มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 75 คุณมู่
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 75 คุณมู่
“คุณมู่…”
กู่มู่สวีนอ้าปากค้างไปมา สีหน้าบนใบหน้าแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่งในทันที
ชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ในห้องก็คือมู่เซิ่งที่เขาคุ้นเคยนั่นเอง!
วีรบุรุษหนุ่ม ถึงแม้ว่ากู่มู่สวีนจะวิพากษ์วิจารณ์เขาเอาไว้ระดับสูงเป็นอย่างมาก ทว่าทันทีที่ได้เห็นมู่เซิ่งนั้น เขายังคงตกตะลึงอยู่ดี ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงกันนะ ว่าถึงบุคคลสำคัญที่สวีเจ๋อปิงเอ่ยถึงในปาก ผู้รับผิดชอบหลักของโครงการในครั้งนี้นั้น กลับเป็นมู่เซิ่ง!
“คุณมู่”
สวีเจ๋อปิงเอ่ยทักทายที่ปากประตู
“เข้ามาเถอะครับ” มู่เซิ่งหมุนตัวกลับไป
สวีเจ๋อปิงกำลังถือสัญญาเดินเข้ามาคำนับทักทายว่า “คุณชายมู่ สัญญาระหว่างตระกูลเจียงกับตระกูลกู่ตอนนี้ล้วนคัดลอกเรียบร้อยแล้วครับ คุณต้องการที่จะดูหรือไม่?”
“ท่านปู่กู่ครับ คุณมีความคิดเห็นอะไรต่อสัญญาฉบับนี้ไหมครับ?” มู่เซิ่งหันศีรษะมาเอ่ยถาม
“ไม่มีครับ ตระกูลกู่ของพวกเราได้สัญญาฉบับนี้มาได้ คนแก่คนนี้ก็พึงพอใจมากแล้ว” กู่มู่สวีนพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะสบตามองใบหน้าของมู่เซิ่ง หลังจากนั้นก็ตกตะลึงจนเนื้อเต้น!
เดิมก็นึกว่าที่สวีเจ๋อปิงสนิทสนมกับมู่เซิ่งนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว มู่เซิ่งคนนี้นั้นมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลมู่! สวีเจ๋อปิงเองก็เป็นตัวแทนของตระกูลมู่ที่เจียงหนาน สามารถได้รับความเชื่อถือจากเขาได้นั้น เรื่องสถานะน่ะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
มิน่าเล่าข่าวลือทางด้านนอก ที่ว่ามู่ซื่อ กรุ๊ปโยนกิ่งใบสมอ (สัญลักษณ์สันติภาพ) ออกไปให้กับเจียงหว่าน ที่แท้แล้วความสัมพันธ์หนึ่งในนั้นคือเป็นเพราะว่าการมีอยู่ของมู่เซิ่งนั่นเอง
“พวกเราไปกันเถอะครับ”
มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดอย่างราบเรียบ ก้าวออกไปจากประตู เอกลักษณ์ผู้รากมากดีราวกับเสือขจรไปไกลหมื่นลี้ จนทำให้กู่มู่สวีนยืนจังงังอยู่ตรงนั้น
มองเห็นเงาแผ่นหลังของมู่เซิ่งแล้ว กู่มู่สวีนถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา กดเสียงลงต่ำ เอ่ยถามว่า “ท่านสวีครับ มู่เซิ่งคนนี้ สรุปแล้วมีสถานะอะไรกันแน่หรือครับ?”
“คุณเอ่ยถามด้วยตนเองก็จะทราบแล้วไม่ใช่หรือครับ?” สวีเจ๋อปิงเผยรอยยิ้มขืนขึ้นมาสายหนึ่ง
ไม่มีคำสั่งของมู่เซิ่ง เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยสถานะของมู่เซิ่งเช่นกัน
“ผม ผมจะไปกล้าได้ยังไงล่ะครับ” ใบหน้าชราของกู่มู่สวีนขึ้นสีแดงก่ำ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ค่อย ๆ คิดดูสิครับ อย่างไรเสียการติดตามเขาก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรต่อพวกเรานะครับ” มองเห็นท่าทางเสียหน้าของกู่มู่สวีนแล้ว สวีเจ๋อปิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะเดินตามหลังมู่เซิ่งออกประตูไปติด ๆ
กู่มู่สวีนอ้าปากค้างไปมา ยังคิดอยากที่จะเอ่ยถามอะไรต่อ ทว่าสุดท้ายก็ส่ายศีรษะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งหน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ภายในหัวใจของเขาเองก็มีความวิตกสายหนึ่งซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน
บุคคลเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ไอ้ขยะคนหนึ่งในตระกูลเจียงก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสาเหตุหนึ่งในนั้นคืออะไรล่ะ? แล้วยังมีเป้าหมายอะไรอีก? ยิ่งไปกว่านั้นเองเขาทราบมาว่าหลานสาวอย่างกู่ชิงเสวียนชมชอบเขามาตั้งนานแล้ว สำหรับชิงเสวียนแล้ว นี่ถือเป็นการช่วยเหลือประเภทหนึ่ง ทั้งยังเป็นการคุกคามประเภทหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กู่มู่สวีนกัดฟันไปมา หลังจากนั้นก็ไม่คิดอะไรมากอีกแล้ว
ในเมื่อเลือกที่จะเชื่อมู่เซิ่ง เช่นนั้นเขาก็จะไม่เปลืองแรง การให้ความร่วมมือกับมู่เซิ่งนั้น กระทั่งภายในหัวใจเขาก็ยังมีลางสังหรณ์ที่รุนแรงแข็งกร้าวชนิดหนึ่ง หากตามคนหนุ่มตรงหน้านี้ไปติด ๆ บางทีอาจสามารถทำให้ตระกูลกู่ของเขากลับเมืองเยียนจิงได้อีกครั้งก็เป็นได้!
สถานที่จัดงานแถลงข่าวตอนนี้เริ่มไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่าตัวสวีเจ๋อปิงยังไม่ปรากฏตัว นี่จึงทำให้คนในสถานที่จัดงานประชุมไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ทว่าในกลุ่มคนเองก็ไม่มีใครกล้าก่นด่าเช่นเดียวกัน ในเมื่อนี่เป็นโครงการของมู่ซื่อ กรุ๊ป ตระกูลร่ำรวยแห่งเมืองเยียนจิงนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้เขาไม่มา ทั้งก็จะไม่มีคนกล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวด้วยเช่นกัน
“เหวินเจี๋ย นายว่าทำไมประธานสวียังไม่มาอีกล่ะ? งานแถลงข่าวไม่ได้บอกว่าจะเริ่มขึ้นตอนบ่ายสองหรือ?” เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยขึ้น ก่อนจะสบตามองไปยังบริเวณรอบ ๆ สำหรับโครงการในครั้งนี้นั้น เขาได้ตระเตรียมสิ่งของเอาไว้เยอะแยะมากมาย ดังนั้นจึงอดใจรอต่อไปไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว
“ประธานสวีจะมาหรือไม่มาไม่เป็นไร อย่างไรเสียมู่เซิ่งไอ้ขยะคนหนึ่งคนนี้น่ะไม่มีสิทธิ์มาแล้ว ไม่รู้เลยจริง ๆ นะว่าหลังจากนี้ตอนที่เขาพบเจอกับผู้จัดการจางของพวกเราแล้วจะมีสีหน้าน่าขันอย่างไร” เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งหัวเราะพลางกล่าว
เย่ขุยอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะพรืดออกมา ราวกับว่าเห็นมู่เซิ่งปล่อยไก่เลยก็ไม่ปาน กล่าวว่า “รีบร้อนอะไร หลังจากนี้ไอ้ขยะนั่นเจอผู้จัดการจางหนึ่งครั้งก็จะร้องเสียงสุนัขหนึ่งครั้ง วันเวลายังอีกยาวไกลนะ”
“ฮ่า ๆ ๆ” กลุ่มคนระเบิดเสียงหัวเราะกันออกมายกใหญ่
“แต่ว่านะ ถ้าไอ้ขยะนี่เปลี่ยนใจทีหลังจะทำอย่างไรล่ะ?” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมา
“เหอะ ๆ เขากล้าหรือ?” บนสีหน้าของจางเหวินเจี๋ยเผยยิ้มร้าย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเย็นยะเยือกว่า “ถ้าเขากล้าเปลี่ยนใจขึ้นมา ฉันก็จะหาคนไปตีขาทั้งสองข้างของเขาให้หักเสีย!”
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ บรรยากาศในสถานที่จัดงานประชุมก็คึกคักขึ้นมาไม่น้อย คนจากตระกูลชั้นหนึ่งกับหอการค้าส่วนมากต่างก็เริ่มลุกขึ้นยืนกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับประธานสวี”
“ประธานสวี คุณยังสดใสมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย”
“ขอให้ประธานสวีสุขภาพแข็งแรง เรื่องการร่วมมือในครั้งนี้…”
รถยนต์หรูคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตู สวีเจ๋อปิงกับกู่มู่สวีนลงมาจากรถ กำลังมุ่งหน้าเดินเข้าในไปศูนย์ประชุม สองข้างทางของพวกเขาล้วนมีเสียงพูดคุยเอ่ยถามมากมายดังขึ้นไม่หยุด ทั้งยังมีกู่ชิงเสวียนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งแล้วโบกไม้โบกมือให้อีกด้วย ก่อนกล่าวโทษว่า “คุณปู่ ทำไมคุณปู่พึ่งมาละคะ…”
“ผู้จัดการจาง ผมไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ไอ้หนุ่มคนนั้นคือมู่เซิ่งหรือ?”
เป็นในตอนนั้นเอง เย่ขุยชี้นิ้วที่ประตูใหญ่ไปมา
ตอนที่สวีเจ๋อปิงกับกู่มู่สวีนเดินเข้ามายังสถานที่จัดงานประชุมนั้นเอง ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสูทเดินเข้ามายังสถานที่จัดงานประชุมอย่างเงียบเฉียบด้วยเช่นเดียวกัน และเมื่อสายตาของจางเหวินเจี๋ยมองไปแล้ว กลับพบว่าเป็นมู่เซิ่ง
“เขาเข้ามาได้อย่างไร?”
“ใช่สิ ดูท่าทีของพนักงานรักษาความปลอดภัยสิ เดิมทีก็แทบจะไม่ได้ขวางเขาเอาไว้เลย”
“ฉันเห็นเต็มสองตาเลยนะว่าเขาไม่ได้หยิบบัตรเรียนเชิญออกมาด้วยซ้ำ!”
ทุกคนชี้ไปยังมู่เซิ่งก่อนจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
จางเหวินเจี๋ยเองก็ชะงักนิ่งไปเช่นเดียวกัน ไม่นานนักก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นยะเยือก ก่อนจะเอ่ยว่า “เหอะ ๆ ฉันก็คิด ๆ อยู่ว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร ที่แท้แล้วก็วางแผนรอให้ประธานสวีปรากฏตัวก่อน ก่อนจะถือจังหวะปะปนเข้ามา ไอ้ขยะพรรค์นี้เปลืองสมองไปไม่น้อย”
“ไป ในเมื่อเพื่อนเก่ามาแล้วก็ไปทักทายเสียหน่อยเถอะ”
หลังจากที่คนหลายคนต่างก็ลุกขึ้นยืนเดินตามไปแล้ว จางเหวินเจี๋ยจึงร้องเอ่ยว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่มู่เซิ่งหรอกหรือ?”
ถูกทุกคนขัดขวางเอาไว้ มู่เซิ่งหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “มีเรื่องหรือ?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่เห็นคนในคราบสุนัขคนหนึ่งที่ถือโอกาสชุลมุนเข้ามา ฉันแค่จะเตือนนายด้วยความหวังดีเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง” จางเหวินเจี๋ยฉีกยิ้มพลางกล่าว
“ใช่ ๆ ไอ้ขยะ นายมีบัตรเรียนเชิญหรือ?” เย่ขุยยิ้มเย็นพลางเอ่ย
“ไม่มี”
มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดอย่างสงบ
“อ้อจริงสิ ฉันลืมไป” จู่ ๆ เย่ขุยก็ตบเข้าที่ศีรษะหนึ่งหน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงใจว่า “นายบอกว่านายถูกประธานสวีเรียนเชิญนายด้วยตนเองอย่างนั้นใช่ไหม? ตอนนี้ประธานสวีอยู่ตรงหน้านี้เอง นายไม่ไปทักทายเสียหน่อยหรือ?”
“ทักทายกันไปเรียบร้อยแล้ว”
สำหรับการถากถางของคนหลายคน มู่เซิ่งทำเพียงแค่กวาดสายตามองอย่างไม่สนใจหนึ่งหน ก่อนจะเดินหน้าต่อ
สถานะของคนเหล่านี้ ในสายตาของมู่เซิ่งนั้นเป็นเพียงแค่ปลวกและมดบนถนนที่ไม่มีอะไรแปลกไปก็เท่านั้น เขาเดินผ่านจากถนนทางด้านข้าง จะไปร้องเอ็ดตะโรต่อปลวกและมดใต้ต้นไม่ทำไม?
สนใจมากไปอีกหนึ่งประโยคก็ล้วนรู้สึกสิ้นเปลืองเวลาทั้งนั้น
“ฟัค ไอ้ขยะอย่างมึงยังนึกว่าตัวเองมีความสามารถปะปนเข้ามาได้จริง ๆ หรือ?” จางเหวินเจี๋ยเห็นแล้วว่าถูกเขาถูกเมินเฉย ภายในหัวใจจึงบันดาลโทสะเป็นอย่างมาก
“คุณครับ สถานที่จัดงานประชุมใกล้จะเริ่มแล้ว รบกวนคุณรักษาความสงบด้วยครับ” ไม่นานนักก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้ยินเสียงเข้าจึงเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยปากกล่าว
จางเหวินเจี๋ยเงียบทันที ณ สถานที่พรรค์นี้เขาเองก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น
สายตาของเขาทำได้เพียงแค่จ้องเขม็งอย่างดุร้ายไปยังมู่เซิ่งเท่านั้น ภายในหัวใจกำลังหัวเราะเสียงเย็น รอหลังจากเลิกงานแล้วจะต้องหาโอกาสให้เขาคุกเข่าแล้วร้องเสียงสุนัขต่อหน้าตนเองให้จงได้!
มู่เซิ่งมุ่งหน้าเดินไปยังหลังเวที จู่ ๆ ก็ได้ยินว่ามีคนทางด้านหลังร้องเรียกเขา ดังนั้นจึงหันศีรษะกลับไปดู เห็นเพียงแค่เจียงหว่านที่กำลังสาวเท้าอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งมุ่งมาทางเขา
“คุณมาจริง ๆ หรือคะ?” สีหน้าของเจียงหว่านเต็มไปด้วยความปีติ
ในตอนที่เข้าประตูมาเธอก็มองเห็นมู่เซิ่งแล้ว ทว่าไม่อยากที่จะไปพูดคุยอะไรกับพวกจางเหวินเจี๋ย ดังนั้นจึงรอหลังจากมู่เซิ่งจากมาแล้ว เธอถึงเดินตามมา
“หรือว่าผมจะหลอกคุณไม่ได้?” มู่เซิ่งยกยิ้มไปมาพลางกล่าว
“แต่ว่านะ สรุปแล้วคุณได้บัตรเรียนเชิญได้อย่างไรหรือคะ?” ดวงตาของเจียงหว่านกำลังพิจารณาจากบนลงล่าง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เป็นในตอนนั้นเอง สวีเจ๋อปิงปรากฏตัวขึ้นบนเวทีเต้นรำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหยิบไมโครโฟนแล้วเอ่ยว่า “ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มายังสถานที่จัดงานแถลงข่าวของมู่ซื่อ กรุ๊ปนะครับ ผมคือซีอีโอของบริษัทมู่หราน ทั้งก็เป็นผู้ดูแลของโครงการในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน สวีเจ๋อปิงครับผม”
“นี่คือฝั่งผู้ให้ร่วมมือของพวกเราครับ ทั้งก็เป็นนายท่านแห่งตระกูลกู่แห่งเจียงหนานเช่นเดียวกัน กู่มู่สวีนครับ”
กู่มู่สวีนลุกยืนโค้งคำนับ
ทันใดนั้นที่จัดงานก็มีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นมา
ตระกูลมู่มีตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองเยียนจิงเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ทั้งก็เป็นตระกูลชั้นหนึ่งแห่งเจียงหนานด้วยเช่นกัน สามารถได้รับความร่วมมือได้ ทุกคนย่อมไม่ได้แปลกใจอะไร
“ล้วนกล่าวกันว่าใช้ผู้มีปัญญาไม่ใช้ญาติ อีกอย่างผมเองก็อายุมากและแก่ชราแล้ว ดังนั้นโครงการในครั้งนี้ พวกเราได้เชิญคนรุ่นใหญ่ไฟแรงท่านหนึ่งมาทำงานด้วย” สวีเจ๋อปิงหัวร่อพลางกล่าว “ขอเรียนเชิญผู้ดูแลหลักของโครงการซีไห่แห่งมู่ซื่อ กรุ๊ป คุณมู่ครับผม!”
ทั่วทั้งสถานที่จัดงานมีเสียงปรบมือดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
มู่เซิ่งจัดแจงเนกไท ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปบนเวที
“มู่เซิ่ง คุณ…”
สัญชาตญาณของเจียงหว่านคิดอยากที่จะดึงมู่เซิ่งเอาไว้ ทว่ากลับชะงักนิ่งไปทันที ก่อนจะเผยสีหน้ายากที่จะเชื่อเป็นอย่างมากออกมา