่จะอยู่ภูเขาวั่นโซ่วมาจากฝ่าบาทได้จะมีความหมายอะไร?”
หลี่เชียนประสานมือคารวะพลางขานว่า “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมเข้าใจ กระหม่อมอายุยังน้อย ประสบการณ์ชีวิตน้อย ต่อไปจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
เฉาไทเฮาพยักหน้าอย่างสบายใจ นางมอบตราประทับส่วนตัวที่ฮูหยินอันเฉิงนำมาให้หลี่เชียน แล้วให้ฮูหยินอันเฉิงส่งหลี่เชียนออกไปข้างนอก ส่วนตัวนางเองก็นวดขมับพลางคิดถึงคำพูดของหลี่เชียน
ต้องคิดดูว่าหลังจากนี้ควรจะทำอย่างไรแล้ว
แค่อยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ต่อให้จ้าวอี้ไม่ฆ่านาง นานวันเข้า หากนางไม่กลายเป็นสตรีในวังที่ปล่อยให้จ้าวอี้บงการตามใจชอบ ก็จะถูกจ้าวอี้ที่กลัวนางกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งฆ่า
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ไม่เคยมีคำว่าสามีภรรยา บิดามารดา
นางมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว
แต่จะทำอย่างไรให้จ้าวอี้เกรงกลัวนางล่ะ?
เฉาไทเฮาเงยหน้าขึ้น หางตากวาดผ่านนางในสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าม่านประตู
นางรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
นางตะโกนเรียกฮูหยินอันเฉิง แล้วถามว่า “เห็นซ่งเสียนอี๋หรือยัง?”
ซ่งเสียนอี๋ไม่ใช่คนประเภทที่นั่งรอความตาย ไม่งั้นนางก็คงจะไม่ไปพึ่งพาอาศัยเจียงเซี่ยนก่อน แล้วค่อยมาพึ่งพาอาศัยเฉาไทเฮาเช่นกัน เวลาสั้นๆ เพียงสองวัน ซ่งเสียนอี๋ก็ทำให้ฮูหยินอันเฉิงประทับใจมากแล้ว ฮูหยินอันเฉิงได้ยินเฉาไทเฮาถามถึงซ่งเสียนอี๋ก็เอ่ยอย่างปกป้องนางมากว่า “เด็กคนนั้นยังรู้ความมากทีเดียว ทำน้ำแกงเก๊กฮวยให้ไทเฮาอยู่ในห้องชาเพคะ!”
น้ำแกงเก๊กฮวยเป็นอาหารที่เหล่านางในในวังใช้จัดการกับความหิว ใช้ชาเก๊กฮวยที่ต้มเสร็จแล้วขจัดสิ่งเจือปน ต้มแป้งข้าวเจ้าที่ได้มาจากการโม่ข้าวสุก รสชาติหวานเล็กน้อย และยังแก้ร้อนในได้ด้วย บางครั้งชนชั้นสูงที่รับใช้ข้างกายรับประทานอาหารไม่ทันก็จะแอบต้มถ้วยเล็กๆ มารองท้องถ้วยหนึ่ง
เป็นคนฉลาดจริงๆ ด้วย
ไม่งั้นก็ไม่คงกล้าแฉเรื่องของจ้าวอี้กับแม่นมฟางต่อหน้านางเช่นกัน
เฉาไทเฮาชอบคนฉลาดมาโดยตลอด
“เจ้าให้นางมาพบข้า!” เฉาไทเฮาสั่ง “ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”
ฮูหยินอันเฉิงขานรับและจากไป
ตอนที่หลี่เชียนเข้ามาก็เดินเฉียดผ่านซ่งเสียนอี๋ที่ออกมาจากตำหนักของเฉาไทเฮาไปพอดี
ทั้งสองคนไม่รู้จักกัน ทว่าเวลานี้สามารถปรากฏตัวที่ตำหนักของเฉาไทเฮาได้ ก็แสดงว่าทั้งสองคนต่างเป็นคนสนิทของเฉาไทเฮา
หลี่เชียนพยักหน้าให้ซ่งเสียนอี๋ และเดินเฉียดผ่านไปอย่างเงียบๆ
เฉาไทเฮารู้ว่าหลี่เชียนฝากให้คนไปแจ้งข่าวกับเฉาเซวียนแล้วก็โล่งอก และถามถึงสถานการณ์ในครอบครัวของหลี่เชียน
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ เฉาเซวียนก็มาแล้ว
เขาหน้าตากังวล ไม่มีความเป็นธรรมชาติอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
พอเจอเฉาไทเฮา เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฉาไทเฮาและเริ่มร้องไห้ “เป็นเพราะหลานไม่ได้ความ จึงไม่สามารถแบกภาระอันหนักอึ้งให้เสด็จป้าได้…” หากรู้แต่แรกว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เขาก็ไม่ควรยอมอ่อนข้อให้จ้าวอี้อยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของคนอื่นแล้ว
เขาไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งยืนอยู่ที่อุโบสถของวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วแล้วเตรียมจะอวยพรวันเกิดให้เฉาไทเฮา ถึงรู้เรื่องที่เฉาไทเฮาถูกบีบบังคับให้ยอมทำตาม
เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังตั้งตัวไม่ทัน
เฉาไทเฮาส่ายหน้า สายตาหยุดอยู่ที่หลี่เชียนชั่วครู่ หลี่เชียนเข้าใจได้ด้วยสัญชาตญาณ และกำลังจะลุกขึ้นขอลา ใครจะรู้ว่าเฉาไทเฮาจะเปลี่ยนใจอีก และเอ่ยว่า “หลี่เชียน เจ้าก็อยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ข้ากลัวว่าเจ้าจะเข้ามาพัวพันมากเกินไป แต่คิดดูแล้ว ต่อให้เจ้าไม่รู้อะไรเลย ในสายตาคนอื่นเจ้าก็เป็นคนของข้าอยู่ดี ดังนั้นควรปฏิบัติกับเจ้าเช่นไรก็ยังคงทำเช่นเดิม และให้เจ้ารู้เรื่องไว้ดีกว่า พอเจ้ารู้เบื้องหลังอยู่ในใจแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็มีวิธีรับมืออยู่วิธีหนึ่งเช่นกัน” นางเอ่ยแล้วก็บอกหลี่เชียนเรื่องของจ้าวอี้กับคนสกุลฟาง
ถึงแม้หลี่เชียนจะรู้มานานแล้วก็ยังคงแสร้งทำเป็นตกใจ
แต่เฉาเซวียนตกใจจริงๆ
มุมปากเขาเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบอยู่นานมาก ถึงจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาทฟั่นเฟือนไปแล้วใช่หรือไม่”
เฉาไทเฮายิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทฟั่นเฟือนหรือเปล่า ข้าไม่รู้ แต่พวกเราจะต้องไม่ทำเรื่องโง่เหมือนเขา เรื่องสำคัญที่เจ้าต้องจัดการอย่างเร่งด่วนในเวลานี้คือช่วยข้าคิดหาทางพาคนสกุลฟางมาที่ภูเขาวั่นโซ่ว ข้าเก็บนางไว้จะมีประโยชน์ในภายหลัง หากมีปัญหาเรื่องกำลังคน เจ้าก็ปรึกษาหลี่เชียน”
เฉาเซวียนขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เวลานี้แล้ว เสด็จป้าจะไปยุ่งกับแม่นมฟางทำไมกัน? ”
แต่หลี่เชียนเหมือนจะเข้าใจ เขารับปากอย่างนอบน้อม และยืนรอคำสั่งจากเฉาเซวียนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
ทว่าเฉาเซวียนกลับยังติดใจเรื่องนี้อยู่ “นี่เป็นข่าวอื้อฉาวของฝ่าบาทเอง เสด็จป้าก็ให้ฝ่าบาทแก้ปัญหาเองแล้วกัน พวกคนที่รอให้ฝ่าบาทว่าราชการด้วยตนเองอย่างดีใจมากนั้นจะได้เห็นด้วยตาว่าฝ่าบาทเป็นคนอย่างไรกันแน่!”
——————-