มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 231 จิวเวลรี่มู่เหม่ย
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 231 จิวเวลรี่มู่เหม่ย
“พ่อจะต้องหาบทสรุปได้แน่นอน ให้ทั้งตระกูลมู่สงบสุข ให้ลูกนั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างมั่นคงและปลอดภัย!”
มู่เฉินเทียนพูดอย่างฮึกเหิม “ไม่เช่นนั้นรอให้มู่จงหยุนแทรกซึมตระกูลมู่อย่างถึงที่สุด ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว แม้กระทั่งภายในตระกูลมู่อาจจะเกิดสงครามภายใน ตระกูลมู่ในตอนนี้ แบกรับผลที่ตามมาเช่นนั้นไม่ไหว หากเมื่อตระกูลมู่แตกแยก ตระกูลผู้ร่ำรวยมีอิทธิพลตระกูลอื่น ไม่มีทางที่จะเมินเฉย”
มู่เซิ่งเงียบไม่พูดจา
เขาอยากจะพูดออกมามากๆว่า ที่เขามาเมืองเยียนจิง เป้าหมายหลักคือเพื่อรักษาอาการป่วยของท่านพ่อ สำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูลมู่ เขาไม่มีความคิดเห็นอะไร แต่ภายในตระกูลมู่ในตอนนี้ มู่เฉินเทียนประคับประคองอย่างยากลำบากอยู่คนเดียว มู่เซิ่งก็อดทนดูต่อไปไม่ได้
“ลูกเอ๋ย พ่อรู้ว่าลูกไม่อยากได้ตำแหน่ง แต่นอกจากลูก ไม่มีใครที่สามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง!” มู่เฉินเทียนเหมือนกับดูความคิดของมู่เซิ่งออก จึงเอ่ยปากพูด
“เวลาสามปี พ่อบริหารจัดการตระกูลมู่ไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป ความทะเยอทะยานของมู่จงหยุนมากขึ้นเลยๆ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาบรรลุการบำเพ็ญตน เข้าสู่การเป็นนักเสวียน”
“ระหว่างปรมาจารย์บู๊กับนักเสวียน นี่คือการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ”
“เดิมที เขาอาจจะหวาดกลัวการมีอยู่ของพ่อ แต่ตอนนี้เขาบรรลุการบำเพ็ญตนแล้ว มู่จงหยุนไม่มีทางปล่อยโอกาสครั้งนี้ไปแน่นอน โดยเฉพาะตอนที่ลูกเพิ่งกลับมา เขาจะเผยเขี้ยวยาวที่แอบซ่อนไว้เป็นเวลานานออกมา อยากจะขย้ำอย่างบ้าคลั่ง”
“ดังนั้นตอนนี้ อยากจะจัดการปัญหาเรื่องตำแหน่งผู้นำตระกูลด้วยสันติวิธี นั่นเป็นไปไม่ได้แล้ว นอกจากพ่อยอมสละตำแหน่งผู้นำตระกูล”
“เมื่อยอมสละตำแหน่งผู้นำตระกูล มู่จงหยุนก็จะบีบบังคับทุกทาง ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะไม่มีที่สำหรับพวกเราในเมืองเยียนจิงแล้ว”
มู่เซิ่งพยักหน้า
มู่จงหยุนคนผู้นี้ เขารู้จักเป็นอย่างดี
ละโมบปลิ้นปล้อน หน้าเนื้อใจเสือ!
แม้กระทั่งว่าจ้างทหารมาฆ่าตัวเองที่เมืองเจียงหนานเพื่อข่มขู่ท่านพ่อ! เพียงแค่เรื่องนี้ มู่เซิ่งก็คิดว่าไม่มีทางให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างดี
งานเลี้ยงตระกูลในครั้งนี้ มู่จงหยุนไม่ไว้หน้ามู่เฉินเทียนเป็นอย่างมากแล้ว มู่เซิ่งดูออกว่ามู่จงหยุนกำลังลองเชิงพละกำลังของมู่เฉินเทียน ในใจของเขาได้เตรียมพร้อมที่จะลงมือตั้งนานแล้ว
แต่ว่า มู่เซิ่งกลับเอ่ยปากราวกับว่ามีแผนในใจอยู่แล้ว “การแข่งขันชิงตำแหน่งทายาทตระกูลครั้งนี้ เป็นจุดพลิกสถานการณ์ที่ดีครั้งหนึ่ง เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ฉันจะเอาชนะโดยไม่ต้องสงสัย”
“และถึงตอนนั้น ร่างกายของท่านพ่อได้หายดีเป็นปกติตั้งนานแล้ว จะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า”
“ถึงเวรานั้นท่านพ่อเพียงแค่เอาชนะมู่จงหยุนในการประชุม ต่อหน้าทุกคนตระกูลมู่ เช่นนั้นการวางหมากของมู่จงหยุนหลายปีมานี้ ก็จะหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ไม่ว่าลูกน้องใต้บัญชาหรือศัตรูของท่าน จะเคารพยำเกรงท่านพ่อใหม่อีกครั้ง”
“ชื่อของท่าน ถึงจะเจริญรุ่งเรืองเสมือนดวงตะวันกลางท้องฟ้า!”
“วิธีแบบนี้มีประสิทธิภาพมากกว่า เทียบกับที่ท่านประกาศว่าร่างกายฟื้นฟูหายดี แล้วค่อยๆ ควบคุมตระกูลมู่”
“รอให้ถึงขั้นนี้ ท่านค่อยให้ฉันสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล หรือทำอย่างอื่น ฉันเชื่อว่าในตระกูลมู่ ไม่มีคนกล้าโต้แย้งอีกแล้ว” มู่เซิ่งเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย เขามีแผนในใจอยู่แล้ว
มู่เฉินเทียนพยักหน้า ในใจรู้สึกตะลึงงัน
ที่แท้ครั้งที่แล้วตอนที่กลืนโอสถเข้าไป มู่เซิ่งบอกให้ตัวเองแกล้งป่วย เขาได้เริ่มวางแผนเรื่องราวทั้งหมดไว้แล้ว!
เดินหนึ่งก้าว มองสามก้าว
นี่ถึงจะเป็นการวางแผนกลยุทธ์เผด็จศึก!
มู่เฉินเทียนพูด “งั้นบริษัทจิวเวลรี่ของตระกูลมู่ พ่อให้เพื่อนพ้องซื้ออัญมณีเพชรพลอยหลายพันล้านจากลูกได้นะ รับประกันว่าลูกได้ผลกำไรเป็นอันดับหนึ่ง”
“อย่านะครับ ห้ามเด็ดขาด” มู่เซิ่งส่ายหน้าพูดขึ้น “ท่านพ่อ ถ้าหากท่านทำแบบนี้ จะต้องถูกมู่จงหยุนจับจุดอ่อนได้แน่นอน ท่านเพียงแค่แสร้งป่วยในช่วงนี้ต่อไป นอนอยู่บนเตียงก็พอแล้ว”
มู่เฉินเทียนพูด “แต่ถ้าหากลูกพ่ายแพ้ ชิงตำแหน่งทายาทผู้นำตระกูลไว้ไม่ได้ล่ะ?”
มู่เซิ่งพูด “ทุกคนคิดว่าผมต้องพ่ายแพ้ แต่ผมรับรอง ไม่มีทางแพ้แน่นอน ถ้าหากผมแพ้ งั้นก็ฟังการจัดการของท่านพ่อ ให้เพื่อนของท่านช่วยเหลือ”
เวลาหนึ่งเดือน บริหารบริษัทจิวเวลรี่ ได้กำไรเป็นอันดับหนึ่ง นี่เป้ฯเรื่องที่กากมาก เพราะว่ามู่เฟิงกับมู่ปู้ทั้งสองคน มีบริษัทอยู่ที่เมืองเยียนจิง
มู่เฉินเทียนคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
การแข่งขันชิงตำแหน่งทายาทตระกูล พวกเขาจะต้องพยายามอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งไม่เสียดายที่จะใช้เงินในเรื่องเส้นสาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผลกำไรของอีกสองครอบครัว จะต้องเกินจริงไปมากถึงจะถูก
มู่เซิ่งอยู่ที่เมืองเยียนจิง ไม่มีกองกำลังหนุนหลัง จะชนะมู่เฟิงกับมู่ปู้ทั้งสองคนได้อย่างไรนะ?
นี่ฟังดูแล้วก็เหมือนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก่อนหน้านี้มู่เซิ่งบอกว่าสามารถรักษาอาการป่วยของมู่เฉินเทียนได้ ทั้งเมืองเยียนจิงไม่มีใครที่สามารถทำได้ แต่มู่เซิ่งทำได้แล้ว นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์อยู่แล้ว
มู่เฉินเทียนมองมู่เซิ่งอยู่นานมาก เขาพูดขึ้น “ลูก พ่อเชื่อลูก หวังว่าลูกจะคว้าอันดับหนึ่งไว้ได้ แบบนี้ พ่อถึงจะสามารถให้ลูกสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อย่างชอบธรรม เป็นพ่อที่ทำผิดต่อลูก ลูกเพิ่งกลับมาถึงเมืองเยียนจิงก็ต้องมารับแรงกดดันมากมายขนาดนี้ ถ้าหากลูกแพ้ ก็ทำตามวิธีของพ่อ ทำให้ตระกูลมู่สงบ!”
คำพูดแต่ละคำของมู่เฉินเทียน แฝงไปด้วยความหนักแน่นที่มั่นคง
จากนั้นเขาพูดต่อ “หากครั้งนี้ลูกชนะ เช่นนั้นลูกก็คือผู้นำตระกูลมู่ พ่อจะเป็นฝ่ายสละตำแหน่ง และบอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับแม่ให้กับลูก”
“ท่านแม่ของฉัน?” มู่เซิ่งตัวสั่นเล็กน้อย
เธอ…เสียชีวิตแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนั้นที่ออกจากตระกูลมู่ เพื่อปกป้องตัวเอง ท่านแม่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของผู้ตามฆ่า
“พ่อรู้ว่าลูกมีคำถามมากมายอยากจะถาม แต่พ่อบอกลูกให้ แม่ของลูกยังไม่ตาย หลังจากที่เรื่องทุกอย่างนี้จบลง พ่อจะบอกความจริงกับลูก” มู่เฉินเทียนพูด
“เรื่องบางเรื่อง ลูกจำเป็นต้องยืนอยู่ในจุดที่สูงพอ ถึงจะมีสิทธิ์ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
มู่เซิ่งพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป
เขาประสานแสดงความเคารพต่อพ่อแล้วพูด “ท่านพ่อ เชิญพักผ่อนเต็มที่ ฉันขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ” มู่เฉินเทียนโบกมือ
จนกระทั่งมู่เซิ่งออกจากห้องพักผู้ป่วย แผ่นหลังตรงทื่อของมู่เฉินเทียน ถึงได้ค่อยๆ หลังค่อมลง เขานอนลงบนเตียงผู้ป่วยช้าๆ กลับไปอยู่ในสภาพอัมพาตอีกครั้ง ในเมื่อแสดง ก็แสดงให้ครบชุด
“ลูก หวังว่าครั้งนี้ลูกจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาอีกครั้งนะ”
…
มู่เซิ่งออกจากห้องพักผู้ป่วย มาที่บริษัท
จิวเวลรี่มู่เหม่ย
นี่คือบริษัทจิวเวลรีใต้สังกัดของตระกูลมู่ ถึงแม้ตระกูลมู่จะมีชื่อเสียงในธุรกิจอุตสาหกรรม แต่ในฐานะตระกูลร่ำรวยของเมืองเยียนจิง มีการหารายได้แทบจะในทุกธุรกิจ เพียงแค่มีมากน้อยเพียงใดเท่านั้นแหละ
บริษัทจิวเวลรี่มู่เหม่ยนี้ เป็นบริษัทมีมูลค่าพันล้าน อยู่ที่เมืองเยียนจิงไม่ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ
ในตอนนี้ ภายในบริษัทจิวเวลรี่ มีคนรวมตัวกันอยู่มากมาย
พวกเขาคือพนักงานระดับสูงของจิวเวลรี่มู่เหม่ย
คนเหล่านี้เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นั่งเอ้อระเหยไม่ทำงานทำการ
“ได้ข่าวแล้วยัง? เหมือนว่าพวกเรามีเถ้าแก่คนใหม่มาแล้ว”
เลขาเซ็กซี่คนหนึ่งที่สวมใส่ถุงน่องดำพูดขึ้น
“ได้ยินตั้งนานแล้ว มู่เซิ่งเป็นคุณชายของตระกูลมู่ที่มาใหม่”
“เฮ้อ ไอ้ขยะแบบนี้ ทำไมถึงได้มาเป็นประธานบริษัทพวกเรานะ”
“ไม่รู้ว่าคนตระกูลมู่พวกนั้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้มอบบริษัทให้กับเขา”
“เดาว่าเวลาไม่กี่เดือน มูลค่าตลาดของบริษัทมู่เหม่ยของพวกเราคงจะดำดิ่งลงสินะ ไอ้ขยะแบบนี้ จะเข้าใจการขึ้นลงของการบริหารในโลกธุรกิจได้อย่างไรนะ”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กัน ทั้งหมดมีความคิดที่ดูถูกมู่เซิ่ง
ในใจของพวกเขาแอบตัดสินใจ รอให้มู่เซิ่งมาถึง จะแสดงอำนาจให้เขาดู