มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 31 แค่สามหมัด
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 31 แค่สามหมัด
มู่เซิ่งเอี้ยวตัวหลบหมัดไปทางด้านข้าง และหันหน้ากลับไปประเมินผู้ชายที่อยู่ทางด้านหลัง ด้วยแววตาถมึงทึง
ผู้ชายกำยำล่ำสันยืนอยู่ทางด้านหลังของเขา ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร พร้อมทั้งใช้สายตาเหยียดหยามจ้องมาทางทางมู่เซิ่ง ราวกับกำลังมองมดตัวกระจิริดตัวหนึ่ง
“เฮ้ย กูถามมึงอยู่นะเว้ย!”
น้ำเสียงที่แสดงความสงสัย มู่เซิ่งย่นคิ้วเข้าหากันอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
“ศิษพี่ซู ผมจะเดินไปไหน คงไม่ต้องมานั่งรายงานกับพี่หรอกมั้ง?”
กู่ชิงเสวียนยืนขวางด้านหน้ามู่เซิ่งเอาไว้ รู้สึกไม่ถูกโฉลกกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาก
เธอค่อยๆ หันหลังมา พลางกระซิบข้างหูของมู่เซิ่ง “ผู้ชายคนนี้เขาชื่อซูเคอ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉันเอง เป็นคนของตระกูลซูจากเมืองเจียงหนาน ชอบมาเกาะแกะกับฉันอยู่เรื่อย น่ารำคาญชะมัด มู่เซิ่งคุณไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกค่ะ”
“ตระกูลซู? ตระกูลซูที่หมายถึงซูจ่านขุยนั่นนะเหรอ?” มู่เซิ่งชำเลืองมองมาทางซูเคอ รูม่านตาเผยท่าทางครุ่นคิดอยู่
ตระกูลซู ถึงแม้ไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่ขนาดนั้น โดยมีตระกูลผู้รากมากดีของเมืองเยียนจิงคอยเกื้อหนุนจุนเจืออยู่ลับหลัง แต่ในเมืองเจียงหนานนี้ ก็ถือว่าเป็นตระกูลแนวหน้า แถมชนชั้นยังสูงกว่าตระกูลเจียงอีกหลายระดับ เหมือนว่าเมื่อมู่เซิ่งได้ยินชื่อพลันเข้าใจทันที กู่ชิงเสวียนอดกลั้นไว้ไม่อยู่ จึงเอ่ยปากถามอย่างแปลกใจ
“แล้วคุณไปรู้จักชื่อของประมุขตระกูลซูได้ยังไงกัน? ดูเหมือนคุณจะเข้าใจในตระกูลซูมากเลยนะเนี่ย?”
“เคยเจอหน้าคร่าตากันมาครั้งหนึ่ง แถมยังสอนเขาหลายอย่างเลยแหละ” มู่เซิ่งกล่าวน้ำเสียงปกติ
ตระกูลมู่ในปีนั้น หลิวเจี้ยนหัวกับซูจ่านขุยล้วนเป็นลูกน้องใต้อาณัติของตระกูลมู่ มู่เซิ่งเห็นพรสวรรค์ของทั้งสองคน คนหนึ่งก็บู๊อีกคนก็มากความสามารถทางด้านการแพทย์ จึงเคยให้คำแนะนำแก่พวกเขาไป คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเวลานี้ ซูจ่านขุยกลับก่อตั้งตระกูลซูขึ้นมา จนกลายเป็นประมุขของตระกูลซู
หากกล่าวด้านความประสบผลสำเร็จ ยังอยู่เหนือกว่าหลิวเจี้ยนหัวด้วยซ้ำ
“สอนเขาหลายอย่างเหรอ?” กู่ชิงเสวียนเอ่ยปากถามอย่างอดใจไม่อยู่ “ถึงแม้ว่าตระกูลซูเพิ่งจะเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ไม่นานมานี้ แต่ความสามารถแท้จริงๆ ของซูจ่านขุย ขนาดคุณปู่ของฉันก็ยังชมไม่ขาดปาก นายไปสอนเขาเหรอ? อย่าขี้โม้น่า”
กู่ชิงเสวียนแสดงท่าทางไม่เชื่อ
ซูจ่านขุยเป็นบุคคลประเภทไหน? โดยเริ่มมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองเจียงหนาน โดดเด่นทางด้านบู๊ เมื่อสิบปีที่แล้วมู่เซิ่งเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? จะขี้โม้ทั้งทีก็โอเว่อร์เกินไปหน่อย
จุดหักมุมในสิ่งที่เธอไม่ทราบก็คือ ในปีนั้นมู่เซิ่งมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศอย่างไร้ข้อกังขาจนทำให้ตระกูลมู่หวาดหวั่น เพราะว่าเรื่องนี้ จึงทำให้พี่ชายทั้งสองคนของบิดาของเขาลงมือฆ่ามู่เซิ่งด้วยความเจ็บปวด หลังจากบิดารับรู้เรื่องนี้แล้ว จึงเตรียมการส่งตัวเขาออกจากตระกูลมู่ไว้ล่วงหน้า
“แกเป็นใคร? หรือว่าแกไม่รู้ กู่ชิงเสวียนเป็นผู้หญิงของกูเหรอวะ?” ซูเคอพูดเน้นย้ำทุกคำ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซูเคอเห็นกู่ชิงเสวียน เขาก็ตกหลุมรักเธอแล้ว
กู่ชิงเสวียนทำตัวไม่สนใจเขามาโดยตลอด ซูเคอยังคิดทึกทักว่านิสัยของกู่ชิงเสวียนเป็นแบบนี้เอาเอง แต่ขณะนั้นเองเมื่อเห็นว่าเธอพูดกระซิบกระซาบข้างหูมู่เซิ่ง? แล้วจะอดทนต่อยังไงไหว!
“ไอ้เวร มึงรนหาที่ตายชัดๆ!” ซูเคอโกรธเคืองอย่างท่วมท้น พลันปล่อยหมัดพุ่งมาทางมู่เซิ่งอย่างเต็มแรง
มู่เซิ่งยิ้มเล็กน้อย ยังไม่รอให้เขาเริ่มลงมือใดๆ กู่ชิงเสวียนมาขวางทางด้านหน้าของเขาแทน และกางฝ่ามือออกหนึ่งข้างเช่นเดียวกัน
ปึก!
ฝ่ามือกระทบกัน
กู่ชิงเสวียนหน้าซีดเผือด จนถอยหลังไปสองก้าว มู่เซิ่งเข้ามาประคองเอาไว้ พลันกัดฟันพูดออกไป “ซูเคอ ฉันจะอยู่กับใครมันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!”
“มู่เซิ่ง อย่าไปสนใจคนพรรค์นี้ เราไปกันเถอะ!”
ซูเคอฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ก่อนหน้าเธอเพียงเล็กน้อย ซึ่งมีศักยภาพเก่งกล้ากว่าเธอ เรื่องนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่กู่ชิงเสวียนอดกลั้นต่อเขาเสมอ
เมื่อสิ้นเสียง ซูเคอตกตะลึงทันที มุมปากเผยรอยยิ้มถากถางตามมาติดๆ “กูก็นึกว่าใครที่ไหน มู่เซิ่ง? มึงคือไอ้ลูกเขยเศษสวะของตระกูลเจียงคนนั้นเหรอวะ?”
ตอนนี้ใครไม่รู้จัก ฉายานามเศษสวะอันดับหนึ่งของเมืองเจียงหนานบ้างล่ะ?
“ไอ้กระจอก มึงนั่งคุกเข่าตบหน้าตัวเองเดี๋ยวนี้ บางทีกูอาจจะลองคิดดูใหม่ที่จะไม่ต่อยจนแขนมึงหักก็ได้นะ!” ซูเคอมองเห็นมือของมู่เซิ่งที่ประคองบริเวณช่วงเอวของกู่ชิงเสวียน จนไฟโทสะคอยแผดเผาซูเคออยู่ตลอด
“ซูเคอ นายอย่าล้ำเส้น!” กู่ชิงเสวียนกัดฟัน
จะยังไงก็ตาม มู่เซิ่งเป็นบุคคลที่คุณปู่ของเธอให้ความสำคัญมาก ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บซึ่งสาเหตุมาจากเธอ แล้วจะให้เธอไปบอกกล่าวกับคุณปู่ยังไงล่ะ?
“สวะอย่างแกทำได้แค่คอยหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงนี่แหละ!”
ซูเคอกลัวว่าจะทำให้กู่ชิงเสวียนได้รับบาดเจ็บ พลันสบถด่าด้วยความโกรธอย่างไม่รู้ตัว “แม่งคอยเป็นเห็บหมัดเกาะผู้หญิงกินก็พอไหว แต่นี่พอมึงอยู่นอกบ้าน ยังจะมาหลบหลังผู้หญิงอีก มีปัญญา มึงก็ออกมาสู้กับกูสักยกสิวะ!”
“สู้?” มู่เซิ่งจ้องมองเขาด้วยท่าทางอมยิ้ม “นี่แกต้องการจะสู้กับฉันให้ได้เลยใช่มั้ย?”
“ทำไม กลัวเหรอวะ?”
ซูเคอพูดแดกดัน พลางใช้นิ้วชี้มาทางมู่เซิ่ง โดยที่เน้นทุกถ้อยคำ
“กูจะให้โอกาสมึงสักครั้ง ถ้ามึงกลัว ก็คุกเข่าขอโทษ! กู่ชิงเสวียนเธอเป็นผู้หญิงของกู ไม่ใช่ให้ไอ้กระจอกอย่างมึงมาทำให้แปดเปื้อนได้นะเว้ย แค่คิด มึงยังไม่มีสิทธิ์ด้วยซ้ำ!”
มู่เซิ่งหัวเราะฮึมฮัมในลำคอ “ฉันแค่กลัวว่าแกจะทนรับการต่อสู้ของฉันไม่ไหว”
“กูจะสู้มึงไม่ได้เหรอวะ?”
ซูเคอสงสัยตัวเองว่าหูฝาดไปหรือเปล่า
เขาหันหน้ากลับมา พลางแสดงท่าทางเยาะเย้ยให้กู่ชิงเสวียน “ชิงเสวียน ผมไม่เข้าใจจริงๆ คุณไปเอาไอ้หลุดโลกนี้มาจากไหน กระจอกยังไม่พอ แถมยังไม่รู้สภาพตัวเองอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เซิ่ง กู่ชิงเสวียนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“มู่เซิ่ง คุณกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย?”
“ซูเคอเขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ของฉันนะ ยอดฝีมืออันดับสอง นอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ในคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทั่วทั้งเมืองเจียงหนาน ไม่มีใครสามารถชนะเขาได้!”
“รีบไปกันเถอะ เขาไม่กล้าลงมือกับฉันหรอก คุณรีบกลับบ้านไปเถอะ”
หลังจากตกตะลึงแล้ว กู่ชิงเสวียนรีบลากมู่เซิ่งให้มุ่งหน้าเดินไปทางบ้านตระกูลเจียงทันควัน ถ้าให้หมอนี่พูดพล่ามไปเรื่อย ขนาดเธอก็ช่วยเขาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามไม่ว่ากู่ชิงเสวียนจะใช้เรี่ยวแรงมากขนาดไหนก็ตาม มู่เซิ่งยังทำตัวเหมือนเสาเข็ม ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน แถมยังจ้องมองซูเคออย่างสงบเสงี่ยมอยู่แบบนั้น
“สามหมัด” มู่เซิ่งพูด
“อะไรนะ?”
“แค่สามหมัด ถ้าแกยังยืนไหว ฉันจะปล่อยให้แกจัดการได้ตามอำเภอใจ” มู่เซิ่งเดินอ้อมตัวกู่ชิงเสวียน และกล่าวอย่างเรียบเฉย
ตั้งแต่วินาทีที่ซูเคอลอบทำร้ายเขาทางด้านหลัง ในสายตาของมู่เซิ่ง เขาได้กลายเป็นเศษสวะคนหนึ่งไปแล้ว
ซูเคอตกตะลึง พลันหัวเราะร่วนยกใหญ่ “แกนี่มันเป็นคนจองหองฉิบหาย กูไม่เคยพบเจอมาก่อน ขนาดอาจารย์ฉันเอง ก็ไม่มีทางที่จะต่อยฉันสามหมัดแล้วทำให้ฉันแพ้ได้ แกนี่มันพูดจองหองอวดดี อย่ามาโทษว่ากูไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
“วางใจเถอะ กูจะตัดขาตัดแขนของมึง แล้วส่งมึงกลับไปที่ตระกูลเจียงถึงที่!”
เมื่อพูดจบ ซูเคอกระทืบเท้าเต็มแรง จนทำให้พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย พลันปล่อยหมัดออกมาดั่งสายฟ้าฟาด
“อย่า…”
กู่ชิงเสวียนหน้าถอดสีทันที แต่การห้ามปรามในเวลานี้ มันไม่ทันเสียแล้ว!
เธอได้แต่จ้องมองหมัดนี้ ซึ่งจะกระทบกับมู่เซิ่งที่ยืนขวางอยู่ทางด้านหน้าของเธออย่างสุดแรง
เฮ้อ ถึงเวลานั้นค่อยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้เขาสักสองสามล้านก็แล้วกัน เขาไปยั่วโมโหซูเคอก่อน คุณปู่ก็คงไม่โทษฉันหรอกมั้ง
วินาทีที่สายตามองทัน
ปึก!
หมัดทั้งสองกระแทกชน
ไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยพูดถึงพละกำลังอันบริสุทธิ์เท่านั้น มู่เซิ่งใช้หมัดแลกหมัด กำปั้นกระแทกกับกำปั้นของซูเคอเต็มแรง ด้วยพละกำลังเต็มแรง ซูเคอหน้าดำคร่ำเครียดทันที
ไอ้หมอนี่มันทำมาจากเหล็กหรือยังไง? กำปั้นถึงได้แข็งขนาดนี้
เขาถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน ‘ตึกตึกตึก’ ร่างกายยังไม่ทันทรงตัวได้ดี กำปั้นของมู่เซิ่งปรากฏอยู่ทางด้านหน้าของซูเคอแล้ว พละกำลังรวดเร็ว พัดพาแรงลมอันบ้าคลั่งติดมาด้วย
“หมัดที่สอง!”
เสียงมู่เซิ่งราวสายฟ้า หมัดตามหลังมาติดๆ
ซูเคอใช้ท่อนแขนปกป้องทางด้านหน้าเอาไว้
ปึก!
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มู่เซิ่งปล่อยหมัด ซูเคอถูกต่อยกระเด็นออกไป จนชนเข้ากับราวกั้นริมน้ำอย่างเต็มแรง หน้าซีดเผือดถึงจุดสูงสุด เขาจ้องมองมู่เซิ่งอย่างหวาดหวั่น เมื่ออ้าปาก พลันกระอักเลือดสดออกมาทันที
ซูเคอสูดลมเย็นๆ เข้าปากไม่หยุด กำปั้นเมื่อครู่นี้นั้น เกรงว่ากระดูกมือของเขาคงหักเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันได้ตรวจเช็กสภาพของร่างกายด้วยซ้ำ สีหน้ามีแต่อาการหวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม เพราะวินาทีถัดมา มู่เซิ่งอยู่ทางด้านหน้าของเขาแล้ว!
ระ เร็วเหลือเกิน!
“หมัดที่สาม” มู่เซิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ราวกับเป็นเสียงกระซิบกระซาบจากยมทูต
ปึก!