มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 384 ไม่พอมือคุณ?
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่384 ไม่พอมือคุณ?
“บทเรียนในวันนี้จบเพียงแค่นี้ ทุกคนใครที่ยังทำไม่ได้ สามารถไปทบทวนเทคนิคที่ผมสอนไว้แล้วก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็มาที่ห้องเรียนถามผมได้ ต่อจากนี้ ก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนทักษะทดลองต่อสู้กันและกัน”
ประธานจี้เหว่ยเอ่ยปากพูดว่า “ถานซิง คุณมาสาธิตให้หน่อย”
ถานซิงผงกหัว สะบัดผมสีเขียวบนหัว ยืนเข้าไปอยู่ตรงกลางเวที
ในขณะนั้น เขาก็ได้เปลี่ยนใส่ชุดเทควันโดใหม่แล้ว ที่เอวของเขา ยังได้คาดสายคาดเอวสีแดงเส้นหนึ่ง
สายคาดเอวสีแดงในระดับขั้นฝีมือเทควันโด ก็เพียงรองลงมาจากสายสีดำ สีแดงหมายถึงพลังจู่โจม ถึงแม้จะไม่เก่งกาจเท่าสายสีดำ แต่สำหรับคนทั่วไปก็จะต้องฝึกหนักกันอยู่หลายปี จึงจะมาถึงขั้นนี้ได้
ประธานจี้เหว่ยก็ได้จัดคู่ซ้อมมาอีกคนหนึ่ง คนนั้นก็อยู่ในขั้นสายสีแดงเหมือนกัน
ทั้งสองเข้าประมือกัน แลกกันไปแลกกันมา ทุกคนที่อยู่ข้างล่างต่างก็จ้องดูกันอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาส่วนมากจะเป็นนักเทควันโดมือใหม่ กับการประมือกันของระดับสายแดงนั้นจัดว่าเก่งกาจมากแล้ว พอให้พวกเขาดูไว้ใช้ศึกษาไปอีกนาน
ทั้งสองสู้กันอยู่พักหนึ่ง ถานซิงขยับเพิ่มแรงขึ้น ยกแข้งสูงเตะกราดไปทางด้านข้าง พาส่งร่างนักชกสายแดงอีกคนกระเด็นลอยออกไป
“ศิษย์พี่ถานยอดเยี่ยมจริง ๆ ” นักชกสายแดงอีกคนนั้นพอลงถึงพื้น ยกมือคำนับแล้วพูด
“ก็นั่นแหละ ศิษย์พี่ถานนี่ฝึกเต็ม ๆ เป็นเวลาหลายปีแล้ว ฝีมือของเขาตอนนี้ ห่างขั้นสายดำแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น” เหล่าคนที่ดูกันอยู่ข้างเวทีต่างพูดเยินยอกันขึ้นมา
“นั่นสิ ศิษย์พี่ถานตอนนี้ต้องนับว่าเป็นอันดับหนึ่งที่รองลงมาจากประธานจี้เหว่ยแล้วนะ!”
“ไม่รู้ศิษย์พี่ถานเมื่อไหร่จะได้ถึงขั้นสายดำนะ ถ้าได้อย่างนั้น ก็คือสโมสรเทควันโดของเราก็จะมีระดับสายดำถึงสองคนเลย”
คนทั้งหลายต่างคนต่างพูดต่อ ๆ กันไป กับการประลองฝีมือครั้งนี้ ได้รับเสียงปรบมือจากรอบ ๆ เวทีอย่างชื่นชม
และก็มีสาว ๆ จำนวนไม่น้อยที่มองมาดเท่ของถานซิงที่วางบนเวที ตบมือกันจนมือบวมแดง ไปหาที่ไหนได้อีกนะ หนุ่มหล่อปานเทพบุตรทั้งฝีมือก็เก่งแบบนี้
ถานซิงขยับมือบีบกำปั้น พูดต่ออีกว่า “พรรคหลังนี่ผมได้ฝึกน้อยลง รู้สึกการออกหมัดไม่ค่อยจะคล่องตัว ศิษย์น้อง หรือคุณช่วยเป็นคู่ซ้อมฝึกกันเล่น ๆ ต่ออีกหน่อยนะ?”
เจ้าสายแดงคนนั้นไหนเลยจะกล้าต่อ รีบพูดว่า “ศิษย์พี่ถาน พี่อย่าหาผมเลย ผมไม่มีทางจะเป็นคู่ต่อสู้ของพี่ได้เลย”
“ฝีมือระดับอย่างพี่ สอบเทียบขึ้นขั้นไปสายดำได้เลยอย่างไม่มีปัญหา แล้วจะให้ผมซึ่งเพิ่งไต่ขึ้นมาได้สายแดงคนนี้ จะเอาอะไรไปสู้พี่ได้ เอาเถอะพี่ผมขอละ”
“งั้นยังมีใครจะขึ้นมาอีกมั้ย?” จี้เหว่ยรู้ถึงฝีมือของถานซิงดี จึงไม่คิดจะฝืนเรียกใคร กวาดสายตามองถามไปรอบ ๆ
ข้างล่างต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าปริปาก
ระดับขั้นฝีมือของสมาชิกในสโมสรเทควันโดนี้ไม่สม่ำเสมอ แต่ที่สูงสุดถึงสายแดงนั้นก็มีแค่สิบหก-สิบเจ็ดคน ทั้งก็ยังไม่มีใครสู้ถานซิงได้ ฉะนั้นที่เหลือยังไม่ถึงสายแดง ได้แค่เพียงสายสีฟ้านั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะกล้าปริปาก
เห็นแต่ละคนไม่พูดอะไร จี้เหว่ยขมวดคิ้วย่น กำลังคิดจะสุ่มเรียกใครขึ้นมา ถานซิงก็พูดขึ้น
เขาก้าวขึ้นหน้าไป ทำมือคำนับพูดว่า
“ท่านประธาน ผมเห็นมีคู่ช้อมที่พอจะแลกเปลี่ยนทักษะกันได้อยู่”
“ใครหรือ?” ประธานจี้เหว่ยถาม
“เขานั่น!”
ถานซิงชี้ไปตรงมุมที่มู่เซิ่งนั่งอยู่ พูดด้วยท่าทางยิ้มเย้ย
“คนแซ่มู่นั่น แกซ่านักไม่ใช่หรือ?พูดมาได้ว่าจะท้าประธานของพวกเรา ตอนนี้แกกล้าที่จะขึ้นมาเล่นกับข้าสักตั้งสองตั้งมั้ย?”
ถานซิงท้าไปที่คนดูแล้ว
คนทั้งหมดมองตามไปอย่างตื่นตระหนก ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงมุมนั้น
มู่เซิ่งนั่นเอง!
เขาแม้แต่ชุดเทควันโดยังไม่ได้ใส่ ดูท่าทาง ไม่ใช่คนที่เป็นเทควันโดเลย
“คนนี้เป็นใครกัน?ทำไมขนาดถานซิงจะท้าดวลกับเขา!”
“นั่นสิ เห็นถานซิงบอกว่าไอ้หมอนี่จะมาท้าดวลกับประธานเหรอ?จะหาที่ตายชัด ๆ ในเดือนนี้ข้าเห็นมีมาท้าชิงอยู่สามรายแล้ว มีแต่เห็นเดินเข้ามา เสร็จแล้วก็ต้องหามกันออกไป”
“ใช่แล้ว พวกนายดูสองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาสิ นั่นดาวมหา’ ลัยถงเสี่ยวเย่ไม่ใช่เหรอ?”
“ยังมีซูอีเข่อ โอพระเจ้า ถึงขนาดสองดาวมหา’ ลัยไปนั่งอยู่ข้างเขาเลย ช่างน่าอิจฉาจริงเว้ย”
พอสังเกตเห็นคนนั่งข้างมู่เซิ่งแล้ว นัยน์ตาของทุกคนส่อแววอิจฉาอย่างเข้มข้นขึ้นมาในทันที ถงเสี่ยวเย่กับซูอีเข่อสองคนนี้ ในมหาวิทยาลัยหนานเจิ้น เป็นหญิงในฝันของบรรดานักศึกษาชายทุกคนก็ว่าได้ ตอนนี้มู่เซิ่งปรากฏตัวขึ้น ก็จึงเป็นศัตรูร่วมของนักศึกษาทุกคนไปเลย
พวกเขาแค้นใจจนอยากเห็นมู่เซิ่งถูกอัดกลิ้งลนลานตามควานหาฟันที่ถูกซัดร่วง ให้มันได้อับอายต่อหน้าสองสาวดาวมหาวิทยาลัย
ประธานจี้เหว่ยก็ขมวดคิ้วย่น “คุณแน่ใจว่าจะท้าสู้กับเจ้าหมอนั่นหรือ?”
พูดจบ เขาก็มองไปที่มู่เซิ่งพูดว่า
“ด้วยว่าคุณไม่ได้อยู่ในสายเทควันโด คุณน่าจะไม่ถึงระดับสายขาวเลย พวกคุณสองคนห่างกันไกลมาก ถ้าคุณจะไม่รับคำท้า คุณปฏิเสธได้นะ”
ในแวดวงเทควันโด ใช้สีของสายรัดเอวเป็นตัวแบ่งระดับขั้น จากสายขาวไปเหลืองเขียวฟ้าแล้วก็แดงกับดำ ทั้งหมดนี้สายดำสูงสุด สายขาวต่ำสุด โดยทั่วไปถ้าต่างกันขั้นหนึ่งขึ้นไป ก็ยากที่จะสู้ไหวแล้ว อย่างมู่เซิ่งที่ต่างกันไกลมากนี้ มีแต่จะแพ้อย่างเอน็จอนาถ
ส่วนการที่มู่เซิ่งจะมาท้าชิง?
ในสายตาของจี้เหว่ย มันเป็นเรื่องตลก เขาไม่คิดลดตัวลงไปลงมือกับมู่เซิ่งด้วยเลย
ถานซิงใช้สายตาท้าทายไปที่มู่เซิ่ง หัวเราะพูดเยาะเย้ยไปว่า
“มู่เซิ่ง แกจะมาท้าชิงเหรอ?เห็นคุยว่าจะเอาชนะประธานของพวกข้า เป็นไง แค่ข้าท้าแกนี่ ก็ยังไม่กล้าขึ้นมาแล้วหรือ?”
ซูอีเข่ออดใจไม่อยู่กำลังจะด่าใส่ ถูกมู่เซิ่งห้ามเอาไว้ เธอก็เลยหันมา มองหน้ามู่เซิ่งอย่างอึดอัดใจพูดว่า “คุณ คุณมีความมั่นใจมั้ย?”
ก่อนหน้านี้ก็เธอเองเป็นคนเอาตัวมู่เซิ่งมา สรุปตอนนี้ กลับเป็นห่วงมู่เซิ่งจะสู้เขาไม่ได้
แต่จะว่าซูอีเข่อก็ไม่ได้ ถึงไงซูอีเข่อก็ไม่เคยได้เห็นฝีมือแท้จริงของมู่เซิ่ง ตอนนั้นเขาคิดแค่เพียงท้าดวลกันเอง ถึงแม้จะแพ้ก็ไม่มีอะไร แต่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางสาธารณชน คนรวมกันนับหลายร้อย ถ้ามู่เซิ่งแพ้ หลังจากนี้ไปเขาก็หมดโอกาสจะโงหัวขึ้นเลย
มู่เซิ่งผงกหัว พูดว่า “วางใจเถอะ”
ต่อจากนั้น ภายใต้แววตาที่ตึงเครียดของซูอีเข่อ ก้าวเดินออกไปจากบริเวณสำหรับคนดู เดินขึ้นเวทีไป
“ฮะฮ้า แกยังมีความกล้าพอที่จะขึ้นมาจริง ๆ ด้วย ข้าชักจะนับถือแกขึ้นมาบ้างแล้วหวะ” ภายในตาของถานซิงเต็มไปด้วยการล้อเลียน มองไปที่มู่เซิ่งพูดว่า “พูดก็พูดเถอะว่าแกนี่เคยฝึกเทควันโดมาหรือเปล่า?รู้จักเทควันโดมั้ย?”
“ผมเล่นเทควันโดไม่เป็นจริง ๆ ” มู่เซิ่งส่ายหน้า
ถึงขนาดนี้ ถานซิงยิ่งกระหยิ่มชอบใจ
เขาขยับปากเบ้ใส่ พูดเชิงประชดประชันไปว่า “ก็ไม่เป็นไร แกจะใช้แบบไหนก็ได้แล้วแต่ มวยวัดมวยวาดอะไรก็ได้ไม่เป็นไร”
“ฮา ฮา ฮา ——–”
เสียงฮากันลั่นจากข้างล่างเวที
มู่เซิ่งมองหน้าเขาแบบเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “พูดแบบนี้ คุณตั้งใจจะสู้กับผมแน่แล้วเหรอ?”
“เป็นอะไร แกกลัวแล้วเหรอ?”
ถานซิงยื่นนิ้วมือออกไป จิ้มไปที่หน้าอกมู่เซิ่ง พูดชัดถ้อยชัดคำทีละคำช้า ๆ ท่าทางเย่อหยิ่งอย่างที่สุด ไม่เห็นมู่เซิ่งในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ถ้ากลัว ก็รีบไสหัวลงไปดี ๆ สโมสรเทควันโดไม่ใช่ที่ที่คนขยะอย่างแกจะมาได้ อย่ามาทำคิดเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกแบบในหนัง จะท้าประธานของข้า แกรอไปชาติหน้าเถอะ!”
มู่เซิ่งยิ้มชืด ๆ “ผมห่วงว่าคุณอ่อนหัดเกินไป รับแรงอัดของผมไม่ไหว”
“ข้ารับแรงอัดแกไม่ไหว?”
ถานซิงให้สงสัยจริง ๆ ว่าตัวเองฟังผิด
ไอ้หมอนี่ กลับกล้ามาว่าตัวเองไม่พอมือของมัน?