มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 61 สร้อยคอเพชร
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 61 สร้อยคอเพชร
ตุบบบ!
ร่างกายขนาดใหญ่ร่วงตกลงมา สะเทือนจนพื้นดินเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย
บอดี้การด์ที่อยู่ทั้งสองข้างก็ยังคงยืนอยู่กับที่ และตะลึงงันไปหมด
นี่คือลูกเขยที่มาอยู่กับฝ่ายหญิงที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในเมืองเจียงหนานไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้เก่งกาจมากขนาดนี้?
บอดี้การ์ดคนหนึ่งตั้งสติกลับคืนมาได้ เมื่อมองเห็นมู่เซิ่งกำลังจะเดินไป ก็รีบกัดฟัน และชกหมัดไปที่ศีรษะของเขาอย่างรุนแรง “แม่งสิ! ยังกล้าที่จะลงมือก่อนอีก? รนหาที่ตายจริง ๆ! ”
พลังหมัดโหมกระหน่ำ
มู่เซิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย และก็เคลื่อนไหวในทันที
ความเร็วของเขานั้นเหนือกว่าบอดี้การ์ดคนนี้ ขณะที่พลิกตัวหลบหมัดนี้ มืออีกข้างหนึ่ง ก็ราวกับผีสาง แตะไปที่บนไหล่ของบอดี้การ์ด
นิ้วทั้งห้าออกแรงบีบเต็มที่
แคร็กก! แคร็กก! แคร็กก!
เสียงของกระดูกแตกหักราวกับเสียงถั่วระเบิด ดังขึ้นในทันที
“อ้า มือของฉัน! มือของฉัน! ”
บอดี้การ์ดมีสีหน้าที่เจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด หมัดที่เขาชกออกไปนั้น เวลานี้คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับเส้นหมี่ ที่อ่อนยวบวางอยู่บนไหล่ เมื่อบอดี้การ์ดอีกสองคนมองเห็น ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก แขนข้างนี้ของเขานั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกหักลงอย่างซึ่งหน้า
นี่เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวระดับไหนกันเชียว?
เขาก็แค่เป็นลูกเขยที่มาอยู่กับฝั่งผู้หญิงเท่านั้นเอง!
บอดี้การ์ดที่เหลือต่างยืนอยู่ที่สองข้าง มองดูคนที่ตายไปหนึ่งและบาดเจ็บอีกหนึ่งบนพื้นแล้ว ก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว
มู่เซิ่งไม่แม้แต่จะมองไปที่พวกเขา ยกขาขึ้นแล้วก็ข้ามผ่านร่างของบอดี้การ์ดนั้นไป
เวลานี้ ภายในห้องโถง
เสียงโห่ร้องยินดีก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่หยุด เพียงแต่สีหน้าท่าทางของจางเหวินเจี๋ยในตอนนี้นั้น มันช่างย่ำแย่อย่างที่สุด
“เจียงหว่าน ตกลงว่าฉันเทียบไม่ได้กับไอ้ขยะนั่นตรงไหนกันแน่? ”
ทุกคนสีหน้าแข็งทื่อไปกันหมด
จางเหวินเจี๋ย เหมือนจะโมโหขึ้นแล้ว
“เจียงหว่าน เธอรีบตอบรับไปสิ โอกาสดีแบบนี้แล้ว หากพลาดพลั้งไปก็จะไม่มีอีกแล้วนะ”
“ใช่เลย ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมทั้งนั้น เดิมทีเขาก็เคยตามจีบเธอ ตอนนั้นเธอเองก็ยังชื่นชอบเขามากด้วยไม่ใช่เหรอ? ”
“เขาตั้งใจเตรียมตัวอย่างดีมาเป็นเวลานาน หากเธอกลับปฏิเสธ จะไม่รู้สึกผิดต่อเขาเลยหรืออย่างไร? “
เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมพากันตำหนิ ในสายตาของพวกเขาแล้ว ต่างก็รู้สึกว่าเจียงหว่านไม่เข้าใจหลักการเหตุผลอะไรเสียเลย
เจียงหว่านมีสีหน้าเย็นชา ความรู้สึกดีต่อจางเหวินเจี๋ยที่เคยอยู่ในจิตใจนั้น ได้สูญสิ้นไปตั้งนานแล้ว
เพื่อทำให้ตัวเธอตอบตกลง จึงไม่ลังเลที่จะตีสนิทสานสัมพันธ์กับแม่ของเธอและเพื่อนร่วมชั้นรอบกายเธอให้มาเข้าข้าง โดยการบีบบังคับลักษณะนี้ ช่างไม่ต่างกับคนหน้าด้านที่ไร้เหตุผลเลย
“นายถามฉันว่านายเทียบไม่ได้กับมู่เซิ่งตรงจุดไหนเหรอ? ”
เจียงหว่านสีหน้าโกรธจัด และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ในสายตาของฉันแล้ว ไม่ว่าจุดไหนนายก็เทียบกับเขาไม่ได้เลย! ”
“คุณ—-”
จางเหวินเจี๋ยสีหน้าตกตะลึง แล้วก็ขาวซีดไปในที่สุด
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า เจียงหว่านจะหลงรักไอ้ขยะนั่นมากขนาดนี้เลย!
“คุณนี่ช่างแย่มากที่ไม่รู้จักรองรับน้ำใจของคนอื่นเลย! คุณรู้ไหมว่าที่ฉันตามจีบคุณนั้น ต้องเสียเงินไปมากเท่าไร? “ จางเหวินเจี๋ยชี้ไปที่เจียงหว่านแล้วตำหนิอย่างโกรธแค้น “ในเมื่อคุณไม่ตกลง พวกสิ่งของเหล่านี้ คุณจะต้องชดใช้ให้กับฉัน! ”
“ฉันไม่ได้ใช้ให้นายจัดเตรียมสิ่งของพวกนี้สักหน่อย! ”
เจียงหว่านพูดขึ้นอย่างเย็นชา แววตาเยือกเย็น ยิ่งหนักขึ้นหนักขึ้นไปอีก
คนที่ตามจีบถูกปฏิเสธ กลับกลายเป็นว่าเธอจะต้องเสียค่าชดใช้เองอย่างนั้นเหรอ?
ความรู้สึกของเธอต่อจางเหวินเจี๋ยนั้น ย่ำแย่ลงไปถึงจุดขีดสุด หากรู้ล่วงหน้า ก็จะไม่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนร่วมชั้นแล้ว
“แม่ง วันนี้คุณจะต้องชดใช้เงิน หรือไม่ก็ตอบตกลง โดยที่ไม่มีตัวเลือกอย่างอื่นอีก! ” จางเหวินเจี๋ยโมโหเดือดดาลขึ้น แล้วก็เอื้อมมือไปจับตัวของเจียงหว่านเอาไว้
เปรี๊ยะ!
ยื่นมือออกมาได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกคนหนึ่งจับเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ทุกคนหันหน้ากลับมาด้วยความตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะเห็นมู่เซิ่ง ยืนยิ้มอยู่ข้างเจียงหว่าน
“ไอ้ขยะ? นายแม่งเข้ามาได้อย่างไรกัน? ”
จางเหวินเจี๋ยตกใจ ทั้ง ๆ ที่เขาได้เชิญบอดี้การ์ดมาคุ้มกันแล้ว แต่ทำไมถึงได้ปล่อยให้ไอ้ขยะนี้เข้ามาด้านในได้?
“อาศัยช่วงจังหวะนี้ที่ฉันยังไม่โมโห รีบไสหัวออกไปซะ! ”
มู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินขึ้นมาข้างหน้า และยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเจียงหว่าน
เมื่อเห็นมู่เซิ่ง เจียงหว่านก็อดที่จะแสดงสีหน้าเย็นชาไม่ได้ และส่งเสียงฮึขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับพูดว่า “ฮึ! ทำไมนายถึงได้มาช้าขนาดนี้! ”
ถ้าหากมู่เซิ่งมาถึงเร็วกว่านี้สักหน่อย เธอเองก็คงไม่ต้องถูกจางเหวินเจี๋ยกวนใจอย่างนี้
มู่เซิ่งหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนเช้าแม่ของคุณได้ขัดขวางฉันเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ฉันออกมา”
สีหน้าท่าทางของเจียงหว่านจึงดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงโมโหอย่างมากอยู่ และพูดขึ้นว่า: “ต้องโทษนาย ฉันได้บอกเอาไว้แต่แรกแล้วว่า ไม่สมควรที่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อนร่วมชั้นนี้! ”
“ไม่เป็นไร มีฉันอยู่ทั้งคน”
มู่เซิ่งแอบจับมือเจียงหว่านอย่างลับ ๆ
ฝ่ามืออบอุ่น เจียงหว่านคิดที่จะสะบัดมืออก แต่ความรู้สึกที่ถูกกุมมือไว้นั้น ช่างทำให้เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก
“นี่ก็คือสามีที่ไม่ได้เรื่องของเจียงหว่านอย่างนั้นเหรอ? ”
“เหอะเหอะ สวมใส่เสื้อผ้าแบกะดินทั้งนั้นเลย แต่งตัวโทรมเกินไปหน่อยไหมล่ะ? ”
“ไอ้ขยะแบบนี้ จะไปคู่ควรกับเจียงหว่านได้อย่างไรกัน หากนายรู้จักตนเองดีกว่านี้หน่อย ก็ควรที่จะไสหัวไปซะแต่เนิ่น นายไม่มีทางที่จะทำให้เธอมีความสุขได้แน่นอน”
“ใช่เลย เอาแต่เกาะเธอกินและยังสร้างเรื่องทำให้เธอเดือดร้อนอีก”
เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่โดยรอบก็ได้วิพากษณ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ แสดงท่าทีที่หวังดีต่อเจียงหว่าน
เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงหลายคนจ้องมองไปที่มู่เซิ่ง ในลักษณะท่าทางที่เหยียดหยาม ไอ้ขยะอย่างมู่เซิ่งนี้ หากจะบอกว่ารู้จักมักคุ้นกัน ก็คงจะอับอายขายหน้าพวกหล่อนเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็อยู่ฝั่งเดียวกันกับเขา จางเหวินเจี๋ยก็เกิดรอยยิ้มขึ้น ที่บริเวณมุมปาก และพูดขึ้นอย่างเย็นชา:
“ไอ้ขยะ คิดที่จะมาแย่งกับฉันเหรอ? นายไม่ดูสถานะของนายเองบ้างว่าเป็นใคร และดูสถานะของฉันบ้างว่าเป็นใคร? ”
“ฉันเป็นถึงผู้จัดการบริษัทมู่หราน และอีกไม่นานนี้ยังจะรับงานโครงการซีไห่ต่อจากมู่ซื่อ กรุ๊ปด้วย มีรายรับต่อปีเกินกว่าสิบล้าน! ”
“ส่วนนาย ก็แค่ลูกเขยที่มาอยู่กับฝ่ายหญิงและเกาะผู้หญิงกิน นายมีรายรับอะไรบ้างไหม? นายแม่งเลี้ยงดูเจียงหว่านไหวไหม? ”
จางเหวินเจี๋ยได้ถามคำถามที่รุนแรง และสอดคล้องกับสภาพการณ์ความจริงมากที่สุดออกไป
“เหอะ—-”
มู่เซิ่งอมยิ้ม “สิบล้าน? นั่นมากมายแล้วใช่ไหม? ”
ตระกูลมู่ให้เงินฉันใช้จ่าย ก็เป็นพันล้านแล้ว!
ทุกคนพากันตกตะลึง และจ้องมองไปที่มู่เซิ่งด้วยความแปลกใจ
จากนั้น ฝูงคนก็หัวเราะกันยกใหญ่
“ฮ่าฮ่าฮ่า สิบล้านมากมายแล้วใช่ไหม? คำพูดที่ออกมาจากปากของไอ้ขยะ เป็นเรื่องตลกขบขันที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย”
“ฉันถือว่าได้รับรู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าหน้าด้าน ไอ้ขยะนี้ ช่างหน้าด้านเสียจริงเลย! ”
“น่าขันจริงเลย ช่างสมกับเป็นไอ้ขยะจริง ๆ ที่ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมาทั้งนั้น”
เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมคนหนึ่งของเจียงหว่านได้หัวเราะเสียงดังขึ้น พร้อมกับชี้ไปที่มู่เซิ่ง “สิบล้าน? อย่าพูดเลยว่าเขาจะมีเงินจำนวนนี้ ทั่วทั้งร่างกาย หากว่าสามารถล้วงเงินออกมาได้หนึ่งพัน ฉันก็นับถือแล้ว! ”
“หากฉันล้วงเงินออกมาได้หนึ่งพัน เธอจะคุกเข่าลงเพื่อขอโทษฉันไหมล่ะ? ” มู่เซิ่งยิ้มแล้วก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้น
หญิงคนนั้นอ้าปากค้าง ไม่พูดอะไรอีก
“เหอะเหอะ นายมีสิบล้านอย่างนั้นเหรอ? ”
จางเหวินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “นายแม่งมีสิบล้านเหรอ ก่อนหน้านี้ในห้องรับรอง ก็ไม่มีเงินที่จะมอบของขวัญแล้ว! ตอนนี้ มาดูว่าฉันเตรียมของขวัญอะไรที่จะมอบให้กับเจียงหว่านดีกว่า! ”
เมื่อพูดจบ เขาก็เปิดกล่องในมือขึ้น
ประกายแสงวับวาว
สร้อยคอที่ล้อมรอบด้วยเพชรห้ากะรัตหลายเม็ด ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทุกคน
ผู้หญิงหลายคนจ้องมองกันตาเป็นเกลียว
ผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะที่ไม่หลงรักในเพชร?
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือสร้อยคอเส้นที่เรียงประกอบขึ้นด้วยเพชรทั้งหมดสิบสามเม็ด แม้ว่าจะนำแต่ละเม็ดออกมา ก็สามารถประมูลได้เม็ดละหลายแสนเลยทีเดียว!
“เจียงหว่าน นี่คือสร้อยคอที่ฉันซื้อให้คุณ เรียงประกอบขึ้นด้วยเพชรทั้งหมดสิบสามเม็ด มันเป็นสื่อแทนความรักของฉันที่มีต่อคุณ ตลอดไปชั่วกาล”
จางเหวินเจี๋ยแววตาร้อนลุ่มอย่างที่สุด “เจียงหว่าน คุณให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะ”
เจียงหว่านขมวดคิ้วขึ้น
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่สร้อยคอเพชรในมือของจางเหวินเจี๋ย มีมูลค่ามหาศาลจริง ๆ เธอกังวลว่ามู่เซิ่งจะทนไม่ได้ต่อคำเยาะเย้ย จึงจูงมือของมู่เซิ่ง “สามี พวกเราไปกันเถอะ……”
พูดยังไม่ทันจบ เซิ่งมู่ก็ยื่นมือออกไป บีบจับสร้อยคอในมือของจางเหวินเจี๋ยนั้น
“สร้อยคอเพชร? ”
“ไอ้ขยะ! นี่เป็นสิ่งของที่ฉันจ่ายเงินไปกว่าเก้าล้านเพื่อซื้อมาจากร้านอัญมณีเครื่องประดับ หากเสียหายแล้ว นายชดใช้คืนไหวไหม? ”
เมื่อเห็นการกระทำของมู่เซิ่งแล้ว จางเหวินเจี๋ยก็พูดขึ้นอย่างโมโห
โยนทิ้งลงไปบนพื้นและเหยียบย่ำจนแตกละเอียด
“แม้แต่คนขี้เหนียวอย่างนายที่ถูกปฏิเสธการมอบของขวัญ และยังจะเรียกร้องเงินคืนอีก จะมีเงินกว่าเก้าล้านไปซื้อสร้อยคออย่างนั้นเหรอ? ”
“ต่อให้ราคาเก้าล้าน แล้วจะทำไมล่ะ? ”
เปรี๊ยะ—-
มู่เซิ่งยิ้มอย่างเย็นชา และเปิดกล่องของขวัญในมือขึ้น
เปล่งประกายแสงวับวาว