มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 63 ยืมมา
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 63 ยืมมา
ทุกคนต่างก็สูดหายใจลึก ตกใจตื่นตะลึงกันอย่างที่สุด!
นี่คือของจริง
อัญมณีที่อยู่ในมือของชายที่อยู่เบื้องหน้านี้ ได้ซื้อมาจากร้านเฟิ่งเสียงอย่างแน่นอน!
ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกกันอยู่นั้น ทุกคนก็ยังมองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาที่ น่าสงสัยมากขึ้นอีก สร้อยคอเส้นนี้มีมูลค่าตั้งเก้าสิบกว่าล้าน เขาก็แค่ไอ้ขยะคนหนึ่ง จะไปเอาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาซื้อได้อย่างไรกัน?
จางเหวินเจี๋ยเองก็คิดไม่ตก
แต่งานเลี้ยงเพื่อนร่วมชั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน เขาไม่อาจจะจากไปในตอนนี้ได้ มิเช่นนั้นจะอับอายขายหน้าอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์การมาของเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อเจียงหว่าน
หากยังจีบเจียงหว่านไม่ได้ แล้วกลับถูกไอ้ขยะเบียดตกขอบไป เขาคงจะไม่ยอมเป็นแน่
กลุ่มคนได้กระจายตัวกัน เพื่อนร่วมชั้นสามสิบกว่าคน ทยอยเดินขึ้นบันได เข้าไปในห้องรับรอง
แต่กลุ่มคนจำนวนนั้น ต่างก็ได้เริ่มตีตัวออกห่างจางเหวินเจี๋ยบ้างแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปผูกมิตรโดยตรงกับมู่เซิ่ง แต่สายตาที่มองไปยังเขานั้น กลับมีความเคารพมากขึ้นไปอีก
โดยของขวัญของมู่เซิ่งนั้น ทำให้พวกเขาตกตะลึงกันอย่างที่สุด
Royal Club สมแล้วที่เป็นคลับบันเทิงที่หรูหราที่สุดในเจียงหนาน ในห้องรับรองนั้นมีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ ต่อให้มีจำนวนสามสิบคน ก็ยังไม่รู้สึกว่าแออัดแต่อย่างใด พวกเพื่อนร่วมชั้นรีบทยอยนั่งลง ส่วนเจียงหว่านก็นั่งอยู่ที่ด้านข้างของมู่เซิ่ง
“ขอบคุณนายมาก” เจียงหว่านแอบกระซิบพูดกับมู่เซิ่ง
มู่เซิ่งยิ้ม และพูดว่า: “ขอบคุณอะไรฉันล่ะ? ฉันคือสามีของเธอ ที่ทำแบบนี้ มันก็สมควรอยู่แล้ว”
“ขอบคุณ นี่คือของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับมาเลย”
เจียงหว่านดวงตาเป็นประกาย ท่วงท่าอ่อนโยนนุ่มนวล
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หลงใหลในเงินทอง ตรงกันข้าม เธอยิ่งจะชื่นชอบความมุ่งมั่นจริงใจ แต่นี่ไม่ได้แสดงว่าเธอไม่ชอบรถหรูหราไม่ชอบเพชรพลอยเหล่านี้แต่อย่างใด
เดิมทีเธอคิดว่า ตลอดชีวิตของตัวเอง หลังจากที่แต่งงานกับมู่เซิ่งแล้ว บางทีอาจจะต้องใช้ชีวิตกันไปอย่างเรียบง่ายปกติสุข แต่คิดไม่ถึงว่าในคืนวันนี้ จะสามารถมีช่วงเวลาที่สง่างดงาม ถึงแม้จะเป็นช่วงที่สั้น แต่เธอก็มีความสุขอย่างมาก
“วางใจเถอะ ต่อไปจะมีของขวัญที่ดีกว่านี้แน่นอน สร้อยคอเส้นนี้ ไม่ต้องพูดถึงอีกเลย” มู่เซิ่งพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อนาคตเหรอ? ” เจียงหว่านหน้าตาแดงก่ำ มีท่าทีสับสนขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า: “พวกเรา ยังจะมีอนาคตต่อไปอีกเหรอ? ”
พินัยกรรมของพ่อใกล้จะถึงกำหนดแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะแยกย้ายกันไปคนละทาง
การข่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่าของแม่ เจียงหว่านเองก็ไม่กล้าเชื่อว่า เธอจะสามารถยืนหยัดไปได้นานแค่ไหน
เมื่อพูดจบ เธอก็ถอดสร้อยคอออก และจ้องมองโดยที่ไม่อยากเสียมันไป แล้วก็ส่งคืนให้กับมู่เซิ่ง
“ทำอะไร? ” มู่เซิ่งตกใจ
“ก็ให้นายนำมันกลับไปคืนยังไงล่ะ”
เจียงหว่านส่งเสียงฮึ “สร้อยคอเพชรรักที่หวานหยาดเยิ้มเส้นนี้มีมูลค่าตั้งเก้าสิบกว่าล้าน นายคิดว่าฉันเชื่อว่านายมีเงินไปซื้อมาเหรอ อย่างมากนายก็แค่ยืมมาใช่ไหมล่ะ แต่ฉันเองก็ขอบคุณนายมากแล้ว ที่ทำให้ฉันเชิดหน้าชูตาได้บ้าง”
แม้ว่าไม่อยากที่จะเสียมันไป แต่เจียงหว่านก็เข้าใจดีว่า สิ่งของที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ ไม่คู่ควรกับตัวเองขฌ ถ้าหากไม่ระมัดระวังจนเกิดความเสียหาย ต่อให้ขายบ้านของตระกูลเจียงแล้ว ก็ยังคงชดใช้ไม่ไหวอยู่ดี
มู่เซิ่งยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า: “นี่ฉันมอบให้คุณจริง ๆ”
“นายยังจะเสแสร้งอยู่อีกเหรอ? ถ้างั้นนายบอกฉันมาสิว่า นายไปเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อ? ” เจียงหว่านจ้องมองไปที่มู่เซิ่งอย่างจริงจัง
มู่เซิ่งถึงกับสำลัก
ปัจจุบันตระกูลมู่ยังคงมีมุมมองความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกัน ถึงขนาดยังมีนักฆ่าที่จะมาลงมือจัดการเขา หากบอกความจริงกับเจียงหว่านไปแล้ว เกรงว่าจะนำอันตรายมาสู่ตัวเธอด้วย มู่เซิ่งลังเลใจอยู่ชั่วครู่ ก็นำสร้อยคอห้อยคืนกลับไปที่คอของเจียงหว่านอีกครั้ง และพูดว่า: “ถึงแม้จะยืมมา ก็ไม่ต้องนำกลับมาคืนอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็ได้”
“ตกลง”
เจียงหว่านนำสร้อยคอกลับคืนมาสวมอีกครั้งหญ และพูดเน้นย้ำว่า “ถ้าหากจะนำกลับไปคืนแล้ว นายจะต้องบอกฉันก่อนล่วงหน้านะ”
มู่เซิ่งยิ้มอย่างขมขื่น ทำได้เพียงตอบรับ “ตกลง”
เชอะ!
จางเหวินเจี๋ยกับหลี่นั่วหนานและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้ว ก็แสดงท่าทางเหยียดหยามออกมาในทันที
เหยียดหยามดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด!
เดิมทีคิดว่าไอ้ขยะคนนี้จะมีอะไรปกปิดแอบซ่อนอยู่ ถึงได้ซื้อสร้อยคอเพชรรักที่หวานหยาดเยิ้มได้ ตอนนี้ดูเหมือนว่า จะเป็นการเช่ายืมมา เกรงว่าคงจะพูดคุยปรึกษากัน กับผู้จัดการหวังคนนั้นเป็นอย่างดีแล้วล่ะสิ?
ช่างไม่ได้เรื่องได้ราวเสียจริงเลย
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้ว ปฏิกิริยาท่าทางของทุกคนต่อมู่เซิ่งนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากขึ้นในทันที
“เจียงหว่าน ไม่พบเจอกันนานเลย มาชนแก้วดื่มด้วยกันหน่อยสิ”
เวลานี้ มีคนถือแก้วเหล้าแล้วยืนขึ้น เจียงหว่านพยักหน้า และก็ยกแก้วเหล้าขึ้นด้วย
แม้ว่ามู่เซิ่งเองก็ยืนขึ้นด้วย แต่กลับถูกเพื่อนร่วมชั้นกี่คนนั้น หมางเหมินกันไปหมด
ในสายตาของพวกเขาแล้ว คนที่ไปยืมสร้อยคอมามอบให้เป็นของขวัญนั้น ช่างไม่ได้เรื่องอย่างที่สุด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความสนุกสนานของพวกเขา กลุ่มคนเหล่านี้เสแสร้งพูดคุยกันในเรื่องราวระดับสูง บ้างก็ทำเป็นโชว์นาฬิกาทอง บ้างก็พูดคุยกันเรื่องลงทุน เป็นพฤติกรรมที่คล้ายกับว่าเป็นสังคมชั้นสูง
ส่วนมู่เซิ่งกลับกลายเป็นตัวส่งเสริมที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้น
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน ทุกคนจึงเริ่มพูดคุยกันถึงโครงการของซีไห่ขึ้น
“ข่าวของมู่ซื่อ กรุ๊ปเมื่อไม่นานมานี้ พวกนายน่าจะได้เห็นได้ฟังกันแล้วล่ะสิ? บริษัทของพวกเราเตรียมที่จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้โครงการนี้”
มีคนพูดแซวขึ้นว่า โครงการนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้จะแบ่งออกมาเพียงส่วนน้อย ก็คงจะสามารถมีรายได้อย่างมหาศาลแล้ว
“เจียงหว่าน บริษัทของพวกเธอตอนนี้มีข่าวคราวอะไรบ้างไหม? ตอนนั้นมู่ซื่อ กรุ๊ปได้ยื่นเสนอโอกาสให้กับเธอก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อถึงตอนแถลงข่าวก็คงจะมอบโครงการที่ไม่เล็กให้กับพวกเธอเป็นแน่เลย”
“ใช่เลย บริษัทของพวกเราจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับบัตรเชิญเลย เจียงหว่าน หวังว่าเธอจะสามารถช่วยพวกเราติดต่อสานสัมพันธ์สักครั้งหนึ่งเถอะ”
“โธ่ บริษัทที่มีศักยภาพความสามารถเกรงว่าคงจะกำหนดโครงการภายในไปเรียบร้อยแล้ว อย่างพวกเรานี้ คงทำได้แต่มองดูแล้ว”
พวกผู้ชายได้ทยอยมาชนแก้วกับเจียงหว่าน และพูดคุยกันอย่างคึกคัก
“แม้ว่าฉันจะได้รับบัตรเชิญแล้ว แต่ก็ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าจะร่วมมือกันในโครงการอะไร”
เจียงหว่านส่ายมือพร้อมกับพูดขึ้น
ท่าทีของมู่ซื่อ กรุ๊ป ไม่ค่อยชัดเจนมาโดยตลอด ดังนั้นแม้แต่เจียงหว่านเองก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครบ้างที่จะเข้าร่วมในงานแถลงข่าว และก็ไม่ชัดเจนว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะมีขนาดใหญ่แค่ไหน
“เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่สามารถที่จะได้รับบัตรเชิญ ก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้ว”
“ใช่แล้วเหวินเจี๋ย นายเป็นผู้จัดการของบริษัทมู่หรานญห น่าจะชัดเจนในเรื่องนี้ดีใช่ไหมล่ะ? ”
“ใช่เลย เหวินเจี๋ย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยม หากมีข่าวสารที่ดีอะไรก็อย่าได้ปกปิดกันล่ะ รอให้ฉันมีผลกำไรกองโตแล้ว จะต้องตอบแทนนายแน่นอน! ”
คนจำนวนไม่น้อยต่างก็หันมองมาที่จางเหวินเจี๋ย
และก็มีบางคนที่ส่งสายตาเหยียดหยามเหยาะเย้ยไปยังมู่เซิ่ง
ในสายตาของพวกเขาแล้ว ไอ้ขยะอย่างมู่เซิ่งนี้ นอกจากจะขอยืมสิ่งของแล้ว ก็คงไร้ความสามารถอันใดอีก จึงไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มสังคมของพวกเขาได้ ถึงขนาดที่คงฟังไม่รู้เรื่องว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรกัน แต่พวกเขาก็ยังคงเหลือบมองมาทางเขาบ้าง เพื่อตอบสนองจิตใจที่ฟุ้งเฟ้อของตนเองผ่านการเยาะเย้ยถากถาง
ยังไม่ทันตั้งตัวตนเองก็กลายเป็นจุดสนใจขึ้นอีกครั้งแล้ว จางเหวินเจี๋ยดีใจอย่างมาก แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นเฉยเมย ยกแก้วเหล้าขึ้น จิบหนึ่งคำและพูดว่า “แน่นอนว่าฉันได้รับทราบข่าวสารเหล่านี้มาบ้างแล้ว ฉันได้ยินมาว่า ผู้รับผิดชอบของมู่ซื่อ กรุ๊ปในครั้งนี้ ก็คือประธานของบริษัทมู่หรานเหมือนกัน ซึ่งมีชื่อว่าสวีเจ๋อปิง”
“แต่ ได้ยินว่าด้านบนของสวีเจ๋อปิง ยังมีคนของตระกูลมู่อีกคนหนึ่ง ที่จะมาสั่งการโครงการในครั้งนี้ ได้ยินว่าในโครงการนี้ เขามีอำนาจในการตัดสินใจ เพียงแค่เขาพยักหน้าเห็นชอบ โครงการซีไห่นี้ ก็สามารถแบ่งสรรออกไปได้หนึ่งส่วน! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงหว่านเองก็อดไม่ได้จึงเงยหน้าขึ้น และมองไปที่จางเหวินเจี๋ย
เธอตั้งใจฟังที่พวกเขาพูดคุยกันมาโดยตลอด เพราะเธอเองก็ให้ความสำคัญกับโครงการนี้มาก
แม้ว่าตระกูลเจียงจะได้รับฟังข่าวคราวมาบ้างแล้วว่าบภ ครั้งนี้มู่ซื่อ กรุ๊ปจะร่วมมือกันกับตระกูลเจียง โดยมีผลกำไรขั้นต่ำประมาณหนึ่งร้อยล้าน แต่ข่าวนี้ไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าไร ซึ่งก่อนที่จะลงนามเซ็นสัญญานั้น อะไรก็ไม่สามารถยืนยันได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ เกี่ยวพันไปถึงปัญหาที่ว่าเธอนั้นจะได้รับการยอมรับจากตระกูลเจียงหรือไม่ด้วย
เมื่อสังเกตเห็นแววตาของเจียงหว่าน สีหน้าท่าทางของจางเหวินเจี๋ยก็กระหยิ่มยิ้มย่องขึ้น และพูดขึ้นอย่างหยิ่งทะนงว่า “ในฐานะที่ฉันเป็นผู้จัดการของบริษัทมู่หราน จะต้องได้รับโครงการเป็นแน่ อีกทั้งฉันยังมีอีกสิบโควตารายชื่อที่จะเชิญไปเข้าร่วมงานแถลงข่าวด้วย! ”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นในทันที