มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 161 จ้าวหลินที่หวาดกลัว
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 161 จ้าวหลินที่หวาดกลัว
พรึบ!
มู่เซิ่งยกมือขึ้น ในความรวดเร็วนั่น ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นมองเห็นเพียงแค่แสงสีแดงสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาตรงหน้าเท่านั้น
เจียงเทาฉินที่ยังคงวิงวอนร้องขอชีวิตอยู่นั้น ร่างทั้งร่างพลันสั่นเทาขึ้นมาในตอนนั้นทันที ก่อนจะฟุบลงไปกับพื้น
“ตาย…ตายแล้วหรือ?”
อู๋ชิวอี๋กำลังมองฉากนี้อยู่ รู้สึกว่าทั้งร่างล้วนเย็นยะเยือกไปหมด
นี่คือแฟนหนุ่มของเธอเชียวนะ เป็นคนของตระกูลเจียงนะ!
แต่กลับถูกมู่เซิ่งสังหารในทันทีเสียแล้ว?
เขาไม่กลัวว่าจะไปล่วงเกินทั้งตระกูลเจียงเลยหรือไง!
หรือ หรือจะบอกว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้นำตระกูลเจียงมาไว้ในสายตาเลย?
อู๋ชิวอี๋หันศีรษะกลับมา สบตามองเห็นนัยน์ตาเย็นยะเยือกของมู่เซิ่ง เข่าทั้งสองข้างพลันอ่อนแรง คุกเข่าลงไปกับพื้นเสียงดังปึก “อย่าฆ่าฉัน ฉันก็แค่มาด้วยกันกับเขา ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นเลยนะ”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นเลยหรือ?” มู่เซิ่งหัวร่อพลางกล่าว เสียงบางเบาเป็นอย่างมาก ทว่าไม่ว่าใครก็สามารถได้ยินกันทั้งสิ้น ว่าในน้ำเสียงของเขามีจิตสังหารเข้มข้นแฝงอยู่!
ทั่วทั้งร่าง อู๋ชิวอี๋สั่นเทาทันที แทบจะฉี่ราดอยู่แล้ว
“ตุ๊บ!”
มู่เซิ่งเตะกรรไกรเล่มหนึ่งไปตรงหน้า อู๋ชิวอี๋กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก่อนหน้านี้คุณคิดกรีดหน้าภรรยาผมอย่างไร ตอนนี้ก็กรีดหน้าตัวเองอย่างนั้นเถอะ”
“ฉัน ฉันผิดไปแล้ว ขอร้องคุณล่ะมู่เซิ่ง ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันรู้ผิดแล้วจริง ๆ” อู๋ชิวอี๋คุกเข่าโขลกศีรษะบนพื้นไม่หยุด
ถึงแม้ว่าเธอจะเติบใหญ่มาไม่สะสวยเท่าเจียงหว่าน บุคลิกเองก็ธรรมดาสามัญ ทว่ารูปลักษณ์เองก็ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางขึ้นไปเหมือนกัน การคบหาเพื่อนฝูง เธอก็อาศัยใบหน้านี้กินข้าว หากถูกกรีดยับแล้วล่ะก็ เช่นนั้นชีวิตหลังจากนี้จะไม่ต้องย่อยยับไปทั้งหมดแล้วหรือไร
อู๋ชิวอี๋ไม่มีทางที่จะยอมรับฉากจบเช่นนี้
“คุณไม่อยากลงมือหรือ?”
มู่เซิ่งยกยิ้มราบเรียบหนึ่งสาย ย่อเอวลง หยิบกรรไกรบนพื้นขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมช่วยคุณลงมือก็แล้วกัน”
“ไม่ ไม่ต้อง มู่เซิ่ง ฉันทำเอง!”
อู๋ชิวอี๋ลนลานแล้ว เธอลงมือเองยังสามารถเบาได้นิดหน่อย หากให้มู่เซิ่งลงมือละก็ ผลลัพธ์นั้นเธอไม่กล้าที่จะจินตนาการอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีโอกาสได้เสียใจในภายหลังแล้ว
เห็นเพียงแค่มู่เซิ่งหยิบกรรไกรขึ้นมา กรีด ๆ ลงไปสองครั้ง บนใบหน้าของเธอก็มีรอยมีดหลายรอยแล้ว โลหิตสด ๆ สีแดงก่ำไหลทะลักออกมาจากปากแผลทันที
“ไสหัวไปเถอะ!” มู่เซิ่งโยนกรรไกรทิ้ง กล่าวอย่างเย็นชา
อู๋ชิวอี๋รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนใบหน้าเท่านั้น ทว่าเดิมก็ไม่กล้ากล่าวคำมากความ ทำได้เพียงแค่กุมปรางแก้มเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตะบึงออกไปจากประตูคฤหาสน์ทันที
เธอต้องไปโรงพยาบาล ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!
ถึงแม้ว่าจะทราบดีว่าใบหน้านี้อาจไม่สามารถชดเชยได้แน่ ๆ ทว่าอย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่คิดอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยมีรอยแผลเป็นประดับบนใบหน้า
รปภ.ประตูเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยโลหิตวิ่งออกมาจากด้านใน ดังนั้นจึงตกใจไปหนึ่งหน หลังจากนั้นก็พบว่าผู้หญิงคนนี้กลับเป็นคนที่เคยก่นด่าเขาในตอนก่อนหน้านี้ ภายในหัวใจของเขาตกตะลึงอย่างไร้เทียบเทียม ผู้หญิงคนนี้โอหังลำพองตนขนาดนี้ที่นี่ สุดท้ายแล้วเป็นใครกันแน่นะที่ทำจนเธอมีสภาพแบบนี้?
แต่เรื่องนี้นั้น เขาไม่กล้ายุ่งวุ่น
อย่างไรเสียหากเจ้าของคฤหาสน์ไม่ได้กล่าวคำ ขอเพียงแค่เขาปฏิบัติงานดูแลประตูใหญ่ของตนเองให้ดีก็เพียงพอแล้ว
“มู่เซิ่ง นี่…มันจะเกินไปหน่อยแล้วหรือเปล่าคะ” เจียงหว่านสบตามองฉากหนึ่งตายหนึ่งเจ็บ เอ่ยถามเสียงเล็กที่ข้างใบหู
“เกินไปหรือครับ?”
มู่เซิ่งหันศีรษะกลับมา ในน้ำเสียงแฝงจิตสังหารเอาไว้อยู่ “หากฉันกลับมาช้ากว่านี้อีกนาทีเดียว เช่นนั้นคนที่จะมีรอยแผลเป็นบนหน้าก็คือเธอ เธอยังรู้สึกว่าฉันทำแบบนี้มันเกินไปอยู่อีกไหมครับ?”
เจียงหว่านได้ยินดังนั้นจึงอดที่จะก้มศีรษะลงไม่ได้
มู่เซิ่งกล่าวไม่ผิด
ฉากในตอนก่อนหน้านี้ที่ อู๋ชิวอี๋ถือกรรไกรอยู่นั้น ล้วนไม่คล้ายคนใจอ่อนอย่างสิ้นเชิง หากมู่เซิ่งกลับมาช้ากว่านี้อีกสักนิดแล้วละก็ เช่นนั้นผลสุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะคาดคิดได้เลย!
“เตาจั๋ว!”
มู่เซิ่งโบกมือไปมาพลางร้องกล่าว
ทุกคนถึงได้พบว่าเดิมทียังมีชายฉกรรจ์รูปร่างราวกับเจดีย์เหล็กคนหนึ่งอยู่อีกด้วย ยืนอยู่ที่ปากประตูมาโดยตลอด เขาถอดรองเท้าออก ก่อนจะวิ่งมาตรงหน้ามู่เซิ่ง กล่าวว่านอบน้อมว่า “คุณชายมู่ ผมอยู่นี่ครับ”
ในดวงตาของเขา นอกจากความเชื่อฟังแล้วยังมีความยำเกรงเข้มข้นอีกด้วย
เดิมเขานึกภายในใจว่าเจ้านายของตนเองเป็นเพียงแค่คุณชายตระกูลร่ำรวยธรรมดาสามัญผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่าเหตุใดเขาถึงคิดไม่ถึงกันนะ ว่ามู่เซิ่งกลับมีฝีมือเช่นนี้อยู่ ปฏิบัติต่อเจียงเทาฉินอย่างไร้ความปรานี นั่นจึงทำให้ภายในหัวใจของ เตาจั๋ว ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาเองก็ยืนยันได้แล้วเช่นกัน ว่าตนติดตามเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง
“เอาเขายกไปหาจางเสวียนหลงทางฝั่งนั้นไป บอกว่าฉันให้นายมาหาเขา เขาจะรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร”
มู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
เตาจั๋ว พยักหน้าขึ้นลงอย่างนอบน้อม พาศพของเจียงเทาฉินจากไป
ในคฤหาสน์ ไม่นานนักก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
มู่เซิ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม ในบรรยากาศยังคงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโลหิตบางเบาอยู่
จ้าวหลินไม่กล้ามองสถานที่ที่เจียงเทาฉินตาย กลัวว่าจะตกใจเอา เธอเองก็ยิ่งไม่กล้ามองมู่เซิ่งเข้าไปกันใหญ่เช่นเดียวกัน เป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ เธอไม่เคยมองมู่เซิ่งเป็นคนมาก่อนเลย หากมู่เซิ่งมีอารมณ์ตอนนี้ขึ้นมา เธอเองก็คงจะตายไปหลายสิบครั้งตั้งนานแล้ว
ถูกบรรยากาศแปลกประหลาดในห้องโถงใหญ่ทำให้ตกใจ จ้าวหลินไม่กล้าอยู่นานอีกกว่านี้แล้ว กล่าวเสียงเล็กว่า “ลูกเขย ฉันอยากจะพักสักครู่ ฉันกลับห้องไปก่อนได้แล้วใช่ไหม?”
มู่เซิ่งไม่กล่าวคำ จ้าวหลินก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว เธอที่แต่เดิมปากคอเราะราย ตอนนี้หวาดกลัวจนถึงขีดสุดแล้ว
“ไปเถอะครับ” มู่เซิ่งพยักหน้าขึ้นลง
จ้าวหลินกุลีกุจอลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันที วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนโดยที่ศีรษะเองก็ไม่หันกลับเช่นกัน ในตอนนั้นเอง ภายในหัวใจของเธอมีการตัดสินใจอย่างหนึ่งแล้ว นั่นก็คือให้จางเหวินเจี๋ยไสหัวออกไป ไสหัวออกไปยิ่งไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น!
เธอรักเงิน แต่นั่นก็ต้องมีชีวิตอยู่ก่อนน่ะสิถึงจะสามารถใช้จ่ายได้!
หลังจ้าวหลินปิดประตูห้องแน่นสนิทแล้ว ในห้องรับแขกก็เหลือเพียงเจียงหว่านกับมู่เซิ่งสองคน
มู่เซิ่งเดินไปตรงหน้าเจียงหว่าน สบตามองรอยแดงบนปรางแก้มของเธอ อดที่จะกล่าวอย่างปวดใจไม่ได้ว่า “ฉันจะส่งเธอไปโรงพยาบาล”
“ค่ะ”
เจียงหว่านพยักหน้าขึ้นลง บาดแผลบนใบหน้าของเธอไม่เบานัก ถูกเจียงเทาฉินฟาดหนึ่งมือด้วยแรงทั้งหมดไป กระทั่งเหงือกฟันก็ล้วนเริ่มเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หากไม่ทำการรักษาให้ทันท่วงที มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะทิ้งปัญหาเอาไว้ได้
ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล มู่เซิ่งหันศีรษะกลับไป มองเห็นเจียงหว่านนั่งอยู่ที่เบาะนั่งข้างคนขับ อึกอักอยากพูดแต่ก็ไม่พูด
เขาทราบดีว่าเจียงหว่านมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยถาม ยกตัวอย่างเช่นสถานะของเขา สถานะของเตาจั๋ว หรือไม่ก็สุดท้ายแล้วเขานำเงินมาจากที่ไหนกันแน่ เหตุใดจึงมีคนมาลอบสังหารเขา
เจียงหว่านไม่เคยคิดมาก่อนว่าบนร่างของมู่เซิ่งจะมีความลับและสถานะมากมายเช่นนี้ ทว่าเธอเองก็ทราบดีว่ามู่เซิ่งมีสถานะหนึ่งที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ไปตลอดกาล นั่นก็คือการเป็นสามีของเธอ
“ถ้านายไม่อยากพูดละก็ นายก็ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ค่ะ” เจียงหว่านกล่าวบนรถ
มู่เซิ่งผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งหน หากเจียงหว่านไล่ต้อนเอ่ยถามขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ เขายังคิดไม่ได้เลยว่าควรจะตอบคำถามอย่างไรดี
หากกุเรื่องเล็กน้อยมาบอกเธอ ภายในหัวใจของมู่เซิ่งเองก็รู้สึกไม่ดี ทว่าหากนำสถานะที่แท้จริงบอกกล่าวเจียงหว่านไปทั้งหมด เช่นนั้นเบื้องหลังตระกูลมู่ของเขาก็อาจทำให้เจียงหว่านได้รับความยุ่งยากมากมายโดยไม่จำเป็นอีกได้
“หลังจากนี้ฉันจะบอกเธออย่างแน่นอนครับ” มู่เซิ่งพยักหน้าขึ้นลงอย่างจริงจัง
“ค่ะ”
เจียงหว่านยิ้มกล่าว
เธอไม่สนใจสถานะของมู่เซิ่ง แค่มีประโยคนี้ของเขาก็เพียงพอแล้ว
มู่เซิ่งมาถึงโรงพยาบาล เสาะหาแพทย์การบาดเจ็บผิวหนังภายนอกที่ดีที่สุดให้เจียงหว่าน
ถึงแม้ว่าเขาเองก็เรียบแพทย์ด้วยเช่นกัน ทว่าการฝังเข็มกับเภสัชวิทยาล้วนเป็นโรคเจ็บป่วยทางร่างกายในด้านต่าง ๆ การบาดเจ็บทางผิวหนังภายนอกเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาจากโรงพยาบาล
มาถึงโรงพยาบาลแล้ว มู่เซิ่งนั่งอยู่นอกห้องพักผู้ป่วย ความรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับตลอดคืน
แต่ก็ยังถือว่าโชคดี การบาดเจ็บบนใบหน้าของเจียงหว่านไม่หนัก ไม่นานนักก็ฟื้นฟูกลับคืนรูปลักษณ์ดังเดิมแล้ว ทว่าแพทย์แนะนำว่าในช่วงนี้ผิวบนใบหน้าของเจียงหว่านยังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟู จึงค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือซื้อผ้าคลุมหน้ามาหนึ่งผืน เพื่อป้องกันการถูกลมพัดในยามปกติ
มู่เซิ่งรีบตกปากรับคำทันที นี่คือภรรยาของเขา หลังจากนี้ใบหน้านี้จะต้องมองดูไปตลอดชีวิต ไม่อาจทิ้งรอยแผลเป็นใด ๆ ได้อย่างเด็ดขาด
ไม่นานนักทั้งสองคนก็ไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อผ้าคลุมหน้าที่ดีที่สุด มู่เซิ่งจึงถือโอกาสซื้อมาสิบผืนในครั้งเดียว หากไม่ได้เป็นเพราะเจียงหว่านรู้สึกว่าเพียงพอแล้วละก็ เกรงว่าเขากระทั่งทั้งห้างสรรพสินค้าก็ล้วนซื้อต้องเกลี้ยงเป็นแน่
หลังจากซื้อเสร็จสรรพ พวกเธอพึ่งจะตระเตรียมจากไป ก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาเสียแล้ว สวมใส่แว่นตาสีทอง กลับเป็นมารดาของเจียงมู่หลง เฉินเสว่
“พนักงาน เอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของพวกเธอที่นี่ออกมาให้หมด!”
เฉินเสว่กล่าวอย่างเย็นยะเยือก หันศีรษะกลับมามองก็มองเห็นมู่เซิ่งยืนอยู่ที่ปากประตู อดที่จะชะงักนิ่งไปไม่ได้ “เจียงหว่านหรือ? แล้วก็ยังมีสามีไอ้ขยะคนนั้นของเธอด้วยหรือ?”
เจียงหว่านเองก็ตกใจเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ที่ได้พบกับเฉินเสว่ ณ ที่แห่งนี้ได้