มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 235 ของเลียนแบบ
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 235 ของเลียนแบบ
“คุณผู้จัดการท่านนี้ เมื่อครู่หินชุบเลือดชิ้นนั้น ทั้งๆ ที่ฉันรับไว้แล้ว ฉันใช้สี่สิบล้านไว้ คุณทำไมถึงได้แย่งโอกาสของฉันไป?” จางสวี้พูดกับผู้จัดการอย่างไม่พอใจ
ผู้จัดการก็สีหน้าลังเล ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงมองไปทางเลขาหมี่รั่วอวี้
แต่ทว่าหมี่รั่วอวี้กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตาจ้องมองไปทางชายกำยำไว้หนวดเครา พูดขึ้น “คุณเจี่ยงฉู่ หินชุบเลือดชิ้นนี้ฉันรับไว้แล้ว ถึงแม้ฉันเสนอราคาค่อนข้างต่ำ แต่ฉันซื้อไว้ก่อน ธุรกิจหยก ก็ต้องมีกฎมาก่อนมาหลัง คุณว่าอย่างไรล่ะ?”
“ใช่ หยกชิ้นนี้เป็นคุณหมี่รั่วอวี้ที่ชอบพอก่อน”
“น้องชาย นายขายให้เธอเถอะ ในเมื่อนายยังเจรจาไม่เสร็จ ก็เปลี่ยนไปขายให้พวกเขา นี่ไม่ค่อยดีนัก”
เถ้าแก่หยกเหล่านี้พูดขึ้นต่อๆ กัน ช่วยพูดให้หมี่รั่วอวี้
แต่ก็ไม่น่าแปลก ในเมื่อ หมี่รั่วอวี้ในฐานะเลขาของประธานจิวเวลรี่มู่เหม่ย เบื้องหลังมตระกูลมู่ เวลาจำเป็น ประจบประแจงหน่อยถึงจะถูกต้อง
“นี่ แต่ว่าเขาขายสี่สิบล้าน แบบนี้ไม่เท่ากับให้ฉันขาดทุนเหรอ?” ชายกำยำไว้หนวดเคราหน้าตาลังเลใจ
“ฉันยอมจ่ายสามสิบห้าล้าน ซื้อหินชุบเลือดชิ้นนี้ไว้ คุณเสียหายห้าล้าน พวกเราก็ชดเชยคุณห้าสิบล้าน คุณเจี่ยงฉู่ คุณว่าแบบนี้ได้ไหม” เลขาหมี่รั่วอวี้พูดอีก
เธอแทบรอไม่ไหวที่จะซื้อหินชุบเลือดชิ้นนี้ กลัวว่าช้าอีกนิด เศรษฐีที่ชื่อ จางสวี้ คนนั้นจะเพิ่มราคาหยกอีก
“นี่ นี่…”
เจี่ยงฉู่เหมือนกับลังเลมาก คิดไปคิดมา สุดท้ายเขาถอนหายใจอย่างแรง “เอาเถอะ เอาเถอะ”
เขาหันหน้ามา มองไปทาง จางสวี้ “ผู้อาวุโสท่านนี้ ขออภัยจริงๆ ถึงแม้คุณยอมจ่ายสี่สิบล้าน แต่ว่าฉันไม่สามารถขายหินชุบเลือดให้คุณได้ เพราะว่าจิวเวลรี่มู่เหม่ยชอบพอก่อน ฉันต้องขายให้พวกเขา”
จางสวี้ท่าทางเสียใจ เบะปาก “อะไรกัน ฉันออกสี่สิบล้านไม่ขาย หินก้อนนี้ มูลค่าอย่างน้อยเจ็ดสิบล้านนะ หรือว่าฉันเพิ่มให้คุณอีกสิบล้าน?”
“ไม่แข่งแล้วๆ คุณผู้ชาย ขอบคุณในความหวังดีของคุณ”
เจี่ยงฉู่ส่ายหน้าติดต่อกัน ใบหน้าแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับหากพูดต่อไปอีก เขาจะอดเสียดายไม่ได้
“ได้ ตกลงตามนี้”
ได้ยินผลสรุปของเรื่อง หมี่รั่วอวี้มีความตื่นเต้นบางอย่างที่พูดไม่ออก เธอหันหน้าไปพูดกับมู่เซิ่ง “คุณมู่ ฉันเสร็จสิ้นการค้าขายครั้งนี้แล้ว คุณนำเงินสามสิบห้าล้าน โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคุณผู้ชายท่านนี้เถอะค่ะ”
“โอนเงิน?” มู่เซิ่งเผยรอยยิ้มหยอกล้อ
“ใช่ค่ะ หยกชิ้นดีขนาดนี้ ถ้าหากบรรจุหีบห่อ อาจจะเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสท่านนี้พูดไว้ ขายออกในราคาเจ็ดสิบล้าน เปลี่ยนมือก็ได้กำไรสามสิบห้าล้าน คุณรังเกียจที่เงินเยอะเหรอ?” เลขา หมี่รั่วอวี้ เบะปาก เงินนี้ไม่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์ ทำไมท่าทางของมู่เซิ่งเหมือนกับไม่เต็มใจ
ได้ยินคำพูดนี้ มู่เซิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ไหวแล้ว ฉันกลั้นไม่อยู่แล้ว”
“น่าขำมากเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“คุณหัวเราะอะไร?”
เห็นรอยยิ้มบนใบหน้ามู่เซิ่ง แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย ชายกำยำไว้หนวดเคราขมวดคิ้ว
ในตอนนี้ หมี่รั่วอวี้ก็เกิดความโมโหขึ้นในใจ เหมือนกำลังพูดว่า กว่าฉันจะจัดการทุกอย่างได้ คุณดูอยู่ข้างๆ มีอะไรน่าขำ?
“ของปลอมชิ้นหนึ่ง ถูกพวกคุณยกยอไปมา จะไม่ตลกได้อย่างไร?” มู่เซิ่งเหลือบมองหินชุบเลือดบนโต๊ะ ยิ้มบางพูดขึ้น
เมื่อพูดจบ ทันใดนั้น ในร้านจิวเวลรี่มู่เหม่ยเหมือนกับกดปุ่มหยุดเล่น ทุกคนตกตะลึงกันหมด
เขาพูดอะไร?
หินชุบเลือดชิ้นนี้เป็นของปลอม?
เขาล้อเล่นเหรอ!
ในร้านคนเยอะขนาดนั้น เถ้าแก่ร้านจิวเวลรี่และวัตถุโบราณ ก็สามารถดูออกได้ หยกชิ้นนี้คือหินชุบเลือดอย่างแน่นอน อีกอย่างเป็นของที่ตกทอดมาจากสมัยราชวงศ์ซีฮั่น ต่อให้ไม่ใช่หวังหมั่งเป็นคนแกะสลัก แต่ต้องเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างแน่นอน
กลายเป็นว่าถูกชายหนุ่มพูดว่าเป็นของปลอม แม่งเป็นใครกันนะ?
ทุกคนแม้กระทั่งสงสัยว่า ชายหนุ่มคนนี้แอบลักลอบเข้ามาหรือเปล่า แต่เห็นผู้จัดการไม่ได้เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พวกเขาจึงไม่เอ่ยปาก
เจี่ยงฉู่ตอบสนองก่อนคนอื่นๆ ความตกตะลึงบนใบหน้าหยุดอยู่เพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนไปยิ้มเยาะในทันที “หึหึ หินชุบเลือดชิ้นนี้ได้สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นในตระกูลของพวกฉัน สืบทอดมาหลายรุ่นแล้ว คุณบอกกับฉันว่าเป็นของปลอม?”
“คุณ หมี่รั่วอวี้ ถ้าหากประธานบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นคนแบบนี้ เช่นนั้นหินชุบเลือดชิ้นนี้ต่อให้ผมโยนทิ้ง ก็ไม่มีทางขายให้กับคนที่ไร้สายตา!”
เจี่ยงฉู่พูดอย่างจริงจัง คำพูดในตอนสุดท้าย ใบหน้าของเขาเผยความเคร่งขรึม เหมือนกับไม่อยากของดีเสียของ แบบนี้เขาจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ
ในตอนนี้ เถ้าแก่ร้านจิวเวลรี่คนอื่นๆ รู้สึกตัว มีเถ้าแก่คนหนึ่งจ้องมองมู่เซิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ พูดอย่างตกตะลึง “เฮ้ ฉันเพิ่งสังเกตเห็น คุณก็คือเจ้าบ่าวที่แต่งงานเข้าบ้านฝ่ายหญิงคนที่คุณมู่จงหยุนบอกสินะ? คนแบบนี้ คู่ควรที่จะเป็นประธานของจิวเวลรี่มู่เหม่ย?
ชายแต่งเข้า?
ฮ่าฮ่าฮ่า!
ประโยคนี้ ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
เถ้าแก่ร้านจิวเวลรี่เหล่านั้นกุมท้อง “ชายแต่งเข้า เรื่องน่าอายแบบนี้ คุณทำไปได้”
“ดีจริง ที่แท้ก็เกาะผู้หญิงกิน”
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง ในน้ำเสียง เต็มไปด้วยความถากถาง แม้แต่ จางสวี้คนนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ พูดขึ้น “เฮ้ พ่อหนุ่ม คุณไม่รู้เรื่องหยก ก็อย่าพูดมั่วซั่ว หินชุบเลือดของแบบนี้ คุณเข้าใจได้เหรอ?”
เพิ่งพูดจบ เถ้าแก่ร้านจิวเวลรี่หัวเราะจนเกือบจะหมอบลงกับพื้น
ฮ่าฮ่าฮ่า หินชุบเลือดของแบบนี้ คุณเข้าใจได้เหรอ?
เดาว่าตั้งแต่เล็กจนโต ยังไม่เคยพบเห็นหรอก
“ต่อให้ตอนนี้คุณโชคดี ได้เป็นประธานของ จิวเวลรี่มู่เหม่ย แล้วจะอย่างไร? ประเมินหยกเรื่องแบบนี้ ไม่ได้ดูว่าใครตำแหน่งสูงคนนั้นก็เก่งกาจนะ คุณที่ระดับแบบนี้ อย่ามาขายขี้หน้าที่นี่ ทำลายชื่อเสียงของจิวเวลรี่มู่เหม่ย
หลายๆ คนเยาะเย้ยอย่างกำเริบเสิบสาน ไม่พะว้าพะวังสักนิด
แม้แต่ หมี่รั่วอวี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สายตาพิจารณาหินชุบเลือดที่อยู่บนโต๊ะ
หินชุบเลือดชิ้นนี้ ไม่ว่าการแกะสลักหรือฝีมือ มีเพียงหนึ่งเดียว เหมือนกับในข้อมูลที่เธอเคยอ่าน ของแบบนี้ เขามีสิทธิ์อะไรถึงพูดว่าเป็นของปลอมนะ?
หรือว่า มู่เซิ่งจะเหมือนกับในห้องทำงานก่อนหน้านี้ ใช้วิธีบีบบังคับ ไล่ เจี่ยงฉู่ไปเหรอ?
เฮ้อ
ในใจของ หมี่รั่วอวี้เกิดความเศร้าโศกจางๆ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ งั้นบริษัทมู่เหม่ยแห่งนี้ เกรงว่าอีกไม่นาน ก็จะถูกมู่เซิ่งทำจนล้มละลาย
ในตอนนี้ เจี่ยงฉู่และ จางสวี้ทุกคู่แอบส่งสายให้กัน แววตาเผยความปีติยินดีและความจองหองออกมา
นึกว่าเจ้าหมอนี่มีความสามารถจริงๆ สามารถดูหินชุบเลือดได้ว่าเป็นของปลอม ผลปรากฏว่าดูตอนนี้ ก็เป็นแค่ขยะ
กระต่ายตื่นตูมแค่นั้น
เจี่ยงฉู่หัวเราะเยาะ เหมือนกับจับจุดอ่อนได้ เขาชี้หน้ามู่เซิ่ง ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย