มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 322 เด็กนิสัยเสีย
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 322 เด็กนิสัยเสีย
เงานี้วิ่งอย่างรวดเร็วอีกทั้งยังคล่องแคล่วมาก หลังจากมู่เซิ่งก้มตัวลง ถึงจะบิดตัวมาขวางไว้ได้
หลังจากขวางไว้ มู่เซิ่งเพิ่งเห็นว่าเงาคนที่พุ่งเข้ามาเป็นแค่เด็กอายุประมาณสิบปี
ตอนแรกมู่เซิ่งเข้าใจว่าเป็นเด็กที่มาเที่ยวแล้วเล่นซนบนเรือสำราญ จึงเตือนให้ระวัง คิดไม่ถึงว่าตอนเขากำลังจะไป เด็กคนนั้นยื่นมือเข้ามาในกระเป๋ากางเกงแล้วจับกระเป๋าเงินของเขาไว้
หมับ!
มู่เซิ่งใช้มือจับมือขวาของเด็กที่ยื่นเข้ามา แววตาดูเย็นชาเล็กน้อย จากนั้นพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ขโมยของเหรอ”
กระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงเขามีเงินสดแค่หมื่นเดียว แต่เด็กอายุน้อยขนาดนี้กล้าขโมยของของเขา นี่นอกจากจะทำให้มู่เซิ่งโกรธแล้ว ยังรู้สึกคาดไม่ถึงด้วย
พ่อแม่ของเขาสอนยังไงกันนะ
เด็กคนนั้นโดนมู่เซิ่งจ้อง ก็ตื่นตระหนกทันที เขาขโมยของมานานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่โดนจับ เขาคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไร จากนั้นจึงปล่อยมือปล่อยกระเป๋าเงินลงไปในกระเป๋ากางเกงมู่เซิ่งเหมือนเดิม
หลังจากนั้นเขาน้ำตาคลอเบ้า “ทำอะไรอะ นายจับฉันจนเจ็บหมดแล้ว!”
ระหว่างพูดเขาก็ใช้แรงถีบไปทางมู่เซิ่ง แต่โดนมู่เซิ่งหิ้วขึ้นมา จึงถีบไม่โดน
ส่วนเหยาเผิงเดินอยู่ด้านหน้า ไม่เห็นภาพที่เด็กขโมยของ จึงก้มลงมาถามว่า “เด็กน้อย นี่ไม่ใช่ที่ให้นายวิ่งเล่นนะ ถ้าชนคนล้มจะแย่เอานะ”
“นายไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยฉัน ปล่อยฉัน!” เด็กพ่นน้ำลายใส่เหยาเผิงแล้วแยกเขี้ยวยิงฟันพูด
“หึ ใครเป็นพ่อแม่นายเนี่ย พ่อแม่ไม่สั่งสอน” เหยาเผิงโดนพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า ทำให้เขาโกรธขึ้นมา
“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ทำไมวิ่งมาตรงนี้ล่ะ” ขณะนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้นในทางเดิน ผู้หญิงอายุประมาณ 40 ปีมาอยู่ข้างหน้า สวมเสื้อสีน้ำตาล ใบหน้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สีทองระยิบระยับบนกระเป๋าและบนนิ้วมือ ดูเหมือนครอบครัวคนรวย
ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเด็กผู้ชาย
แต่มู่เซิ่งสงสัยขึ้นอีก ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดูจนเลย ทำไมลูกชายถึงทำตัวเป็นขโมยแบบนี้ล่ะ
“แม่ ลุงใจร้ายสองคนนี้จะตีผม รีบมาช่วยผมเร็ว!” เมื่อเด็กเห็นแม่ก็ตะโกนขึ้นทันที
มู่เซิ่งใบหน้าจริงจังขึ้นมา เด็กคนนี้ก่อกวนจริงๆ อีกทั้งเขามองดูรอบๆ เสียงตะโกนทำให้แขกจำนวนมากเดินมาทางนี้ด้วย แม้แต่รปภ.ก็ยังเดินมาด้วย
หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำตาลดึงลูกเข้ามา แล้วพูดด้วยสีหน้าปวดใจว่า “ทำไมเหรอจงหนิง ทำไมถึงวิ่งไปทั่วอีกแล้ว”
ระหว่างพูดเธอจ้องมู่เซิ่งอย่างน่ากลัว แล้วก่นด่าว่า “นายนี่จริงๆ เลย นายก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว จะถือสาหาความเด็กงั้นเหรอ ยังจะทำร้ายเด็กด้วย เกินไปแล้วจริงๆ! ทำไมนายถึงไร้คุณธรรมแบบนี้”
เสียงเธอดังมาก ท่าทางเหมือนพวกยัยแก่ปากจัดตามตลาด แค่พูดออกมาก็ดึงดูดให้แขกมามุงดูเป็นจำนวนมาก
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้ เหมือนผู้ชายคนนั้นกลั่นแกล้งเด็ก”
“โอ้ เกินไปแล้ว กลั่นแกล้งแม้กระทั่งเด็ก เขายังเป็นคนอยู่ไหม”
แขกพวกนั้นพูดคุยกันอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทางดูหมิ่น มองมู่เซิ่งกับเหยาเผิงเหมือนพวกรักความชอบธรรมอย่างไรอย่างนั้น
มู่เซิ่งมองไปด้วยสายตาเย็นชา พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ลูกเธอมาชนฉันก่อน ฉันเลยประคองเขาไว้ ผลปรากฏว่าเขาจะขโมยกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงฉัน ตอนนี้เธอมาใส่ร้ายฉัน บอกว่าฉันผิดงั้นเหรอ”
“โอ้!”
เหยาเผิงอึ้งไปและโมโหตามไปด้วย “ฉันว่าแล้ว ทำไมจู่ๆ ลูกพี่ถึงจับเด็กเอาไว้ ที่แท้ก็ขโมยนี่เอง นายรนหาที่ตายหรือไง กล้าขโมยของของลูกพี่ฉัน”
เหยาเผิงชี้ผู้หญิงแล้วตำหนิว่า “ฉันรู้จักกัปตันเรือ ฉันจะให้คนไปแจ้งความจับพวกเธอ!”
เมื่อได้ยินว่าแจ้งความ ผู้หญิงสีหน้าตื่นตระหนกทันที
เธอรีบดึงลูกถอยไปข้างหลัง แล้วก่นด่าออกมาว่า “หึ ผู้ชายอย่างพวกนายดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ลูกฉันเป็นคนว่านอนสอนง่ายจะขโมยของได้ยังไง ไม่แน่อาจไม่ทันระวังยื่นมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงนายเท่านั้นเอง พวกนายต้องใส่ร้ายลูกชายฉันแน่ๆ อย่าคิดว่าพวกนายรู้จักกัปตันเรือแล้วฉันจะกลัวพวกนาย หนิงเอ๋อร์ เราไปกันเถอะ เราอย่าอยู่กับพวกสันดานต่ำแบบนี้เลย โชคดีจริงๆ ที่พวกนายเป็นผู้ชาย”
“อืม”
เด็กชายพยักหน้าอย่างได้ใจ หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่มู่เซิ่งกับเหยาเผิงแล้วเดินออกไป
“บัดซบ มีปัญญาก็อย่าหนีสิ ไปดูกล้องวงจรปิดด้วยกันสิ!” เหยาเผิงโมโหสองแม่ลูกคู่นี้มาก
พนักงานกับรปภ.ที่มาถึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดอย่างนอบน้อมกับมู่เซิ่งและเหยาเผิง หวังว่าเรื่องนี้จะจบแค่นี้
ถึงเด็กคนนี้ขโมยของจริง เด็กอายุน้อยขนาดนี้ก็พูดยาก เดิมทีพวกเขาเป็นพวกอ่อนแออยู่แล้ว จัดการเรื่องแบบนี้ยากมาก
มู่เซิ่งยิ้มแหยแล้วส่ายหน้า ไม่ได้ซักไซ้อะไร
สังคมตอนนี้มีคนทุกประเภท เขาเห็นผลกระทบที่ครอบครัวมีต่อเด็ก ตอนนี้เด็กเหิมเกริมขนาดนี้ก็เพราะแม่ตามใจจนนิสัยเสีย คิดว่าทุกคนเป็นพ่อแม่ที่ยอมเขาได้
และนิสัยขโมยของ ถ้ามู่เซิ่งเดาไม่ผิด แม่เขาน่าจะรู้นานแล้วแต่ก็โอ๋ลูกเหมือนเดิม ไม่ให้เขาปรับปรุงตัวเอง
เด็กเปรตแบบนี้ มู่เซิ่งจะตีหรือด่าก็ยากทั้งนั้น ทำได้เพียงหนีให้ไกลเท่านั้น
เขาเอาของเข้ามาในห้องด้วยตัวเอง
เหยาเผิงบอกมู่เซิ่งว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ใช้โทรศัพท์ในห้องโทรหาเขาได้เลย จากนั้นก็กลับห้องตัวเอง
ภายในห้อง
ของชิ้นเล็กชิ้นอื่นๆ ถูกมู่เซิ่งเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงรูปปั้นทองแดงชิ้นนั้นที่ตั้งอยู่ภายในห้อง สูงประมาณเมตรกว่า ดูมีพลานุภาพเป็นอย่างมาก
การที่ซื้อรูปปั้นทองแดงชิ้นนี้มา เพราะมู่เซิ่งสัมผัสถึงความรู้สึกเดิมๆ ที่คุ้นเคยจากรูปปั้นทองแดง
ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ เป็นความรู้สึกตอนที่เขาเปิดกล่องไม้ที่มีกระบี่กระหายเลือดซ่อนอยู่ รวมไปถึงศิลาหินพิเศษของผู้มากความสามารถเป็นร้อยคน เหมือนกันไม่มีผิด ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าในรูปปั้นทองแดงต้องมีอะไรประหลาดซ่อนอยู่ข้างใน
“จะมีอะไรซ่อนอยู่นะ” มู่เซิ่งดูภายนอกของรูปปั้นทองแดงอย่างละเอียด ตอนนี้มู่เซิ่งบอกให้คนทำความสะอาดคราบสกปรกบนรูปปั้นออกไปหมดแล้ว หลงเหลือเพียงพื้นผิวแวววาว ส่องประกายของโลหะออกมา
มู่เซิ่งสูดหายใจลึก
หลังจากนั้น
พลั่ก!
เขาตบลงบนหัวของรูปปั้นทองแดง
ตึง ตึง ตึง! รูปปั้นทองแดงสูงหนึ่งเมตรพังทลายลง กลายเป็นกองชิ้นส่วนทองแดงพังลงมา……