มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 382 น้องสาวคนเมื่อวานนี้
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่382 น้องสาวคนเมื่อวานนี้
เมื่อมู่เซิ่งกลับไปถึงโรงแรม ก็พอดีพบกับนักศึกษาสาวมัธยมปลาย ยืนชะเง้อหันมองซ้ายมองขวาอยู่
ข้าง ๆ เด็กนักศึกษาสาวคนนั้น ยังมีสาวทรงโตยืนอยู่ด้วย ทรงผมย้อมทองมองสะดุดตา ยืนพิงข้าง ๆ รถเก๋งบีเอ็มคันสีแดง
นักศึกษาสาวคนนั้นพอเห็นมู่เซิ่ง ก็รีบโบกมือให้ เดินตรงเข้ามาหา
“ในที่สุดก็ได้พบคุณแล้ว!” เด็กสาวทรงโตคนนั้นลากนักศึกษาสาวที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากพูดขึ้น “ฉันชื่อซูอีเข่อ คนนี้เป็นเพื่อนซี้ชื่อถงเสี่ยวเย่ เธอเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฉันฟังแล้ว ฉันเลยตั้งใจพาเธอมาขอบคุณคุณ”
“อ่า ขอบคุณ…….” ถงเสี่ยวเย่เอาแต่ก้มหน้า เสียงพูดฟังแปลก ๆ
“ไม่เป็นไร”
มู่เซิ่งหัวเราะแห้ง ๆ คนเขาตั้งใจจะช่วยเขาในตอนนั้น จึงถูกเจ้าลูกเศรษฐีนั่นรังแก ถ้ามู่เซิ่งวางตัวเฉยไม่ช่วย นั่นถึงจะเป็นเรื่องไม่ใช่
“พวกฉันเป็นเพื่อนนักเรียนกัน พี่ชาย คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” ซูอีเข่อดูจะเป็นคนคล่องตัวกว่าถงเสี่ยวเย่มาก ลักษณะนิสัยอย่างถงเสี่ยวเย่นี่ มู่เซิ่งคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าตอนนั้นเธอทำไมถึงกล้าออกหน้ามาช่วย
“ผมมาจากต่างถิ่น จะมาทำธุระที่นี่หน่อย” มู่เซิ่งก็บอกไปตามจริง
“อ๋อ ๆ เป็นงี้เองเหรอ” ซูอีเข่อผงกหัวแล้วพูด “พี่ชาย ฉันเรียกคุณยังไงดี?”
“เรียกผมว่ามู่เซิ่งก็ได้” มู่เซิ่งผงกหัว
“ได้ เรียกคุณว่าพี่มู่ละกัน”
ซูอีเข่อดูโตเต็มวัยกว่าถงเสี่ยวเย่อย่างชัดเจน เธอเดินขึ้นหน้ามา ถึงขนาดโอบไหล่มู่เซิ่งเริ่มตีสนิทคุยกันฉันพวกพ้อง พอรู้ตัวว่าหุ่นเล็กไปเลยต้องก้าวถอยออกมาหน่อย พูดว่า “พี่มู่ ฉันเห็นถงเสี่ยวเย่บอกว่าพี่ต่อยตีเก่ง พี่เคยเรียนมาเหรอ?”
“พอได้ ฉันฝึกเรียนเอง” มู่เซิ่งตอบไป
“คืองี้ พี่มู่ ฉันมีเรื่องอยากขอร้องพี่มู่ช่วยหน่อยได้ไหม?” ซูอีเข่อพูด
มู่เซิ่งถึงกับสะอึก ตามมาด้วยสีหน้าแบบยิ้มฝืน ๆ มองไปที่ถงเสี่ยวเย่ถามว่า “พวกเธอสองคนมาหาผมนี่ คงไม่ใช่มาชวนให้ผมไปตีกับใครนะ?”
ถงเสี่ยวเย่หน้าแดง เธอไม่เคยรู้จักมู่เซิ่งเลย แล้วมาขอให้เขาไปช่วยแบบนี้ มันไม่สบายใจเอาเลยจริง ๆ
ซูอีเข่อกลับพูดไปอย่างเปิดเผยชัดเจน “ใช่แล้ว พี่มู่ พี่ไปช่วยพวกฉันตีกันหน่อย”
“……”
มู่เซิ่งก็อึ้งพูดไม่เป็นเลย
ยัยเด็กสองคนนี้กลับมาให้ตัวเขาเป็นพวกนักตีกัน เขาเตรียมจะบอกปฏิเสธไป แต่นึกกลับอีกที ตัวเองก็ยังต้องอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง นอกจากการแข่งขันของสี่องค์กรใหญ่แล้ว ใกล้ ๆ นี้ที่จะมีงานสัมมนาที่กลุ่มเศรษฐีนักธุรกิจจัดขึ้น ก็ยังต้องอีกอาทิตย์หนึ่งไปแล้ว ในช่วงนี้เขาก็ว่างอยู่ไม่ได้ทำอะไร ก็ไปช่วยกันหน่อยจะเป็นไรไป
มู่เซิ่งจึงได้พูดไปว่า “จะให้ไปช่วยเมื่อไหร่?แต่ผมบอกก่อนนะ ผมสู้กับคนมากเกินก็ไม่ไหวนะ”
“ไม่เป็นไร คุณยอมมาด้วยก็โอเคแล้ว!” ซูอีเข่อพูดด้วยความตื่นต้น เธอยังคิดว่ามู่เซิ่งจะไม่ยอมตกลงเสียอีก แล้วก็ใช้มือตบ ๆ รถบีเอ็มคันสีแดงนั้น พูดด้วยความสะใจว่า “พี่มู่ ขึ้นรถฉันไปเลย”
ดูท่ายัยซูอีเข่อคนนี้ก็คงเป็นพวกลูกสาวเศรษฐี คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีปัญญาซื้อรถระดับห้า/หกแสนอย่างบีเอ็มแบบนี้ได้หรอก แต่ภายในรถของเธอ กลับติดประดับรูปอย่างเว่อของมีดพกและอาวุธประเภทดูแล้วหนาว คลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด ดูแล้วไม่เข้ากับสไตล์ของซูอีเข่อเลย
มู่เซิ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ถึงได้ชอบของที่ดูรุนแรงคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือดแบบนี้
สิบห้านาทีให้หลัง รถก็ได้จอดลงที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหนานเจิ้น
“ที่แท้พวกคุณเป็นนักศึกษามหา’ ลัย” มู่เซิ่งรู้สึกสะท้อนใจลึก ๆ
เด็กสองคนนี้ดูหน้าตาอ่อนมาก เขาเห็นครั้งแรก ยังคิดว่าเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย
“พี่มู่ พวกเราปีสองแล้วอ่ะ ไม่งั้นพี่ไม่เห็นหรือว่าฉันขับรถได้” ซูอีเข่อพูดไปพร้อมหัวเราะฮิ ๆ
มู่เซิ่งคิดดูแล้วก็จริง “แต่พวกเธอเป็นนักศึกษามหา’ ลัยปีสอง ไม่ตั้งใจกับการเรียน เอาแต่มาตีกันมันเรื่องอะไร?”
“นี่คำพูดก็คุณพูดเองนะ คุณจะโตกว่าฉันสักกี่ขวบกันนะ พูดยังกับพวกเราเป็นเด็กงั้นแหละ” ซูอีเข่อค้อนตาคว่ำใสมู่เซิ่ง
ตามด้วยพูดกับถงเสี่ยวเย่ว่า “เสี่ยวเย่ เธอพาพี่มู่เข้าไปเดินเล่นในมหา’ ลัยสิ มหา’ ลัยของเรานี่ก็จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่เหมือนกันนะ”
“อือฮึ” ถงเสี่ยวเย่ผงกหัว พามู่เซิ่งเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยไป
แต่ที่ทำให้มู่เซิ่งต้องรู้สึกแปลกใจก็คือ ยัยเด็กคนนี้ตลอดทางที่เดินมาเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
มู่เซิ่งก็ไม่อยากไปใส่ใจมาก กลับมองดูวิวทิวทัศน์ไปให้เพลิน มหาวิทยาลัยหนานเจิ้นแห่งนี้จัดเป็นมหาวิทยาลัยมีระดับอยู่ อีกทั้งฉู่อีอีก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ใกล้ ๆ นี้ก็ได้มาปรึกษามู่เซิ่งให้ช่วยดู ๆ เรื่องมหาวิทยาลัยให้ด้วย มู่เซิ่งก็ถือโอกาสนี้มาดูไว้
ถูกจูงเดินเข้าไปในสวนของมหาวิทยาลัย คนเดินสวนกันไปสวนมา และมู่เซิ่งอยู่ข้าง ๆ ถงเสี่ยวเย่ ก็ได้กลายเป็นจุดสนใจ แต่สายตาของเขาพวกนั้นดูแปลก ๆ แววตาเหมือนรู้สึกประหลาดใจ ยิ่งกว่านั้นยังบางคนมีการชี้โน่นชี้นี่ ซุบซิบกันเสียงค่อย ๆ กับตัวมู่เซิ่ง
ซูอีเข่อเดินตามทันมาข้างหลัง พูดเสียงเบา ๆ กับถงเสี่ยวเย่ว่า “เสี่ยวเย่ ถึงแม้ว่าพี่มู่ช่วยเธอไว้ก็จริง ที่เธอคิดมอบกายใจให้เขานั่น สำหรับเธอสองคนมันจะเร็วไปมั้ง ถึงกับเดินเบียดกันบนทางโล่งแจ้งในมหา’ ลัย เธอจะสร้างกระแสซุบซิบหรือไง”
ถงเสี่ยวเย่สะดุ้ง ตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัวว่าระยะห่างของตัวเองน้อยไปหน่อย จนแทบจะเบียดกับตัวของมู่เซิ่งแล้ว หน้าเลยแดงขึ้นมาในทันที พูดว่า “ซูอีเข่อ นี่เธอถ้าขืนพูดส่งเดชอีก ระวังเดี๋ยวฉันจะเลิกคบเธอ!”
ซูอีเข่อแลบลิ้นหลอกใส่ เมื่อวานนี้ถงเสี่ยวเย่ก็เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน จนเธอได้จี้ซักถาม ถงเสี่ยวเย่จึงได้เล่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนให้ฟัง
เธอถึงแม้ไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่จากคำกล่าวขานเรื่องประสบการณ์ของตัวหนังสือบนกระดาษบอกเธอ ถงเสี่ยวเย่เพื่อนซี้ของเธอคนนี้ แน่นอนชัดเจนแล้วว่าชอบมู่เซิ่งเข้าไปแล้ว อย่างที่เรื่องเล่าขานเรียกกันว่ารักแรกพบ!
ด้วยเหตุนี้ วันนี้เธอจึงได้ตามหาจนเจอมู่เซิ่ง แล้วก็ตั้งใจหาข้ออ้าง ลากเอามู่เซิ่งมาที่มหา’ ลัย
“ทำไมพวกเขาต้องจ้องมองพวกเราด้วย?” กับสายตาของคนพวกนั้น มู่เซิ่งให้สงสัยอยู่
“นี่คงเป็นเรื่องที่คุณไม่รู้แน่ละ เสี่ยวเย่เพื่อนรักของฉันคนนี้ เป็นดาวมหา’ ลัยของพวกเราที่นี่นะ ครองมาสองสมัยต่อกันแล้ว!ขอให้เป็นนักศึกษาของมหา’ ลัยนี้ มีใครไม่รู้จักเธอ?” ซูอีเข่อคุยโอ่อย่างภาคภูมิใจ
“ดาวมหา’ ลัย ที่แท้เธอเป็นดาวมหา’ ลัย?” มู่เซิ่งพูดอย่างอัศจรรย์ใจ
เขามองไปที่ถงเสี่ยวเย่ วันนี้เธอใส่กางเกงยีนสีน้ำเงิน ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว กับหุ่นที่ดีมาก เปล่งประกายสดสวยวัยใส
จะโทษมู่เซิ่งไม่ได้ว่าไม่สังเกต เพราะเขาเองตั้งแต่เห็นเจียงหว่านแล้ว รสนิยมยกสูง สายตานั้นยากที่จะมีสาวคนอื่นเข้าไปได้
“อ้าว พูดยังไงนี่?หรือคุณเห็นว่าฉันขี้เหร่มากหรือไง?” พอถงเสี่ยวเย่ได้ยินที่พูด หน้าสวย ๆ นั้นดำขึ้นมาทันที “คุณหมายถึงว่าฉันไม่คู่ควรกับตำแหน่งดาวมหา’ ลัยเร๊อะ!”
“มีที่ไหน ผมแค่รู้สึกทึ่งขึ้นมาเท่านั้น ใช่แล้ว พวกเธอจะให้ผมไปตีกับใครกัน?”
มู่เซิ่งทำผายมือ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ก็แน่นอนว่าเป็นที่สโมสรเทควันโดของมหา’ ลัยนั่น ใกล้ ๆ นี้ที่สโมสรมีประธานคนใหม่มา ทำตัวฮอทมากในมหา’ ลัย ถึงขนาดโฆษณาออกประกาศ วัน ๆ คุยแต่ความเก่งกาจของสโมสรเขา วางตัวเหนือชั้นในมหา’ ลัย”
ซูอีเข่อก็รีบพูดขึ้นมาทันควัน ดูเหมือนพอพูดถึงสโมสรเทควันโดนี้ขึ้นมา เธอก็คันเขี้ยวขึ้นมาทันที “นี่ยังพอว่าช่างมันได้ แต่ใกล้ ๆ นี้…….”