มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 123 มีเรื่องสนุกๆให้ได้ชม
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 123 มีเรื่องสนุกๆให้ได้ชม
คาดว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว มู่เซิ่งมองไปยังไป๋เสี่ยวเสียน
ไอ้หมอนี่ทำความชั่วไว้มากมาย วันนี้กินเห็ดเข้าไปแล้ว จะต้องพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาทั้งหมดแน่
“มองอะไร?ไอ้เศษสวะ เต็นท์ก็ถูกเผาไหม้แล้วยังจะอยู่ตรงนี้ไม่ยอมไปอีก?”
ไป๋เสี่ยวเสียนจ้องมองมู่เซิ่งแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดเย้ยหยัน
มู่เซิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ใกล้จะถึงเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไอ้หมอนี่ถึงมีท่าทางที่ไม่เป็นอะไรเลยล่ะ และตอนที่เขารู้สึกแปลกๆ เจิ้งเสี่ยวซวนและเซียวผิงที่ยืนอยู่ข้างๆไป๋เสี่ยวเสียนสั่นสะท้านทันที สีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
“นางสตรอเบอรี่ คุณคิดถึงผมแล้วหรือเปล่า?”
หลังจากที่เซียวผิงเอ่ยปากพูด ทั้งสถานที่เกิดเหตุตรงนั้นเงียบไร้เสียง กระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยินเสียงเลย
อะไรนะ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ผู้คนตกตะลึงจนพูดไม่ออก มองภาพฉากตรงหน้าอย่างอ้าปากค้าง เพียงแค่รู้สึกว่าเหมือนเกิดคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งในใจ ตอนนี้สังคนชนชั้นสูงเล่นกันเปิดเผยขนาดนี้เหรอ?แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็กล้าทำต่อหน้า?
อีกอย่าง ไป๋เสี่ยวเสียนยังอยู่ที่นี่นะ!
“เซียวผิง แม้ว่าฉันจะทำเรื่องแบบนี้ลับหลังป๋านเสี่ยวเสียนอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ ในที่แห่งนี้มันไม่ค่อยดีนะ?”
เจิ้งเสี่ยวซวนใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าโดนพิษลงลึก พูดแบบไม่คิดแล้ว
เซียวผิงหัวเราะเฮๆ พูดว่า : “กลัวอะไร ตอนเที่ยงพวกเราก็เคยไปทำกันในป่าแล้วไม่ใช่เหรอ?ไอ้ไป๋เสี่ยวเสียนโง่เขลานั่นไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ยังจะช่วยผมอย่างโง่เขลา บอกว่าจะเผาเต็นท์ของมู่เซิ่งให้พังนะ!”
ไป๋เสี่ยวเสียนจงใจจริงๆด้วย!
เจียงหว่านขมวดคิ้ว
แต่ว่าในเวลานี้ ใครยังจะสนใจปัญหานี้ล่ะ พวกเขาแต่ละคนต่างก็อ้าปากค้าง ตกใจกับการกระทำของเจิ้งเสี่ยวซวนและเซียวผิงทั้งสองคนแล้ว
แม่งเอ๊ย นี่ก็กล้าต่อหน้าไป๋เสี่ยวเสียนจริงๆเหรอ?
ในขณะเดียวกันสายตาของพวกเขาก็มองไปยังไป๋เสี่ยวเสียนด้วยความเห็นใจอย่างมาก นี่ก็อนาถเกินไปแล้ว คู่หมั้นยังไม่ได้แต่งงานเข้าบ้าน ก็ถูกสวมเขาเป็นเช่นนี้แล้ว อีกอย่างเห็นท่าทางของเจิ้งเสี่ยวซวน นอกใจที่ไหนกันล่ะ นี่พูดได้ว่าคบชู้สู่ชายแล้ว!
มู่เซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะทันที ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะกินเห็นจนเกลี้ยงแล้ว นอกจากพูดความจริงแล้ว ก็ลงมือเลย ขาดสติแล้ว
เจียงหว่านและโจวเสว่ฉีนิ่งงันเป็นไก่ไม้เลย ในใจตกใจกับพฤติกรรมของทั้งสองคน
เริ่มแรก ไป๋เสี่ยวเสียนก็ไม่ได้ทีปฎิกิริยากลับมา ถึงขั้นคิดว่าทั้งสองคนกำลังล้อเขาเล่น ใครจะทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าผู้คนล่ะ?แต่หลังจากที่เรื่องราวมันดำเนินต่อ ใบหน้าของเขาอัดอั้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลแก่โดยสิ้นเชิง มือทั้งสองข้างกำแน่น ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่
“แม่งเอ้ย นังสารเลว!”
ไป๋เสี่ยวเสียนสาวเท้าพรวดพราดไปเข้าไป ตบไปที่หน้าของเจิ้งเสี่ยวซวน ต่อหน้าผู้คนอย่างหนักหน่วง
“นึกไม่ถึงว่าจะกล้าสวมเขาให้ฉัน?มึงแม่งไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?!”
ในเวลานี้ ไป๋เสี่ยวเสียนจะไปสนใจท่าทางและหน้าตาที่ไหนกันล่ะ ดึงผมของเจิ้งเสี่ยวซวน และก็ลากลงพื้นเลย เขายังต้องการภาพลักษณ์อะไรอีกล่ะ คู่หมั้นของเขาสวมเขาให้เขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาแทบอยากจะฆ่าทั้งสองคนแล้ว
“เป็นเพราะว่าแกมันกากเกินไปไง มีเซ็กส์กันแค่ไม่กี่วินาทีเอง คุณมันขยะ! สุนัขมันยังเอามันส์กว่าคุณอีก!”
เจิ้งเสี่ยวซวนถูกตบล้มลงกับพื้น ด่าทอด้วยท่าทางที่ดุร้าย ในเวลานี้ไม่ว่าจะคำพูดอะไรเธอก็พูดออกมาให้ไป๋เสี่ยวเสียนฟังทั้งหมดแล้ว
ไป๋เสี่ยวเสียนแค่รู้สึกว่าโมโหมากยิ่งขึ้น พูดด่าทอไม่หยุดว่า : “กูจะเอามึงให้ตาย เอามึงให้ตาย!”
“อย่าสิ พี่ไป๋ อย่าโกรธนะ ผมกับเจิ้งเสี่ยวซวนแค่เล่นกันเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดที่จะขอเธอแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านสักหน่อย ท้ายที่สุดก็ให้คุณรับเอาไปแน่นอน”
เซียวผิงห้ามปรามอยู่ข้างๆ คิดอยากจะพูดโน้มน้าว แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเขาเอ่ยปากพูด ก็พูดความในใจออกมาทั้งหมดแล้ว
“เล่นแม่มึงสิ กูเป็นคนที่รับคนไม่ดีต่อจากคนอื่นเหรอ!”
ไป๋เสี่ยวเสียนพังทลายแล้ว ปล่อยหมัดกำปั้นไปที่สองคนอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งชายหาดวุ่นวายไปหมดแล้ว ทุกคนมองดูภาพฉากนี้ มีเสียงหัวเราะ เสียงเยาะเย้ย แถมยังมีคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป เตรียมโพสต์ลงโมเม้นต์วีแชท ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามเลย
“มู่เซิ่ง นี่เป็นละครสนุกๆที่คุณพูดเหรอ?” โจวเสว่ฉีมองดูภาพฉากละครตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะถามว่า เธออยากรู้มาก มู่เซิ่งทำถึงเช่นนี้ได้อย่างไร
หรือว่าเขาวางยาเจิ้งเสี่ยวซวนและเซียวผิงงั้นเหรอ?
“พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเองเท่านั้น”
มู่เซิ่งยิ้มพร้อมพูดกล่าว ถูกภาพตรงหน้าทำให้ขำอย่างเป็นสุขมาก
เห็นมู่เซิ่งมีความสุข เจียงหว่านก็รู้สึกโล่งใจยิ้มอย่างสงบแล้ว
รอยยิ้มเล็กน้อยนี่ตกอยู่ในสายตาของมู่เซิ่ง เพียงแค่รู้สึกราวกับว่าดอกไม้กำลังเบ่งบาน งดงามอย่างไม่สามารถเทียบเทียมได้
“เธอยิ้มแล้วดูดีมากจริงๆ”มู่เซิ่งพูดกล่าว
“กะล่อน”เจียงหว่านเบะปาก ในใจกลับมีความสุขดั่งดอกไม้บานแล้ว
“ฉันพูดความจริงนะ”มู่เซิ่งยิ้มตาหยีพร้อมพูดกล่าว
เห็นภาพฉากนี้ โจวเสว่ฉีไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับว่าเสียใจไม่สบอารมณ์ เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ตอนนี้ก็มืดแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
วันนี้บนชายหาดทะเลาะกันจนวุ่นวายไปหมด พวกมู่เซิ่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทนมองต่อไป กลุ่มพวกเธอหันหลังเดินจากไป เดินไปทางคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว
คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอยู่ข้างนอกสุดของป่า ตอนที่พวกเขาสามคนเดินออกมา ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว
มีโจวเสว่ฉีออกหน้าพูดสาเหตุของเรื่องราวกับหลิ่วผู่คุน บอกว่าไม่ระวังเต็นท์ของพวกเขาถูกไฟไหม้แล้ว หลิ่วผู่คุนตอบตกลง ให้คนใช้จัดเตรียมห้องให้พวกเขาสองห้อง
แต่เวลานี้ ก็มีอีกคนเดินบุกเข้าในจากประตูแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเป็นเซียวผิงที่มอมแมมไปทั้งตัว ศีรษะยุ่งเหยิง มีบาดแผลไปทั้งตัว ดูเหมือนว่ากัดกับหมามายังไงอย่างนั้น
เขากินเห็ดค่อนข้างน้อย ไม่นานก็ได้สติกลับมา รู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลเพียงพอ เพราะงั้นจึงวิ่งออกมาจากป่าเพียงลำพังแล้ว
“พวกแกกำลังทำอะไรกันแน่?ทำจนกลายมาเป็นแบบนี้แล้ว?”
หลิ่วผู่คุนขมวดคิ้ว ท่าทางเช่นนี้ของเซียวผิง ไม่เหมือนมาจากตั้งแคมป์เลยนะ
เห็นท่าทางที่ตกอับของเขา มู่เซิ่งอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา
เซียวผิงมองมู่เซิ่งด้วยความโมโหแวบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าไอ้เศษสวะคนนี้จะกล้าหัวเราะเยาะเขา หลังจากนั้นเขาพูดว่า : “คุณชายหลิว ตอนที่ฉันเล่นไม่ระวังหกล้มแล้ว เพราะงั้นจึงมีสภาพแบบนี้”
มู่เซิ่งมองอย่างมีความสุข ขี้เกียจที่จะเปิดโปงเขา
“ก็ได้ แต่ว่าแกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ อย่าทำให้บ้านฉันสกปรก”
หลิ่วผู่คุนขมวดคิ้ว ถึงยังไงเที่ยวตามชานเมืองในครั้งนี้ก็เป็นอาณาเขตของเขา เขาจะต้องรับผิดชอบ
“ขอบคุณคุณชายหลิว”
เซียวผิงซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง มองดูมู่เซิ่งด้วยใบหน้าที่ดูถูก แทบอยากจะลากเขาไปไกลกว่าสิบเมตร
ผู้คนเดินตามหลิ่วผู่คุนไปในห้อง
“ว้าว นี่คือไม้กฤษณาเหรอ?สวยมากเลย”
ตอนที่เดินผ่านตู้โชว์กระจก โจวเสว่ฉีหยุดลงทันที มองไปยังไม้ในตู้ สีหน้าท่าทางชื่นชม
“มีสายตาที่เฉียบคมมาก ไม้กฤษณานี้มีอายุยาวนานมาก หล่อลื่นดี เป็นไม้กฤษณาใจม่วงที่ล้ำค่าอย่างมากในสกุลกฤษณา !”
เห็นโจวเสว่ฉีชื่นชม หลิ่วผู่คุนเผยสีหน้าท่าทางอิ่มอกอิ่มใจ “ไม้กฤษณานี้ มีชายวัยรุ่นคนหนึ่งมองมันออกนะ”
“ชายวัยรุ่นผู้นั้นจะต้องมีสายตาที่เฉียบคมมากสินะ?นึกไม่ถึงว่ามองไม้เช่นนี้ออก”โจวเสว่ฉีมีสีหน้าประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่มองไม้นี้ออก อายุยังน้อย
อย่างที่รู้ การพินิจพิเคราะห์ไม้เหมือนพินิจพิเคราะห์ของล้ำค่า จะต้องเรียนรู้ฝึกฝนกว่าหลายสิบปีเป็นเรื่องที่ยากจะสำเร็จ
หลิ่วผู่คุนพยักหน้า มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน “อีกอย่าง ชายวัยรุ่นคนนี้มอบไม้ชิ้นนี้ให้พ่อของฉันกึ่งขายกึ่งให้ฟรี ราวกับว่าไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ฉันคาดเดาว่า เขาต้องมีตัวตนไม่ธรรมดาแน่ ไม่แน่เป็นบุคคลใหญ่โตที่มาจากเมืองเยียนจิง”
จากที่พ่อของเขาบรรยาย พฤติกรรมและวิธีการของชายวัยรุ่นคนนั้น แม้แต่หลิ่วผู่คุนก็รู้สึกเคารพเลื่อมใส
ผู้คนต่างก็เผยสีหน้าที่ตกใจอย่างมาก ไม้กฤษณานี้นึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องราวอยู่ข้างในด้วย
และในเวลานี้ มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดนิ่งๆ ขัดจังหวะการชื่นชมของผู้คน : “คุณชายหลิว ถ้าหากคุณไม่อยากให้ไม้กฤษณานี่พังล่ะก็ ก็เอาออกมาจากในตู้กระจกนี้แล้วกัน”
น้ำเสียงของมู่เซิ่งสงบนิ่ง สะท้อนเสียงภายในห้องโถง
ผู้คนตกตะลึง สายตาเฉื่อยชา
เขาพูดว่าอะไร?