มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 125 ช่วยด้วย
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 125 ช่วยด้วย
ไม่เพียงแค่หลิ่วผู่คุน ผู้คนต่างก็มองภาพฉากนี้อย่างตกใจอย่างมาก
เซียวผิงเผยรอยยิ้มที่ร้ายกาจบนใบหน้า ราวกับว่าเขาเห็นภาพที่ผู้นำตระกูลหลิ่วโมโห ลงมือต่อหน้าผู้คน ตบมู่เซิ่งให้คุกเข่าขอร้องแล้ว
“น้องมู่ คุณมาที่นี่ ทำไมไม่พูดกับฉันสักคน ฉันก็ได้เตรียมตัวสักหน่อย”
หลิ่วมู่เซิงเดินมาตรงหน้าของมู่เซิ่ง ท่าทางเคารพ เอ่ยปากพูดกล่าว
“ก็แค่มาเที่ยวกับภรรยาที่นี่ ก็ไม่ได้คิดว่าจะแจ้งให้คุณทราบ” มู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับกล่าว
ในคฤหาสน์เงียบสงัด แม้แต่หลิ่วผู่คุนก็ไม่มีปฏิกิริยายาตอบสนองกลับมา มองดูภาพฉากนี้อย่างอึ้งๆ
พ่อของเขามีภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามอย่างมากมาตลอด เคยเห็นเป็นมิตรกันเองขนาดนี้เมื่อไหร่กัน?
“พะ……พ่อ เขาเป็นใคร?” หลิ่วผู่คุนพูดถามอย่างติดอ่าง
“เขาเป็นเจ้าของที่พ่อบอกว่ามอบไม้กฤษณาชิ้นนี้ให้ฟรีๆ เพื่อนสนิทของพ่อมู่เซิ่ง”
หลิ่วมู่เซิงจ้องมองหลิ่วผู่คุน พูดว่า “แกยังไม่รีบแสดงความเคารพคุณมู่อีก?”
“เขา เขาเป็นเจ้าของไม้กฤษณาชิ้นนี้จริงๆ……” หลังจากที่ได้รับการยืนยัน หลิ่วผู่คุนตะลึงแล้ว เพียงแค่รู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ยืนงงอยู่ตรงนั้น
เจียงหว่านก็เช่นกัน แม้รู้ว่ามู่เซิ่งไม่ธรรมดา แต่ก็ค่อนข้างรับภาพตรงหน้าไม่ได้
ตระกูลหลิ่ว ตระกูลกู่ ท่านหลง ตระกูลอู๋……แต่ละตระกูลก็เป็นตระกูลชั้นยอดของเจียงหนาน มู่เซิ่งเขารู้จักได้ยังไง?
“เป็นไปไม่ได้ เขาจะเป็นเจ้าของไม้กฤษณาชิ้นนี้ได้ยังไง นี่ต้องเข้าใจผิดแน่!” เซียวผิงส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง ตะโกนเสียงดัง
“ไม่จริ๊ง!”
หลิ่วมู่เซิงขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเซียวผิงอย่างโหด พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า : “แกถือว่าเป็นอะไรกัน?กล้ามาพูดจาตรงนี้?ตบปาก!”
“ครับ!”
หลิ่วซุนพยักหน้า วินาทีต่อมา ขยับตัวทันที
เห็นแค่เขาก้าวเท้าเล็กน้อย เผยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้ออกมาอย่างไม่มีข้อสงสัย ปรากฏตรงหน้าเซียวผิงทันที ตบปากอย่างหนักหน่วง
เปรี๊ยะ!
เปรี๊ยะ!
เปรี๊ยะ!
ตบไปที่หน้าของเซียวผิงสามฉาด แรงเยอะ ใบหน้าของเซียวผิงบวมทันที ปูดออกมา เลือดสดไหลออกจากปาก
แต่เขาทำได้เพียงยืนอย่างตกตะลึง ไม่กล้าโต้ตอบ
นี่คือหลิวซุนปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้ ที่ฟังแค่คำสั่งของหลิ่วมู่เซิง!
หลังจากหลิ่วซุนลงมือ ภายในห้องโถง ก็เงียบสนิทโดยสิ้นเชิง
“น้องมู่ ทำให้คุณเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”
หลิ่วมู่เซิงหัวเราะเหอะๆ พูดว่า : “ไม่ทราบว่าที่ไอ้ลูกชายพูดเมื่อกี้นี้ว่า น้องมู่คุณบอกว่าไม้กฤษณานี้กำลังจะพังแล้ว มันหมายความว่าอะไรกันแน่?”
“ง่ายมาก ถอดที่ครอบกระจกออกมา”
มู่เซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หลิ่วมู่เซิงรีบก้าวเข้าไปทันที ถอดที่ครอบกระจกใสๆลงมาวางบนพื้นอย่างระวัง และก็ถือไม้กฤษณามาตรงหน้าของเซิ่งมู่ พูดอย่างเคารพว่า : “คุณมู่ เชิญคุณพูด”
มู่เซิ่งไม่ดูเลยสักแวบเดียว พูดอย่างนิ่งๆว่า : “พลิกมันดูคุณก็รู้แล้ว”
ตกตะลึง หลิ่วมู่เซิงพลิกไม้กฤษณาอย่างระมัดระวัง ตะลึงทันที
เห็นแค่ด้านหลังของไม้กฤษณา กับตำแหน่งที่สัมผัสกับโครงไม้ มีรอยแตกปกคลุมอยู่อย่างแน่นหนา รอยแตกลึกมาก เกรงว่าวางโชว์ไว้ไม่นาน ไม้กฤษณานี้ก็จะแตกเป็นสองส่วนโดยสิ้นเชิง!
“นี่ นี่……
หลิ่วมู่เซิงเห็นก็ตกตะลึงแล้ว
ไม้กฤษณานี้ กลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
มู่เซิ่งยิ่งอย่างนิ่งๆ เอาคำพูดที่หลิ่วผู่คุนพูดก่อนหน้านี้ พูดซ้ำอีกครั้งแล้ว
หลิ่วมู่เซิงเข้าใจได้โดยทันที
“เป็นฉันโง่เขลาแล้ว ทำธุรกิจไม้มาหลายสิบปี ไม่ได้คาดคิดถึงปัญหานี้เลย ถ้าหากไม่ใช่คุณมู่ ครั้งนี้ก็เสียหน้ามากแล้ว!” หลิ่วมู่เซิงซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก
พรุ่งนี้เขายังคิดจะจัดงานเลี้ยงอีก เชิญตระกูลมากมายมาชมไม้กฤษณานี้ที่เขาได้รับมา ถ้าหากถึงตอนนั้นไม้กฤษณาหักเป็นสองท่อน เขากลายเป็นเรื่องน่าขำในตระกูลชั้นนำอย่างแน่นอน
แต่แม้ว่าเป็นเช่นนี้ รอยแตกมากมายปกคลุมบนไม้กฤษณาเช่นนี้ ก็จะทำให้ไม้ชิ้นนี้มีมูลค่าลดลงกว่าหลายสิบล้านแล้ว
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” มู่เซิ่งโบกไม้โบกมืออย่างนิ่งๆ
หลิ่วมู่เซิงยิ่งซาบซึ้งใจมาก ตอนที่อยู่ในงานประมูลนั้น มู่เซิ่งมองปัญหาของภาพม้วนออกตั้งแต่แวบแรก ตอนนี้อยู่ที่ตระกูลหลิ่ว ก็ชี้ให้เห็นเลยว่าไม้กฤษณานี้กำลังจะแตก ความสามารถระดับนี้ สุดยอดจริงๆ แม้ว่าเขาดูไม้ทั้งชีวิต ก็ไม่เก่งได้สักหนึ่งในหมื่นของมู่เซิ่ง
“ขอบคุณคุณมู่ เมื่อกี้ไอ้ลูกชายไม่มีมารยาท กลับไปฉันจะสั่งสอนเขาให้ดีๆสักยกแน่นอน”
สีหน้าของหลิ่วผู่คุนซีดขาวราวกับกระดาษ คำพูดของพ่อเขา ไม่ได้พูดล้อเล่น
ลุงหลิ่วลงมือสั่งสอนเขา คาดว่าต่อไปเขาคงลงจากเตียงไม่ได้หนึ่งอาทิตย์แน่
แต่ว่าเขาไม่กล้าคัดค้าน ใครใช้ให้ตัวเองไม่ฟังมู่ซิ่งพูดล่ะ?
ลำดับต่อมา หลิ่วมู่เซิงจัดเตรียมห้องพิเศษให้มู่เซิ่งและเจียงหว่านพวกเขาสามห้องแล้ว
โจวเสว่ฉีเห็นห้องที่งดงาม รู้สึกเหมือนกับฝันเลย คนที่เป็นเพื่อนกับหลิ่วมู่เซิงได้ ตำแหน่งไม่ต่ำต้อยแน่ เพียงแค่เขาแปลกประหลาดมาก ทำไมโลกภายนอกถึงพูดว่าเขาเป็นลูกเขยที่ไม่มีค่าอะไรเลยล่ะ?
หลังจากที่เข้ามาในห้องเจียงหว่านอนลงบนโซฟา เธอเดินกับมู่เซิ่งมาทั้งวัน ปวดเมื่อยทั้งสองขา เดิมทียังคิดอยากจะไปคุยเล่นกับมู่เซิ่ง สุดท้ายหลังจากที่ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
วันรุ่งขึ้น
เขตทัศนียภาพตระกูลหลิ่ว
วันนี้อากาศดีมาก แสงแดดจ้ามาก
เพียงแค่ในกลุ่มคน นอกจากมู่เซิ่งเจียงหว่านและโจวเสว่ฉีทั้งสามคนแล้ว คนอื่นๆล้วนแต่หงอยเหงาซึมเซาทั้งนั้น ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ยุงค่อนข้างเยอะ แม้ว่าลูกเศรษฐีกางเต็นท์แล้ว แต่พวกเขากางแต่ไม่แน่นเลยสักนิด ไล่ยุงทั้งคืนก็เสียพลังงานไปเยอะมากแล้ว แม้ว่าเป็นเช่นนี้ บนตัวของแต่ละคนต่างก็เต็มไปด้วยตุ่มยุงกัด มองดูแล้วน่าอนาถเหลือเกิน
มู่เซิ่งรู้สึกขำ เป็นอย่างที่คิดไว้พวกลูกเศรษฐีที่ชีวิตอยู่ดีกินดี แม้แต่ยาไล่แมลงของแบบนี้ก็ไม่เตรียมมา เห็นป่าเป็นสวนดอกไม้หลังบ้านตัวเองจริงๆ
หลังจากนั้นเมื่อขับรถบัสมา ผู้คนพุ่งตัวขึ้นไปเพื่อแย่งที่จะเป็นคนแรก นั่งกันเต็มรถบัส
ลูกเศรษฐีกลุ่มนั้นไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่นานก็นอนหลับสนิทกันแล้ว
พวกมู่เซิ่งทั้งสามกลับว่ากระปรี้กระเปร่ามาก นั่งว่างๆอยู่บนรถจนเบื่อ เริ่มเล่นเกมต่อกรจ้าวดินแดน
และตอนที่พวกเขากำลังเล่นอย่างถึงอกถึงใจ จู่ ๆคนขับรถก็เบรกรถกะทันหัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ามู่เซิ่งประคองไว้ได้ทัน เจียงหว่านล้มลงพื้นแล้ว แต่ว่าโจวเสว่ฉีไม่มีใครประคอง ก้นกระแทกพื้นอย่างแข็งกร้าว
นี่ทำให้โจวเสว่ฉีโมโหอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเธอมีทรวดทรงองค์เอว ไม่แพ้เจียงหว่านนะ!
“แม่งเอ้ย ขับรถยังไงล่ะ?”
เบรกรถนี้ทำเอาลูกหลานครอบครัวร่ำรวยที่นอนหลับสนิทตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจไปโดยปริยาย ไป๋เสี่ยวเสียนพูดด่าว่า : “ไม่เห็นว่ากูกำลังนอนหลับอยู่เหรอ?ยังจะมาขับรถแบบนี้ แกรนหาที่ตายหรือไง?”
“ใช่ กูนอนอยู่นะ!”
“ตระกูลไหนเชิญคนขับรถคนนี้มา?รีบไล่เขาออกไปเลยนะ”
“จริงด้วย น่ารำคาญจริงๆ!”
ลูกหลานครอบครัวร่ำรวยสามสี่คนตะโกนพูดพร้อมทั้งมีเส้นเลือดแดงปรากฏขึ้นนัยน์ตา โมโหอย่างมาก
คนขับรถนั่นสีหน้าไร้เดียงสา พูดว่า : “คุณชายไป๋ ไม่เกี่ยวกับผมนะ มีคนขวางทางอยู่ข้างหน้าแล้ว ผมกลัวว่าจะชนคนเข้าถึงได้หยุดรถกะทะนหัน”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ผู้คนเดินไปดูข้างหน้าทันที
เห็นแค่นอกรถบัส มีคนยืนอยู่สองคนจริงๆด้วย
ผู้ชายหนึ่งในนั้นแบกผู้หญิงคนหนึ่งไว้ เลือดเต็มศีรษะ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บแล้ว
ชายหนุ่มคุกเข่าตรงหน้ารถบัส เอ่ยปากอย่างรีบร้อน พูดว่า : “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”