มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 183 รสสัมผัสทางมือเป็นยังไง
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่183 รสสัมผัสทางมือเป็นยังไง
อะไรกันนั่น?
สายตาของทุกคน มองไปอย่างตระหนกตกตื่น
“มู่เซิ่ง เธอทำอะไรนั่น”
จ้าวหลินกระตุกมู่เซิ่งอย่างตื่นกลัว ถึงแม้ว่าเธออาจจะเคยรู้จักพวกเขา แต่คงจะเป็นเรื่องนานมาแล้ว ตระกูลกู่ในเวลานี้ ยังจะจำเธอได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เอาเลย
“มู่ มู่เซิ่ง?”
กู่ชิงเสวียนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูชะงักอึ้งอยู่กับที่
คนที่เธอจะไล่ออกไป กลับเป็นมู่เซิ่งไปได้?
ใบหน้าแดงขึ้นมา ตามด้วยความละอายเอ่อล้นเต็มในใจ เธอตั้งใจเช่าเหมาโรงแรมไป๋ต้าทั้งหมด ก็เพื่องานวันแซยิดคุณตาของเจียงหว่าน จะได้ให้มู่เซิ่งมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับเธอ สรุปเป็นเรื่องน้ำท่วมศาลเทพมังกร (จุดไต้ตำตอ) คนที่เธอจะไล่ออกไป กลับเป็นมู่เซิ่งเอง
ถึงขนาดนี้แล้วเธอยังจะมีหน้าอะไรเหลือ
“มู่เซิ่ง ไม่ ไม่ใช่ฉัน……”
กู่ชิงเสวียนตื่นตระหนกบอกไม่ถูก
มู่เซิ่งก็รู้อยู่ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ตั้งใจเป็นแน่ หัวเราะพลางส่ายหน้าพูดว่า “คุณหนูกู่ครับ ความจริงคุณไม่ต้องเหมาพื้นที่ทั้งหมดเลยนะ เพียงแค่คุณมาร่วมงานด้วย ผมก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากแล้ว”
พูดเป็นเล่นไป ตระกูลกู่มีระดับถึงตระกูลชั้นหนึ่ง เล่นจัดกันใหญ่โตขนาดนี้ น่ากลัวพอได้เวลางาน คงจะทำเอาพวกจ้าวลิ่วป๋อตกใจกันแย่เอา
“ฉันรู้ค่ะ” กู่ชิงเสวียนก้มหน้า สีหน้าแดงอย่างจัดจ้าน ไม่กล้ามองหน้ามู่เซิ่ง
ทันทีนั้น เธอก็ชี้สะเปะสะปะส่งไปที่หลี่หราน พูดว่า “เขานี่แหละ เขาให้ข้อเสนอนี้มา”
“คุณผู้จัดการหลี่ ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้ว งานเลี้ยงในครั้งนี้ ให้ดูเรียบง่ายไว้ อย่าทำฟู่ฟ่าสุรุ่ยสุร่าย นี่คุณไม่เพียงไม่ฟัง ยังจะไล่ลูกค้าออกอีก”
“ฉันถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งแรกของคุณนะ ไม่เข้าไปก้าวก่ายถึงตำแหน่งการงานของคุณ ถ้าขืนให้มีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันไล่คุณออกเป็นแน่!”
กู่ชิงเสวียนทิ้งคำพูดไว้แล้ว หมุนตัวกลับจากออกไปด้วยสีหน้าแดงเขิน
เธอไม่เคยคิดเลยจริงๆ ไม่ได้เจอะเจอกันเสียนาน กลับต้องมาอยู่สภาพแบบนี้ ปรากฏให้มู่เซิ่งเห็น กู่ชิงเสวียนให้รู้สึกอายเป็นอย่างที่สุด ขืนให้เธออยู่ที่นี่ต่อไป เดี๋ยวคงต้องแหวกพื้นเองเพื่อหนีออกไปเป็นแน่
คนทั้งห้องอึ้งกันเต็มสีหน้า หลี่หรานก็ยืนเซ่ออยู่กับที่ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรออกมาได้
เขาก็ไม่รู้ว่ามู่เซิ่งรู้จักกับคุณหนูกู่มายังไง แต่ดูจากการวางตัวแสดงออกกับมู่เซิ่ง ต้องแน่นอนว่าเป็นคนที่เธอให้ความสำคัญอย่างมาก หรือจะเป็นคนในดวงใจก็ไม่แน่
เห็นรูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มแหย ๆ เห็นทีปี๊ปดำใบนี้ ต้องครอบใส่เขาเป็นแน่แล้ว
“ทุกท่านครับ ขอประทานโทษด้วยนะครับ เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเพราะผมนายหลี่คนนี้ผิดเอง ผมขอกราบขอขมาต่อทุกท่านด้วย ท่านทุกท่านจะอยู่กี่วันก็แล้วแต่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผมนายหลี่คนนี้ขอรับผิดชอบเองทั้งหมด” หลี่หรานโค้งด้วความนอบน้อมอย่างสูงสุด พูดอย่างสุภาพและเต็มไปด้วยความจริงใจ
หลังจากนั้น มองไปที่มู่เซิ่ง พูดว่า “ท่านผู้นี้ นี่เป็นนามบัตรของผม ถ้าหากท่านมีปัญหาอะไร เรียกหาผมนายหลี่คนนี้ได้ทุกเวลา ผมจะช่วยจัดการช่วยอย่างสุดความสามารถ ผมนายหลี่คนนี้ก็ยังพอได้ในอำเภอซานเซี่ยงนี้”
“ได้ งั้นต่อไปก็ต้องขอพึ่งคุณผู้จัดการหลี่ช่วยดูแลแล้ว”
มู่เซิ่งรับนามบัตรมา โบกมือแสดงการรับรู้
เรื่องที่เกิดนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก เขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร
“คุณผู้หญิงท่านนี้ เมื่อกี้นี้ผมใช้คำพูดที่หยาบคาย พูดกระทบถึงท่าน บัตรกำนัลนี้เป็นค่าใช้จ่ายใช้กับร้านเสริมสวยชั้นที่อยู่ชั้นบนสุด สามารถใช้รับบริการด้านเสริมบำรุงความงามชั้นสูง” หลี่หรานก็ได้หันไปพูดกับจ้าวหลิน
ในเมื่อกู่ชิงเสวียนจับตัวเขาให้อยู่แบกรับบาปนี้ งั้นในเรื่องนี้ เขาก็จำเป็นจะต้องจัดการให้ลงเอยได้ให้สวยงาม
“มีบริการดูแลเสริมแต่งความงามด้วย?”
จ้าวหลินได้ยินเข้า หน้าบานอย่างมีความสุขทันที รับบัตรสมาชิกVIPนั้นแล้ว ด้วยการนำพาของหลี่หราน รีบเดินตามขึ้นลิฟต์ไป
ตัวเธอเองนั้นไม่ได้มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ นอกจากเล่นไพ่กับการอวดรวยกันแล้ว เรื่องที่ชอบที่สุด ก็คงเรื่องบิวตี้แคร์นี้แหละ
ในห้องก็จึงเหลือแต่มู่เซิ่งกับเจียงหว่านเพียงสองคน พวกเขานั่งกันอยู่บนเตียง บรรยากาศอวลไปด้วยความรักใคร่
“มู่เซิ่ง แฟนคลับตัวน้อยของเธอคนนี้ ตามติดเธอแน่นเลยทีเดียวนะ ขนาดตามมาถึงอำเภอซานเซี่ยงเลยนะ” เจียงเซิ่งจ้องหน้ามู่เซิ่งด้วยอารมณ์เฝื่อน ๆ บอกไม่ถูก
“เธอเพียงแต่จะมางานแซยิดของคุณตาเธอเองนะ” มู่เซิ่งพูดยิ้ม ๆ แบบเสียไม่ได้
แน่นอนที่เจียงหว่านก็รู้ว่ากู่ชิงเสวียนมาก็เพื่อวันแซยิดของจ้าวลิ่วป๋อ แต่เป้าหมายหลักที่จะมาที่นี่ก็เพราะมู่เซิ่ง ตัวเจียงหว่านเองเป็นผู้หญิง มีหรือจะดูไม่ออก
“มู่เซิ่ง ฉันนี่ดูสวยหรือเธอดูสวย?” เจียงหว่านจู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา
คำถามอันนี้มู่เซิ่งฟังมาแต่ไหนแต่ไรไม่รู้จะกี่เที่ยวแล้ว แต่เขาก็ยังรีบผงกหัวยิก ๆ ยังกับไก่จิกข้าวเปลือก พูดว่า “ก็ต้องคุณเมียฉันสิถึงจะสวยจริง”
“ฮึ ปากอย่างใจอย่าง งั้นไหนลองบอกมาซิ ฉันสวยตรงไหน?” ได้ยินคำตอบ เจียงหว่านก็นึกกระหยิ่มอยู่กับใจ แต่บนใบหน้ายังคงวางท่าเย็นชา
“ที่ไหน……”
สายตามู่เซิ่งกลอกกลิ้งไปมาสักครู่ หยุดลงที่หน้าขาใต้ถุงน่องดำที่กลมกลึง นวลเนียนของเจียงหว่าน
อวบอิ่มเรียวยาว เซ็กซี่เป็นที่สุด
“สวยมั้ย?”
เจียงหว่านดูสภาพแล้ว ใช้ขาอ่อนทั้งคู่ หนีบขนาบซ้ายขวาข้างเอวของมู่เซิ่ง
การเบียดเสียดอย่างแนบชิดแบบนี้ สำหรับมู่เซิ่งที่อยู่ในวัยรุ่นเลือดเดือด จะไปทนได้ยังไง เขาถึงกับคอแห้งผาก เลือดฉีดพลุ่งพล่าน
“สวย สวยมาก” มู่เซิ่งกลืนน้ำลายเอื้อก
“แล้วรสสัมผัสทางมือหละ?” เจียงหว่านแกล้งถาม “เธอลูบคลำดูซิ”
“ลูบคลำ?”
มู่เซิ่งสะอึก
เหมือนเด็กน้อยที่กำลังจะจับต้องของเล่นสุดชอบในครั้งแรก เขาเช็ดถูมือทั้งคู่กับเสื้อ ค่อย ๆ วางลงบนขาอ่อนที่อวบแน่นดึ๋งเด้ง
ขาอ่อนทั้งคู่สวมทับด้วยถุงน่องใยสีดำ ให้ความรู้สึกที่สากมือมากกว่าความเนียนลื่นตอนเปลือยเปล่า สายตามองไป ยิ่งชวนให้เลือดฉีดแรง
เจียงหว่านสยิวสั่นไปทั้งตัว หน้าแดงซ่านในทันที
เจ้าหมอนี่ กล้าลูบคลำเอาจริง
ติดตามไปกับมือของมู่เซิ่งที่ค่อย ๆ ลูบคลำคืบขึ้นไป จนใกล้เข้าไปถึงบริเวณหว่างขาอ่อนทั้งสองข้าง ใจของเธอก็เข้าใจได้ในที่สุด คนที่ดูอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนแกะน้อยในผิวเผินนั้น คือหมาป่าสีเทาดำที่สุดอันตราย เธอผลุนผลันลุกยืนขึ้นในทันที พูดว่า “ฉัน ฉันไปดูคุณแม่ที่บิวตี้แคร์หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”
ขาดคำที่พูด เจียงหว่านก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกจากห้องไป
“ฮูว์ ถ้าเธอยังไม่ไป ฉันคงหักห้ามใจไม่อยู่เป็นแน่” มู่เซิ่งก็ถอนหายใจให้โล่งอกออกมาได้ยาว ๆ ถึงให้เผชิญฝ่ากับปืนจริงกระสุนแท้ เขายังไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นถึงขนาดนี้
ลูบหารสสัมผัสที่มือ ความรู้สึกก่อนหน้านี้ก็ยังหลงเหลือ แตะมือที่จมูก กลิ่นกรุ่นไอหอมบาง ๆ ยังมีอยู่ มู่เซิ่งหัวเราะอย่างอดไม่ได้
วันรุ่งขึ้น
โรงแรมไป๋ต้าอันเป็นโรงแรมใหญ่ที่สุดของอำเภอซานเซี่ยง และการจัดงานครั้งนี้ทั้งบ้านจ้าวเหมยเหมยเป็นเจ้าภาพออกเงิน ทำให้จ้าวเหมยเหมย หน้าบานเต็มที่ในงาน
พวกเขายังไม่รู้เลยว่ามู่เซิ่งพักอยู่ในโรงแรมไป๋ต้ากันทั้งบ้าน เห็นมู่เซิ่งลงมาแล้ว ก็รีบจัดให้ต้อนรับนำพาเข้าไปข้างใน พอเข้าไปในห้องโถงเหมา ญาติ ๆ ส่วนใหญ่ก็มากันพร้อมหน้า พวกคนตระกูลบ้านแม่ของเจียงหว่านเหล่านี้ มู่เซิ่งไม่เคยรู้จัก ฉะนั้นเมื่อเจียงหว่านเรียกยังไง เขาก็เรียกตามไปอย่างนั้น
บรรดาญาตินั้นล้วนแต่ออกอาการประชดประชันใส่ ท่าทางไม่ใส่ใจไยดีด้วย
การที่บ้านตระกูลเจียงแต่งรับเอาบ่าวขยะเข้าบ้าน เรื่องนี้ หลายปีก่อนหน้านี้ก็ถูกกระจายข่าวจากปากปลาร้าของจ้าวเหมยเหมย ออกไปทั่วแล้ว
จ้าวเหมยเหมยทั้งบ้านก็ได้เข้าไปที่โต๊ะเจ้าภาพแล้ว มองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาเหยียด ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ลูกเขยจ๊ะ เมื่อไหร่จะได้เวลาไล่ไอ้ขยะทั้งบ้านนั่นออกไปซะทีนะ?”
“ยังไม่รีบนะครับ”
เฉินเสวียลี่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
ตอนนี้ไล่ออกไป เวลาจะดูเร็วเกินไป รอให้เวียนเหล้าเสิร์ฟอาหารกันสักสามชุด แล้วค่อยไล่พวกมันทั้งสามตัวออกจากงาน นั่นถึงจะให้เสียหน้ากันอย่างหมดรูปเลยทีเดียว!
“ท่านญาติผู้อาวุโสทั้งหลาย กระผมเฉินเสวียลี่อยู่ที่นี่ ขอกราบคารวะทุกท่านหนึ่งจอก”
เห็นคนทั้งหมดมากันครบหน้า เฉินเสวียลี่ยกแก้วเหล้าขึ้น ดื่มรวดเดียวหมด
ท่าทีที่ดูดีอย่างสง่าผ่าเผย ทำเอาทุกคนต่างพากันมีความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้น
“คุณเสวียลี่ เกรงใจกันเกินไปแล้ว อีกหน่อยผมที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเหมยเหมยยังต้องอาศัยบารมีบริษัทของคุณอีกนะ” ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยลุกขึ้นยืน พูดขึ้น
“จริง ๆ นะ อายุเพียงน้อย ๆ ก็สามารถเปิดบริษัทของตัวเองได้ นี่แหละเด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตัวจริง!”
“จ้าวเหมยเหมยนะ เธอนี่ช่างสรรหาสุดยอดลูกเขยได้จริง ๆ ทำเอาฉันอิจฉาแย่ละ!”
บรรดาคนที่มาพูดกันไปคนละคำคนละประโยค ต่างก็ช่วยกันเยินยอกันไป
จ้าวเหมยเหมยกลับย้อนเอาความชื่นมื่นขึ้นมาเต็มหน้า เหลือบตามองไปที่จ้าวหลิน ความเหยียดหมิ่น แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง
“คุณลุงคุณอาทุกท่าน พวกท่านเยินยอเกินไปแล้ว ผมเฉินเสวียลี่ก็เพียงแต่เปิดมีบริษัทเล็ก ๆ เท่านั้น ถ้าจะมีอะไรที่สั่งกำชับผม ในสิ่งที่ผมทำได้ ผมยินดีจะช่วยแน่นอน!”
เฉินเสวียลี่ประคองแก้วเหล้าไว้ในมือ พูดออกไปอย่างถ่อมตัว
คำพูดแบบนี้ ก็ได้ทำให้เกิดเสียงแซ่ซ้องชมเชยกันทั่ว แม้กระทั่งจ้าวลิ่วป๋อเองก็ผงกหัว ร่วมรู้สึกกับจ้าวเหมยเหมยที่หาลูกเขยที่ดี
“จ้าวหลิน มีก็ลูกเขยบ้านของเธอนั่น ตั้งนานมาแล้ว ทำไมป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เสียที?”