มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 76 กลืนน้ำลาย
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 76 กลืนน้ำลาย
สัญชาตญาณของเจียงหว่านคิดอยากที่จะดึงมู่เซิ่งเอาไว้ ทว่ากลับชะงักนิ่งไปทันที ก่อนจะเผยสีหน้ายากที่จะเชื่อเป็นอย่างมากออกมาอยู่ที่เดิม
ในสายตาของเธอ มู่เซิ่งกำลังเดินขึ้นไปบนเวทีทีละก้าวทีละก้าว ก่อนจะนั่งลงที่ข้างกายสวีเจ๋อปิง
เสียงปรบมือดังขึ้นไปทั่วบริเวณ มีเพียงกลุ่มคนของจางเหวินเจี๋ยเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เอ่ยคำ เป็นเพราะพวกเขาตะลึงงันไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าหนุ่มหล่อมากพรสวรรค์ที่สวีเจ๋อปิงกล่าวถึงนั้น มันกลับเป็นมู่เซิ่ง!
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นไอ้ขยะไร้ค่าคนนี้ไปได้!”
สีหน้าของเย่ขุยย่ำแย่ไร้เทียบเทียม เขาล้วนจินตนาการถึงท่าทางของมู่เซิ่งที่คุกเข่าลงไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเตรียมที่จะถ่ายภาพโพสลงไปในโมเมนต์ด้วย ทว่าความจริงกลับสาดน้ำเย็น ๆ ใส่หน้าเขาไปหนึ่งกะละมังเสียแล้ว
จางเหวินเจี๋ยเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งหนด้วยเช่นเดียวกัน สีหน้าและแววตาบนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความงุนงงระคนสงสัยที่หนักอึ้งเต็มไปหมด
อันที่จริงแล้วเขาคิดไม่ถึงเลยว่าทำไมมู่เซิ่งถึงสามารถขึ้นไปบนเวทีได้ แถมยังถูกสวีเจ๋อปิงเรียนเชิญมาให้เป็นผู้ดูแลของโครงการอีก ทว่า ณ ตอนนี้นั้น ฉากนี้มันได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาจริง ๆ เสียแล้ว
หลังเห็นมู่เซิ่งเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว สวีเจ๋อปิงจึงหลบตำแหน่งให้ เชิญเขานั่งลงบนนั่งหลัก ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ล้วนตะลึงงันกันไปหมดแล้ว ว่าคนหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้กลับสามารถมีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการของมู่ซื่อ กรุ๊ปได้ สรุปแล้วนี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่?
“ดูท่าแล้วอำนาจกุมความเป็นความตายของวันนี้ล้วนตกอยู่ในกำมือของผู้ชายคนนี้แล้วสินะ”
“ถ้ารู้ก่อนก็คงไปประจบเขาเสียหน่อยตั้งนานแล้ว ตอนนี้คนเขานั่งอยู่บนเวทีแล้วนะ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะมอบของขวัญให้แล้ว”
“เฮ้อ ใครจะไปรู้ล่ะว่าประธานสวีกลับเลือกคนนอกคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้”
คำพูดเหล่านี้ล้วนดังไปถึงหูของจางเหวินเจี๋ย มันทิ่มแทงหูเป็นอย่างมาก เป็นเพราะว่าเขาเมื่อสองสามวันก่อนในงานเลี้ยงศิษย์เก่าก็เคยพูดไปแล้วว่าตนเป็นผู้จัดการของบริษัทมู่หราน มีความสัมพันธ์เบื้องหลัง ตอนนี้เมื่อเทียบกับมู่เซิ่งแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นมากกว่าไอ้ขยะคนหนึ่งอีก
“โครงการในครั้นนี้ การจัดสรรฝั่งผู้ให้ความร่วมมือนั้นง่ายมากครับ”
มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดอย่างราบเรียบ
“โครงการคฤหาสน์เขตซีไห่หนึ่งในนั้นจะมอบให้ตระกูลกู่รับผิดชอบครับผม ส่วนอสังหาริมทรัพย์เขตผิงมอบให้เจียงหว่านแห่งตระกูลเจียงรับผิดชอบ หนึ่งในสามโครงการที่เหลือนั้นจะมีตัวบริษัทมู่หรานเองที่เป็นคนรับผิดชอบ นี่คือการจัดสรรของผมครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นไปทั่วบริเวณทั้งหมด เพราะคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เซิ่งจะลงดาบเรื่องงานอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ กระทั่งเอาโครงการแบ่งเป็นสามส่วน ทว่าในขณะเดียวกันภายในหัวใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยไปหมด ว่าตระกูลเจียงที่มู่เซิ่งคนนี้เอ่ยถึงนั้น สรุปแล้วคือตระกูลไหนกันแน่?
ไม่กล่าวโทษทุกคนหรอก เป็นเพราะว่าตระกูลเจียงเป็นตระกูลชั้นสอง การที่ตระกูลชั้นสองสิบกว่าตระกูลทั่วทั้งเจียงหนานนั้นไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน
เจียงหว่านกำลังมองจากด้านล่างเวที กลับเผยรอยยิ้มอย่างยากที่จะปกปิด กล่าวว่า “นี่ก็คือความช่วยเหลือที่คุณบอกกับฉันว่าจะมีให้กับตระกูลเจียงหรือ? ทำให้ฉันเซอร์ไพรส์มากเกินไปแล้วจริง ๆ”
อสังหาริมทรัพย์เขตผิง นั่นคือโครงการหลายพันล้าน หาส่งมอบให้เจียงหว่านร่วมมือ ขอเพียงโครงการเสร็จสรรพเท่านั้น สถานะของเธอในตระกูลเจียงจะต้องราวกับอาทิตย์กลางฟ้าและไร้หนทางที่จะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
เธอเองก็พึ่งจะเข้าใจทุกอย่าง ณ ช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน ว่าสรุปแล้วเหตุใดตระกูลมู่ถึงได้โยนกิ่งใบสมอแก่เธอในตอนแรกเริ่ม
ล้วนเพราะมู่เซิ่งเป็นเหตุทั้งนั้น!
“ผมแค่มายืนยันโครงการของฝั่งผู้ให้ความร่วมมือเท่านั้นครับ” หลังกล่าวจบ มู่เซิ่งก็นั่งลงแล้ว “ประธานสวีครับ ในลำดับต่อไปคุณพูดเถอะครับ”
“ประธานสวีครับ ในลำดับต่อไปคุณพูดเถอะครับ” มู่เซิ่งนั่งลง
“ครับ” สวีเจ๋อปิงรับไมโครโฟนมา
ทางด้านล่างของเวทีมีเถ้าแก่หลายตระกูลต่างที่ก็พากันแย่งชิงเพื่อจะขึ้นไปข้างหน้า ทุกคนต่างก็มองไปยังประธานสวีกันทั้งสิ้น
ถึงแม้บอกว่าตอนนี้ทางฝั่งผู้ให้ความร่วมมือของมู่ซื่อ กรุ๊ปได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าในเมื่อยังมีจุดเล็กจุดน้อยที่สำคัญอยู่นิดหน่อย น้ำแกงร้อน ๆ พรรค์นี้ที่หลุดเข้ามาในมือของตระกูลร่ำรวยเองนั้น อย่างน้อย ๆ มันก็มีมูลค่าหลายร้อยหลายหมื่นเช่นเดียวกัน ทุกคนจึงไม่ยอมที่จะพลาด
งานแถลงข่าวผ่านมากว่าครึ่งทางแล้ว มู่เซิ่งจึงถอยลงจากเวทีไป
“คุณชายมู่ครับ คุณไม่คิดจะดูแลมู่ซื่อ กรุ๊ปจริง ๆ หรือครับ?” ที่ด้านหลังของเวที สวีเจ๋อปิงโค้งคำนับเอ่ยถาม
มู่เซิ่งส่ายศีรษะไปมา กล่าวว่า “ท่านสวีครับ คุณเข้าใจมากที่สุดแล้วว่าผมในตอนก่อนหน้านี้ทำอะไร เรื่องชกต่อยรักษาโรคผมยังได้อยู่นะครับ แต่เรื่องธุรกิจการค้าผมไม่ถนัดเลย ดังนั้นหลังจากนี้บริษัทก็ยังมีคุณเป็นคนดูแล ผมขอเป็นคนชี้นิ้วอย่างเดียวดีกว่า”
“แต่ว่านี่คือโอกาสครั้งหนึ่งที่จะทำให้คุณที่เป็นคุณชายได้พิสูจน์ชื่อเสียงของตัวเองนะครับ! หรือในตอนสุดท้ายอาจสูญเสียทุกอย่างไปก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน เพราะเดิมทีนายท่านก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว”
“…”
มู่เซิ่งไร้คำจะกล่าวต่อ ที่แท้คนมีเงินก็ล้วนมีความรับผิดชอบกันทั้งสิ้น จ่ายไปหลายหมื่นล้านมันไม่ได้เป็นเพียงแค่การพิสูจน์ชื่อเสียงให้แก่ตนเองเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะทราบว่านี่เป็นแผนของบิดาเขา ที่คิดอยากที่จะทดแทนเขาที่แต่งเข้าฝ่ายหญิงแล้วได้รับความไม่ยุติธรรมมาสามปีก็ตาม มู่เซิ่งส่ายศีรษะไปมา “ไม่เป็นไรครับ ให้ผมได้มีโผล่หัวเดินออกไปได้ก็จะเป็นการดีมาก ๆ แล้วครับ ถ้าชื่อเสียงของผมดังเกินไปแล้ว อย่างไรเสียก็จะทำเรื่องราวไม่สะดวกเท่าไหร่”
“ครับผม” สวีเจ๋อปิงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะกล่าวต่อ “คุณชายมู่ ถ้าอย่างนั้นงานเลี้ยงในลำดับต่อไปละครับ?”
“พวกคุณเข้าร่วมกันเถอะครับ ผมยังมีธุระอยู่”
มู่เซิ่งไม่ยินยอมที่จะร่วมงานรวมตัวเช่นนี้ เขาโบกมือ ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
ณ สถานที่จัดงานประชุมในตอนนั้นเอง ผู้คนมากมายล้วนไปร่วมงานฉลองความสำเร็จกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะคว้าประโยชน์มาไม่ได้ ทว่าหากสามารถไปมาหาสู่กับประธานสวีหรือตระกูลกู่ได้ สำหรับการพัฒนาในระยะยาวของพวกเขาแล้วนั้น ทั้งหมดก็ล้วนมีแต่ประโยชน์ไม่มีผลเสีย
“อาจารย์!”
กู่ชิงเสวียนยืนโบกไม้โบกมืออยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะร้องเรียกเสียงดัง
“เธอออกมาได้อย่างไรน่ะ?” มู่เซิ่งหันศีรษะกลับไปเอ่ยถาม
“อาจารย์ งานเลี้ยงคุณก็ไม่ได้ไปร่วม ฉันไปแล้วก็ไม่มีความหมายเหมือนกันค่ะ” กู่ชิงเสวียนยักไหล่ขึ้นลง ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างตามใจว่า “แต่ว่าอาจารย์ คุณสุดยอดจริง ๆ เลยนะคะ ไม่เพียงมีความสามารถเรื่องการแพทย์และเรื่องบุ๋นบู๊เท่านั้น กระทั่งเรื่องธุรกิจการค้าเองก็มีฝีมือด้วยเหมือนกัน เรื่องนักธุรกิจการคำนวณพรรค์นี้ ฉันปวดหัวที่สุดแล้วค่ะ”
มู่เซิ่งหัวร่อไปมา “โชคดีน่ะ”
“เหอะ ๆ ที่แท้ก็เป็นไอ้ขยะโชคดีสินะ”
เป็นในตอนนั้นเอง เสียงมลพิษก็ดังขึ้นมาทางด้านข้างเสียแล้ว
เป็นเพราะว่ามู่เซิ่งกำชับเอาไว้ว่าเดิมทีกลุ่มของจางเหวินเจี๋ยไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานฉลองความสำเร็จ ดังนั้นจึงถูกขับไล่ออกมาทันที ตอนที่เดินไปถึงปากประตูนั้นเอง หลังจางเหวินเจี๋ยเห็นมู่เซิ่งแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะกัดฟันเอ่ยปากออกมา
“มู่เซิ่ง นายเองก็รู้เหมือนกันนี่ว่าตัวเองโชคดีถึงสามารถเป็นผู้รับผิดชอบได้ ความสามารถและอำนาจที่แท้จริงนั้น กระทั่งนายก็สู้ฉันคนนี้ที่เป็นผู้จัดการไม่ได้หรอก!”
“มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่เหมือนกับฉัน ล้วนไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานฉลองความสำเร็จนี่ ตระกูลมู่แค่ถือว่านายเป็นขยะที่มีหรือจะไม่มีคนหนึ่งก็ได้ก็เท่านั้น!”
“ฉันเตือนนายนะ อย่าพึ่งลำพองตัวเร็วเกินไป เพราะในสายตาของฉันน่ะ นายคือไอ้ขยะคนหนึ่งไปตลอดกาล!”
“อ๋อ”
มู่เซิ่งสบตามองอย่างเฉยเมยหนึ่งหน ในสายตาของเขา จางเหวินเจี๋ยเป็นเพียงแค่ตัวตลกเท่านั้น กระทั่งสิทธิ์ที่จะทำให้เขาโกรธก็ล้วนไม่มี
“เรามารอดูกัน ไอ้ขยะ!”
จางเหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น
ในตอนที่เขาหมุนตัวนั้นเอง ทว่าคนข้างกายกลับไม่มีการเคลื่อนไหว ทุกคนล้วนวิ่งไปยังตรงหน้ามู่เซิ่งกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเอาใจเป็นอย่างมาก
“มู่เซิ่ง ไม่สิ ตอนนี้คงต้องเรียกนายว่าประธานมู่แล้ว”
“ประธานมู่ นายจำฉันได้ใช่ไหม ในงานเลี้ยงศิษย์เก่าฉันเคยคารวะเหล้านายมาก่อน”
“ใช้สิมู่เซิ่ง ตอนเรียนมัธยมปลายน่ะ ฉันกับเจียงหว่านเคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันมาก่อน นายมีเวลาว่างไปทานอะไรด้วยกันสักอย่างไหม?”
“ประธานมู่ นี่เป็นนามบัตรของฉันเอง…”
มองเห็นฉากนี้แล้ว จางเหวินเจี๋ยจังงังไปแล้ว เขาบันดาลโทสะจนชี้นิ้วอย่างสั่นเทา ก่อนจะชี้ไปยังทุกคน “พวกนายกำลังทำอะไร?”
ทุกคนหันศีรษะกลับไปมองจางเหวินเจี๋ยหนึ่งหน ทว่าก็ไม่ได้สนใจ
คนที่สามารถทำเงินได้คือผู้ทรงอำนาจ ตอนนี้จางเหวินเจี๋ยล้วนไร้ประโยชน์ไปแล้วจะประจบเขาไปทำไมกัน? ไม่สู้คบค้าสมาคมกับมู่เซิ่งดีกว่า ไม่แน่ว่าหากเขาแก้ไขปัญหาการจัดสรรเสียหน่อยก็อาจสามารถทำเงินได้หลานล้านเลยก็ได้
“พวกนาย พวกนายอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!” จางเหวินเจี๋ยบันดาลโทสะจะใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว
เป็นในตอนที่เขาทิ้งคำร้ายกาจเอาไว้และเตรียมจะจากไปนั้นเอง จู่ ๆ มู่เซิ่งก็ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ก่อนจะขวางหน้าจางเหวินเจี๋ยเอาไว้แล้ว
“ฉันเกือบลืมไปเลย นายไม่ได้เคยพูดมาก่อนหรือว่าถ้าหากฉันปรากฏตัวที่งานแถลงข่าว นายก็จะคุกเข่าร้องเสียงสุนัขใช่ไหม?” มู่เซิ่งสบตามองจางเหวินเจี๋ยไปมา เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“นายถือว่าเป็นใครวะ? คู่ควรที่จะสั่งการฉันหรือไง? ไสหัวออกไป!” จางเหวินเจี๋ยสะบัดศีรษะจะจากไป ดูจากท่าทีก็คงกะว่าจะกลืนน้ำลายเสียแล้ว