มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 36 เฮียเฮยเจียว
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 36 เฮียเฮยเจียว
หัวหน้าแก๊งอันธพาลหยิบขวดเหล้าบนโต๊ะขึ้นมา และพุ่งใส่ทันที พร้อมทั้งพูดอย่างโกรธเคือง “ไอ้กระจอกอย่างแกยังกล้าจองหองอวดดีได้ขนาดนี้อีก? กูว่ามึงแทบไม่รู้จักว่าคำตายมันสะกดยังไงมั้ง!”
อันธพาลคนนั้นลงมืออย่างรวดเร็ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าฝึกวรยุทธิ์แบบบ้านๆ มา จังหวะที่สิ้นเสียงนั้น ขวดเหล้าที่อยู่ในมือก็ปรากฏอยู่ด้านหน้ามู่เซิ่งเรียบร้อยแล้ว
ส่วนมู่เซิ่งนั้นก็ยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไร้การเคลื่อนไหว
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของหัวหน้าแก๊ง โหดเหี้ยมอย่างผิดปกติ พลันแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น “เชี่ย ในเมื่อมึงรนหาที่ตาย กูจะสงเคราะห์ให้มึงไปสบายเอง!”
ขวดเหล้าโบกพลิ้วดั่งสายลม รวดเร็วและรุนแรงมาก มุมปากของอันธพาล เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายมากขึ้นกว่าเดิม ในสายตาของเขา ถ้าไอ้สวะมันโดนขวดเหล้าตีหัว เกรงว่าไม่ตาย ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตาม ภาพที่เขาละเมอเพ้อพกไปเองกลับไม่ได้เกิดขึ้น
มุมปากของมู่เซิ่งกระตุกรอยยิ้มอันเรียบเฉย พร้อมทั้งหันข้างลำตัว และพุ่งกำปั้นตรงปลายคางของไอ้นักเลงเร็วกว่าขวดเหล้าที่จะกระทบเข้าหาเพียงชั่วพริบตา
นักเลงที่เพิ่งจะส่งเสียงพูดจองหองเมื่อวินาทีก่อนใบหน้าเงียบนิ่งขึ้นมาทันที ร่างกายแข็งทื่อ ร่างกายหงายหลัง พร้อมทั้งล้มลงและลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
ปึก!
จนกระแทกเข้าโต๊ะ พลันมีเศษไม้แตกดั่งเกล็ดหิมะ ร่วงหล่นลงมาอยู่ตลอด
แค่สะบัดกำปั้นออกมาครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นหวางกุ้ยหรือพวกนักเลงหัวไม้ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างตกตะลึงกันเป็นแถบ! เชี่ย ไอ้กระจอกคนนี้ ที่แท้มันก็ต่อสู้เก่งขนาดนี้เชียวเหรอวะ?
มีแค่เจียงหว่านคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนสีหน้าเริ่มสู้ดีขึ้นมาบ้าง เธอเคยเห็นมู่เซิ่งต่อสู้มาแล้ว แต่ถึงกระนั้น สีหน้ายังคงปรากฏความแปลกใจอย่างแรงกล้าออกมาอยู่บ้าง
ไอ้อันธพาลสองคนที่ยืนขนาบต่างถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ
“ฮ่าๆ มู่เซิ่ง กูเดาไว้ตั้งแต่แรกว่ามึงต่อสู้เก่ง” หวางกุ้ยกัดฟัน พลันพูดอย่างต่ำช้า “มึงคิดว่ากูไม่รู้ความเป็นมาของมึงเหรอวะ? ที่ Royal Club ที่กูยอมปล่อยมึงให้รอดไปสักครั้งในตอนแรกนั้น วันนี้ มึงไม่มีโอกาสรอดซ้ำสองได้อีกแล้ว!”
“ไอ้เวรอย่างมึงจะสู้เก่งขนาดไหน แล้วจะสู้กับคนทั้งกลุ่มได้เหรอวะ?”
เมื่อสิ้นเสียง พลันมีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบกลุ่มหนึ่งดังขึ้นมา ราวกับมีคนหนึ่งร้อยคนปรากฏตัวออกมาจากอากาศ จากทั่วทุกทิศทุกทางของฟาร์ม พลางทำให้ทั้งห้องอาหารเบียดเสียดยัดเยียดจนน้ำไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างฉับพลัน
เจียงหว่านหน้าซีดราวน้ำค้างแข็ง ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มีคนเยอะแถมเพิ่มได้มากมายขนาดนี้?”
“มู่เซิ่ง เราควรจะทำอย่างไรดี?” การถูกคนจำนวนมากล้อมหน้าล้อมหลัง เจียงหว่านอดใจไม่ไหวจนดึงชายเสื้อของมู่เซิ่งไว้แน่น รู้สึกตื่นเต้นมาก
เจียงหว่านเป็นคนที่พ่อแม่คอยประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด แล้วเอาเวลาไหนที่เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประเภทนี้?
“เฮียเฮยเจียว ตรงนี้ ผมอยู่ตรงนี้!”
หวางกุ้ยโบกมือให้กับผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำท่ามกลางกลุ่มคนนั้น ด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างเต็มที่
ช่างโชคดีที่เขาเป็นคนมีกลยุทธ์ที่ดี สามารถคาดการณ์ไว้ว่ามู่เซิ่งสู้เก่ง เจียงมู่หลงเชิญเฮยเจียวมาด้วยในเวลานี้ ย่อมไร้ข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน
ขณะนั้น เฮยเจียวเดินออกมาจากกลุ่มคน และยืนอยู่ด้านหน้าของหวางกุ้ย ซึ่งระยะห่างจากมู่เซิ่ง เพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นเอง
เขาหันหน้าเหล่มองมู่เซิ่งแวบหนึ่ง จนเกิดความขมขื่นในใจจนอธิบายไม่ถูก
หวางชิ่งคุนโทรศัพท์มาหาท่านหลงเพื่อขอยืมคน แต่เรื่องนี้ ก็ถูกสวีเจ๋อปิงห้ามไว้ตั้งแต่แรกแล้ว! ท่านหลงจะกล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลมู่ได้ยังไง ดังนั้นจึงกำชับให้เฮยเจียวเข้าข้างมู่เซิ่งเอาไว้ อย่าได้จำผิดคนเป็นอันขาด
ถึงแม้เฮยเจียวไม่รู้ว่ามู่เซิ่งมีอำนาจมากมายขนาดนี้มาจากไหน แต่สถานการณ์ในเวลานี้ การช่วยเหลือมู่เซิ่งหรือหวางกุ้ย เขามีสิทธิ์เลือกได้ด้วยเหรอ?
“มู่เซิ่ง วิ่งหนีเร็ว คุณรีบวิ่งหนีเถอะ!”
เจียงหว่านหน้าซีดเผือด เตรียมผลักมู่เซิ่งให้ออกไปทางด้านนอก ทว่าวินาทีนั้นกลับถูกกลุ่มคนล้อมหน้าล้อมหลังดักทางไว้หมด แทบไม่มีทางหนีรอด
วินาทีนั้นเอง ดวงตาของเธอตกใจจนหลับตาลง ราวกับเธอมองเห็น ภาพมู่เซิ่งเข้ามาปกป้องเธอจากนั้นล้มลงจนเลือดไหลนองไปทั่ว
มุมปากมู่เซิ่งมีแต่รอยยิ้ม พลางจ้องมองคนเป็นร้อยที่อยู่ทางด้านหน้า ไร้ความหวาดกลัวสักนิด
“พี่ใหญ่” เฮยเจียวเดินมาอยู่ทางด้านหน้ามู่เซิ่ง พลางก้มศีรษะลงและกล่าวอย่างพินอบพิเทา
“เฮียเฮยเจียว ผมกับเฮียสามารถเรียกขานพี่น้องได้ ถึงแม้ว่าพี่ชายผมเชิญเฮียมา เฮียไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นครับ”
หวางกุ้ยคิดว่าเรียกเขา จนรู้สึกได้หน้าเพิ่มเป็นเท่าตัว พลางพูดเสียงดังลั่น “เฮียเฮยเจียว ครั้งนี้ที่ผมเรียกเฮียมา ก็เพื่อสู้กับมัน! สู้กับไอ้กระจอกนั่น!”
“แต่ว่า คงไม่ลำบากให้พี่ลงมือเอง พวกแกหลายคนนั้น เข้าไปจัดการให้ฉันก่อน!”
หวางกุ้ยผายฝ่ามือออก พร้อมทั้งตะคอกเสียงดังลั่น
“นายบาดหมางกับเขาเหรอ? เลยอยากให้ฉันยำเขา?” จู่ๆ เฮยเจียวเอี้ยวศีรษะ เพื่อพูดกับหวางกุ้ย
“ใช่ ไอ้กระจอกคนนี้แหละ!” หวางกุ้ยพูด
ผลพวงคือเขาเพิ่งพูดจบ ก็มองเห็นเฮยเจียวก้าวเท้าเดินมาทางด้านหน้า พลันใช้มือข้างหนึ่งตบหน้าหวางกุ้ยเต็มแรง
เพี๊ยะ!
การตบครั้งนี้ใช้แรงเต็มที่ ใบหน้าอันอวบอ้วนของหวางกุ้ย บวมฉึ่งขึ้นมาฉับพลัน
หลังจากเฮยเจียวใช้มือตบเสร็จแล้ว เขายังรู้สึกว่าไม่พอ จึงได้ใช้อีกหมัดต่อยเข้าท้องของหวางกุ้ย ต่อยจนหวางกุ้ยทรุดตัวนั่งคุกเข่ากองอยู่ที่พื้น
หวางกุ้ยเอามือกุมหน้า สีหน้าเจ็บปวดและไม่เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม “เฮียเฮยเจียว เฮีย เฮียทำร้ายผิดตัวหรือเปล่า?”
ไม่เพียงแต่หวางกุ้ย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างตกตะลึง
นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? หวางกุ้ยเชิญเฮยเจียวมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงได้ลงมือกับเขาล่ะ?
“ไอ้เวร กูต่อยมึงนี่แหละ!” เฮยเจียวโกรธเกรี้ยวจนทนไม่ไหว พลางใช้ฝ่ามือตบหน้าหวางกุ้ยเพิ่มอีกสองครั้ง “หวางกุ้ย ไอ้เวรสมองมึงพิการหรือเปล่าวะ คนใหญ่คนโตขนาดนี้มึงยังกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีกเหรอวะ?”
“ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น? กูไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนกับใครที่ไหนวะ?”
หลังจากถูกตบหน้าไปสองครั้ง จนหวางกุ้ยตกอยู่ในสภาพงุนงง
ในความทรงจำของเขา ไม่เคยเสนอตัวแกว่งเท้าหาเสี้ยนกับพวกคนใหญ่คนโตที่ไหนนี่ ถ้าพูดถึงมู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า มันก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง ยิ่งเป็นไปไม่ได้แน่
หวางกุ้ยรู้สึกสงสัยเต็มอัตรา แต่เขาได้แต่ก้มหน้า ปล่อยให้หมัดของเฮยเจียวกระทบลงบนร่างกายของเขา
เฮยเจียวเดินมาอยู่ข้างกายของมู่เซิ่ง ตอนที่เตรียมพูดอะไรนั้น พลันได้ยินมู่เซิ่งเอ่ยปาก “พาภรรยาฉันไปที่รถก่อน”
มีบางเรื่องที่เขาต้องจัดการ แต่ไม่อยากลงมือจัดการต่อหน้าเจียงหว่าน
เจียงหว่านกำชายเสื้อของมู่เซิ่งไว้แน่น ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่อยู่ทางด้านหน้า หวางกุ้ยเรียกคนมา จู่ๆ ทำไมถึงได้ลงมือกับตัวเขาเอง อีกอย่างเมื่อมองลักษณะท่าทางของเฮยเจียวและมู่เซิ่งแล้ว ดูเหมือนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?
“วางใจเถอะ ผมไม่เป็นไรหรอก คุณไปรอผมที่รถก่อนนะครับ”
มู่เซิ่งตบไหล่เจียงหว่านอย่างแผ่วเบา พลางพูดโทนน้ำเสียงนุ่มนวล
เจียงหว่านกัดฟัน นัยน์ตาจับจ้องที่ตัวมู่เซิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
“รอเรื่องนี้จบลง ผมจะกลับไปอธิบายให้คุณฟังนะครับ” มู่เซิ่งพูด
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจียงหว่านจึงยอมปล่อยมือ
เฮยเจียวเดินคุ้มกันเจียงหว่านออกจากฟาร์ม จากนั้นจึงเดินมาทางด้านหน้ามู่เซิ่งอย่างพินอบพิเทา พลางฉีกยิ้มเล็กน้อย “พี่ใหญ่ เรื่องนี้ผมขอจัดการเองได้มั้ยครับ? ถ้าคุณต้องการ ผมสามารถฆ่าเขาให้ตายได้เดี๋ยวนี้เลย!”
อะไรนะ?!
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยเจียว ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด
เอ่อ นี่มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น? หนึ่งในลูกน้องอารักขาคนใกล้ชิดที่คอยคุ้มกันท่านหลงผู้ยิ่งใหญ่ ปรากฏว่ากลับแสดงความเคารพต่อมู่เซิ่งถึงเพียงนี้! การให้ความเคารพเช่นนี้ ราวกับการได้เข้าพบตัวท่านหลงเองเฉกเช่นนั้น
มันก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง
เฮยเจียวจ้องมองหวางกุ้ย ขยับมือเล็กน้อย พลันพูดเสียงเข้ม “หวางกุ้ย แกล่วงเกินคุณมู่เซิ่ง งั้นก็รอเก็บศพเถอะ!”
“เชี่ย เฮยเจียว วันนี้ถือว่ากูซวยฉิบหาย”
หวางกุ้ยกลืนน้ำลายลงคออย่างหนักหน่วง และตระหนักได้ทันทีว่าเวลานี้เฮยเจียวโอนเอียงไปทางฝ่ายมู่เซิ่ง
เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง จนหลังชนกำแพงพร้อมทั้งพูดข่มขู่ออกมา “เฮยเจียว ถึงแม้ว่ากูสู้มึงไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้กลัวมึง! โชคดีที่หวางชิ่งคุนพี่ชายกูเป็นคนใหญ่โตในเมืองเยียนจิง ถ้ามึงกล้าแตะต้องกู เมื่อเขารับรู้ มึงตายหาศพไม่เจอแน่!”
ฝ่ามือในการเคลื่อนไหวของเฮยเจียวชะงักงันทันที สีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างมาก