มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 64 ท้าเดิมพัน
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 64 ท้าเดิมพัน
“จริงหรือเท็จกันแน่ เหวินเจี๋ย นายนี่ช่างเยี่ยมยอดเหลือเกิน”
“คิดไม่ถึงว่าจะมีโควตาสิบคนสำหรับงานแถลงข่าว เหวินเจี๋ย ในช่วงมัธยมฉันกับนายเป็นเพื่อนรักกันนะ เดี๋ยวนายจะต้องให้ฉันสักหนึ่งโควต้านะ! ”
“ยังมีฉันด้วยเหวินเจี๋ย ในช่วงมัธยมฉันช่วยนายชกต่อยกับคนอื่นไม่น้อยเลย ครั้งนี้นายอย่าได้ลืมฉันล่ะ”
หลังจากที่จางเหวินเจี๋ยเอ่ยปากขึ้น
ทุกคนต่างก็ตั้งตารอคอย คาดหวังว่าจะสามารถได้รับโควต้าที่มีอยู่ในมือของจางเหวินเจี๋ย
“อืม แต่จำนวนมีจำกัด ฉันจะคิดให้ดีอย่างแน่นอน”
จางเหวินเจี๋ยยิ้มพร้อมกับส่ายมือไปมาและพูดขึ้น
ขณะนี้ เพื่อนชายร่วมชั้นคนหนึ่งก็พลันมองไปที่มู่เซิ่ง และพูดขึ้นว่า: “เหวินเจี๋ย ตอนนี้นายยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเลือกใคร แต่มีบางคน ที่ไม่สามารถไปได้อย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นมู่เซิ่ง”
“เขา? ”
จางเหวินเจี๋ยมองไปที่มู่เซิ่ง และแสดงท่าทางแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่ลังเล “เขาจะมีคุณสมบัติไปร่วมได้อย่างไร งานที่มีความสำคัญขนาดนี้ ไอ้ขยะอย่างนี้ คู่ควรที่จะเข้าร่วมด้วยเหรอ? ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่แน่ว่าไอ้ขยะคนนี้ อาจจะสามารถไปขอยืมบัตรเชิญมาได้ล่ะ? ” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่งพูดและหัวเราะขึ้น และยังตั้งใจพูดเน้นคำว่า ‘ยืม’ ขึ้นด้วยเสียงดังอีก
มู่เซิ่งไม่ได้โกรธเคือง พยักหน้าและค่อย ๆ เอ่ยปาก พูดขึ้นว่า: “ถูกต้อง ฉันเองได้รับบัตรเชิญแล้ว ทางสวีเจ๋อปิงเป็นคนบอกฉัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ”
“ช่างน่าขันเสียจริงเลย ไอ้ขยะนี้ช่างกล้าพูดอะไรไปเสียหมด! ”
“ฮ่าฮ่า นายรู้ไหมว่าสวีเจ๋อปิงเป็นใคร? เขาเป็นคนของตระกูลมู่เชียวนะ เป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่! ฉันเป็นผู้จัดการของบริษัทมู่หราน ยังเพิ่งจะได้พบหน้าประธานสวีเพียงไม่กี่ครั้ง เขามาเชิญนายด้วยตนเอง? แม่งสินายไม่ต้องคุยโวโอ้อวดขนาดนี้ก็ได้นะ? ” จางเหวินเจี๋ยยิ่งหัวเราะเสียงดังมากขึ้นอีก
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ย มู่เซิ่งยังคงมีสีหน้าท่าทางปกติ การที่จะได้รับเชิญหรือไม่นั้น ตัวเขาเองชัดเจนเป็นที่สุด
เวลานี้ เจียงหว่านขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และแอบเหลือบมองไปที่มู่เซิ่ง
เธอเข้าใจในตัวมู่เซิ่งดี เขาเป็นคนที่ไม่พูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่แม้แต่ตัวเองก็ยังได้รับแค่บัตรเชิญ โดยที่ไม่เคยได้พบเจอกับสวีเจ๋อปิงด้วยตัวเองมาก่อน แล้วมู่เซิ่งทำได้อย่างไรกัน?
“เหอะเหอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ฉันไม่พานายไป นายเองก็สามารถปรากฏตัวในงานแถลงข่าวของตระกูลมู่ใช่ไหม? ” จางเหวินเจี๋ยพูดขึ้น โดยยังพูดแซวเอาไว้ล่วงหน้าว่า “ฉันเองก็คาดหวังที่จะเห็นอย่างมากว่า ในงานแถลงข่าวนายจะมีสภาพอย่างไร”
เมื่อเห็นท่าทางกำเริบเสิบสานของจางเหวินเจี๋ยแล้ว มู่เซิ่งก็ยิ้ม และพูดว่า “พวกเราจะต้องพบกันอย่างแน่นอน หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นนายอย่าได้ตกใจไปล่ะ”
“ยังจะตกใจด้วย? มู่เซิ่ง นายนี่แม่งยังไม่ยอมตายใจอีกเหรอ? ” เห็นว่ามู่เซิ่งยังคงเฉยเมย จางเหวินเจี๋ยกลับโมโหขึ้นแล้ว โดยชี้ไปยังมู่เซิ่งและพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “ถ้าถึงตอนนั้น นายไม่อยู่ในงานแถลงข่าวล่ะจะว่าอย่างไร? ”
“ถ้าหากฉันอยู่ล่ะ จะว่าอย่างไร? ” มู่เซิ่งย้อนถามกลับ
“ถ้าหากนายปรากฏตัวขึ้นในงานแถลงข่าว ฉันก็จะคุกเข่าลงให้กับนายต่อหน้าทุกคน และร้องเลียนเสียงสุนัข! แต่หากว่านายไม่ได้ไป ต่อไปเมื่อนายพบเจอฉัน ก็จะต้องคุกเข่าลง และร้องเลียนเสียงสุนัข! ” จางเหวินเจี๋ยยิ้มและพูดขึ้นอย่างเย็นชา “นายกล้าหรือไม่กล้า? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มู่เซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นที่มุมปาก
เขายังไม่เคยเห็นใครที่โง่เง่าขนาดนี้มาก่อนเลย ดันทุรังที่จะผลักตนเองให้ไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่
“ได้เลย”
มู่เซิ่งยิ้มและพยักหน้า
“เหอะเหอะ นายนี่แม่งรอคุกเข่าให้ฉันแล้วกัน! ” จางเหวินเจี๋ยยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่หยุด
พวกเพื่อนร่วมชั้นต่างก็ยิ้มแย้มให้กับมู่เซิ่ง ในจิตใจของพวกเขา ครั้งนี้ ไอ้ขยะคนนี้จะต้องอับอายขายหน้าอย่างหนักแน่นอนแล้ว
เวลานี้ เจียงหว่านอดไม่ได้จึงขยับเข้ามาใกล้ และพูดขึ้นว่า “มู่เซิ่ง นายมีความมั่นใจเหรอ? หากว่าไม่ได้จริง ๆ ฉันจะติดต่อไปหาประธานสวี และถามเขาว่าสามารถพานายไปด้วยได้ไหม”
“คุณวางใจเถอะ ฉันสามารถเข้าไปในงานแถลงข่าวได้” มู่เซิ่งพูดขึ้นอย่างเฉยเมย
เขาคือตัวหลักของงานแถลงข่าว หากไม่มีเขา จะดำเนินการได้อย่างไร?
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป แต่เมื่อเห็นมู่เซิ่งยังคงมีกิริยาท่าทางที่ผ่อนคลายสบายใจ จางเหวินเจี๋ยเองกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บวกกับก่อนหน้านี้ที่ภายในห้องโถงนั้น เขาอยากที่จะให้มู่เซิ่งอับอายขายหน้าต่อหน้าเขาจนทนไม่ไหวแล้ว
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปทางหลี่นั่วหนาน และกวักมือเรียก “นั่วหนาน เธอออกไปด้านนอกกับฉันสักครู่สิ”
หลี่นั่วหนานเห็นท่าทางของจางเหวินเจี๋ยแล้ว ก็รีบผลักเก้าอี้ออกและลุกยืนขึ้น ขณะที่เพิ่งออกมาจากประตู ร่างกายก็แนบชิดไปที่ร่างของจางเหวินเจี๋ย และพูดขึ้น ด้วยท่าทางที่อ่อนโยนว่า “เหวินเจี๋ย นายหาฉันมีธุระอะไรเหรอ? ”
เธอชื่นชอบจางเหวินเจี๋ยมานานมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่จางเหวินเจี๋ยได้แต่ปักใจอยู่ที่เจียงหว่านมาโดยตลอด
“ที่ฉันหาเธอก็เพราะมีเรื่องสำคัญแน่นอน”
จางเหวินเจี๋ยยิ้ม และนำมือไปวางไว้ที่สะโพกของหลี่นั่วหนาน แม้ว่าเขาจะชอบเจียงหว่าน แต่ก็ไม่ได้เป็นการขัดขวางที่เขาจะไปร่วมหลับนอนกับคนอื่น โดยเขาลูบคลำไปที่หลี่นั่วหนานและพูดขึ้นว่า:
”ฉันมีภารกิจอย่างหนึ่ง ที่จะมอบหน้าที่ให้เธอ”
“ภารกิจอะไรเหรอ? ”
หลี่นั่วหนานถามขึ้น
“ง่ายมาก ฉันนั้นไม่ถูกใจกับไอ้ขยะนั่นมานานมากแล้ว อีกทั้งเขาอยู่ด้วยกันกับเจียงหว่านมาเป็นเวลานานแล้วก็ยังไม่เคยสัมผัสแตะต้องหล่อนเลย คงจะหื่นกระหายเป็นอย่างมาก” จางเหวินเจี๋ยได้พูดแผนการของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว “เมื่อถึงตอนนั้น เธอยั่วยวนชวนเขาไปที่ห้องน้ำ จากนั้นก็ตะโกนร้องว่าไอ้สารเลว พร้อมกับชี้แจงต่อหน้าทุกคนว่าเขาลวนลามเสียมารยาทต่อเธอ”
“เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะพาเพื่อนร่วมชั้นมาถึงโดยเร็วที่สุด เพื่อควบคุมตัวไอ้ขยะนี้เอาไว้ และแจ้งตำรวจจับทันที! ”
“เมื่อต้องเผชิญต่อคำกล่าวหาของเธอ ไอ้ขยะคนนี้คงจะไม่มีทางแก้ตัวได้ ท้ายที่สุดก็จะต้องติดคุกอย่างแน่นอน”
สายตาของจางเหวินเจี๋ยแฝงไปด้วยความเยือกเย็น ยิ้มและพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า เมื่อถึงตอนนั้น เนื่องจากมู่เซิ่งเสียมารยาทล่วงเกินต่อผู้หญิงจนถูกจับกุมตัว และจะต้องติดคุกอย่างแน่นอน ซึ่งไม่แน่ว่าทางเจียงหว่านอาจจะเกิดความผิดหวังช้ำใจอย่างที่สุด จนถึงกับขอหย่า!
เมื่อเจียงหว่านหย่าร้างแล้ว หลังจากนั้น เขาก็จะมีโอกาส พาหล่อนไปร่วมเตียงด้วย
“แต่ว่า การที่ฉันกระทำแบบนี้ จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไหมล่ะ? ” หลี่นั่วหนานเกิดความกลัวขึ้นมาบ้าง
“วางใจเถอะ ฉันไม่พูด ” จางเหวินเจี๋ยพูดขึ้น
“แต่ว่า……”
“อย่าได้ลังเลใจอยู่เลย นี่คือเงินห้าแสน เพียงแค่เธอยอมช่วยฉัน เงินนี่ก็จะเป็นของเธอ! ” จางเหวินเจี๋ยนำบัตรธนาคารใบหนึ่งตีไปบนต้นขาของหลี่นั่วหนาน
หลี่นั่วหนานยิ้มหน้าบานขึ้นทันที รับบัตรธนาคารมา แล้วก็พยักหน้า “เหวินเจี๋ย นายวางใจได้ ฉันจะไปชักชวนเขาออกมาให้ได้”
มู่เซิ่งนั่งอยู่กับที่ ทานอาหารอยู่อย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่เดินกลับเข้ามาในห้องรับรอง จางเหวินเจี๋ยก็มองไปที่เขา และอดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก “กินไปเถอะ ไอ้ขยะ คาดว่าครึ่งชีวิตที่เหลือของนายนี้ คงจะได้แต่กินข้าวคุกแล้ว! ”
มู่เซิ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นั่งอยู่กับที่สักครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าภายในห้องค่อนข้างอึดอัด จึงได้พูดกับเจียงหว่านว่า ต้องการจะออกไปหายใจรับอากาศภายนอกสักหน่อย
เจียงหว่านพยักหน้า
เมื่อเห็นว่ามู่เซิ่งออกไปจากประตูแล้ว หลี่นั่วหนานก็ดวงตาเป็นประกายขึ้น และพูดกระซิบไปที่ข้างหูของจางเหวินเจี๋ย จากนั้นก็ลุกขึ้น และเดินตามมู่เซิ่งออกไป
ทางเดินสองข้างของระเบียงชั้นห้า สามารถที่จะผลักเปิดออกไปที่ระเบียงได้ โดยมู่เซิ่งได้จุดบุหรี่สูบที่ระเบียง และมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง
“มู่เซิ่ง! ” หลี่นั่วหนานพลันตะโกนขึ้นทางด้านหลัง
มู่เซิ่งหันหลังกลับมา ด้วยท่าทางที่เย็นชา “มีเรื่องอะไร? ”
“ไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่สามารถออกมาพูดคุยกับนายได้เหรอ? ” หลี่นั่วหนานแลบลิ้นปลิ้นตา แสดงท่าทางหยอกล้อ “จริง ๆ เลย นายนี่ทำไมถึงได้ทำตัวเย็นชาอยู่ตลอดเลย ฉันเองก็แค่อยากออกมารับลมสูดอากาศกับนายด้วยยังไงล่ะ”
ขณะที่พูด หลี่นั่วหนานก็จงใจที่จะดึงเสื้อผ้าลงมาเล็กน้อย เพื่อเผยไหล่ที่ขาวนวลและร่องเนินอกที่ลับ ๆ ล่อ ๆ
“ฉันมีภรรยาแล้ว”
มู่เซิ่งพูดขึ้น แล้วก็หันหน้ากลับไป