มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 77 กฎที่ทุกคนต้องเคารพ
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 77 กฎที่ทุกคนต้องเคารพ
“ไอ้ขยะอย่างนายนี่ก็มีสิทธิ์มาสั่งการฉันด้วยเหมือนกันหรือ?”
จางเหวินเจี๋ยส่งเสียงเหอะเย็นชาหนึ่งเสียง หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
เดิมเธอเขาไม่ได้นำคำของมู่เซิ่งมาใส่ใจอะไรเลย
“ถ้าเป็นคำของฉันล่ะ?”
ในตอนนั้นเอง เสียงเย็นยะเยือกหนึ่งเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง สวีเจ๋อปิงก้าวเดิมเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเย็นยะเยือกเต็มขั้น
“สวี ประธานสวีหรือ?”
จางเหวินเจี๋ยหันศีรษะกลับมา รู้สึกว่าตนเองมองผิดไปแล้ว
มู่เซิ่งไอ้เจ้าขยะนี่ ทำไมถึงมีค่ากระทั่งประธานสวีออกหน้าให้ ต่อให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบของโครงการในครั้งนี้ก็ตาม ทว่ากระทั่งคุณสมบัติของงานเลี้ยงในลำดับต่อไปก็เข้าไปไม่ได้ สวีเจ๋อปิงไม่น่าจะไว้หน้าเขามากขนาดนั้นนี่นา!
“ประธานสวี คือว่าผม…”
ทั่วทั้งร่างของจางเหวินเจี๋ยกำลังสั่นเทา ประธานสวีเป็นเบื้องบนของเขา เดิมทีก็ผิดต่อด้วยไม่ได้อยู่แล้ว
คำของเขาไม่ทันที่จะเอ่ยจบก็ถูกกู่ชิงเสวียนขัดขึ้นมา กล่าวว่า “คุณปู่สวี เจ้าหมอนี่ไม่รักษาคำพูดค่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะคุกเข่าร้องเสียงสุนัขทว่ากลับกลืนน้ำลาย!”
สีหน้าของจางเหวินเจี๋ยบวมเป่งราวกับตับหมู
เดิมทีเขานึกว่าจะสามารถหลบหนีด่านเคราะห์ไปด่านหนึ่งได้ ในเมื่อมู่เซิ่งไม่มีอำนาจอะไร กลืนน้ำลายแล้วจะทำไม? ทว่าตอนนี้กลับเป็นประธานสวีและกู่ชิงเสวียนที่รวมตัวกันออกหน้าแทนเสียอย่างนั้น!
“จางเหวินเจี๋ย นายยังจำพนันของนายได้ใช่ไหม? นายบอกว่าถ้าฉันมาร่วมงานแถลงข่าวก็จะร้องเสียงสุนัขให้ฉันฟังกลางงาน ฉันไม่ได้พูดผิดไปใช่ไหม?” มู่เซิ่งสบตามองจางเหวินเจี๋ยนิ่ง
คุกเข่าลงร้องเสียงสุนัข!
จางเหวินเจี๋ยหมดคำจะกล่าวในทันที
เดิมทีเขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เซิ่งจะสามารถมางานแถลงข่าวได้ ดังนั้นจึงรับพนันนี้ไป
หากเขาคุกเข่าลงแล้วจริง ๆ ละก็ รับประกันได้เลยว่าเรื่องพรรค์นี้จะต้องโด่งดังในโมเมนต์ในทันทีอย่างแน่นอน ศักดิ์ศรีของเขาก็จะหายไปจนหมดสิ้น!
“จางเหวินเจี๋ย ทางที่ดีคุณรักษากฎจะเป็นการดีกว่านะ มิฉะนั้นบริษัทของพวกเราก็คงจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของคุณแล้วว่าจะเชิญคุณออกจากงานหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง นอกจากบริษัทมู่หรานแล้ว ในเจียงหนานก็จะไม่มีบริษัทไหนกล้ารับคุณ” สวีเจ๋อปิงเอ่ยพูดด้วยอำนาจ
สีหน้าของจางเหวินเจี๋ยซีดขาวราวธุลี
เขาโป้ปดไปแล้ว ชวดงานนี้ไม่กระวนกระวายมากนัก ทว่าคำที่ประธานสวีเป่งออกมานั้น เกรงว่าจะกระทบไปถึงบิดาของเขาด้วย เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่มีที่ยืนไปทั่วทั้งเจียงหนานแล้ว
“ผม…”
จางเหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น
คุกเข่า แค่คุกเข่าใช่ไหม?
คุกเข่าแล้วจะขายหน้า หากไม่คุกเข่า เช่นนั้นเขาก็ถูกโจมตีทั่วทั้งเจียงหนาน!
ละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจางเหวินเจี๋ยก็เลือกที่จะคุกเข่าลงไปแต่โดยดี ก่อนส่งเสียงร้องสุนัขโฮ่ง ๆ ๆ ออกมา
เพื่อนนักเรียนทางด้านข้างที่ยืนกันอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่ากันออกมาเสียยกใหญ่
จางเหวินเจี๋ยหน้าแดงหูแดงกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างกำลังก่นด่าว่าร้าย
มู่เซิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะมึงที่เป็นคนทำร้ายกู มึงรอเลยเถอะ ถ้ากูจางเหวินเจี๋ยไม่แก้แค้น สาบานได้เลยว่าจะไม่เป็นคน! จะต้องมีสักวันที่กูจะเหยียบมึงให้จนตีนได้ เอาคืนความอัปยศในวันนี้สิบเท่า! มึงก็เป็นแค่ปีนขึ้นไปบนขาใหญ่ขานี้ของประธานสวีเท่านั้น ก็เหมือนกันกับกูนั่นแหละ เป็นขยะที่กระทั่งงานฉลองความสำเร็จก็ล้วนไม่มีสิทธิ์เข้าไป รอมึงไม่มีค่าให้ใช้งานแล้ว หลังถูกเตะแล้ว มึงจะเอาอะไรมาสู้กับกูได้อีก?
“มู่เซิ่ง นี่คือ…” หลังเจียงหว่านเดินเข้ามาหาแล้ว ทั้งก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปเช่นเดียวกัน
“ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูเจียง นี่จางเหวินเจี๋ยกำลังแสดงเป็นสุนัขอยู่น่ะครับ” เย่ขุยหัวร่อพลางกล่าวอธิบาย
“ใช่ค่ะ คุณว่าเขาร้องเหมือนหรือไม่เหมือน?”
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเต็มหนึ่งร้อยคะแนนแล้วละก็ ผมให้หนึ่งร้อยหนึ่งคะแนนเลย เหมือนสุนัขมากกว่าสุนัขที่บ้านของผมอีกนะเนี่ย”
“หากไม่ใช่เพราะฉันไม่ได้นำกระดูกมาด้วย ก็อยากที่จะโยนให้เขาสักหนึ่งชิ้นแล้วล่ะ” เพื่อนนักเรียนทุกคนล้วนหัวร่อพลางกล่าวกันขึ้นมา
ผู้มีตาก็ล้วนสามารถมองออกได้ ว่าสวีเจ๋อปิงกำลังมุ่งเป้าไปที่เจียงมู่หลง ดังนั้นจึงหยิบยืมเรื่องมานี้เยาะเย้ยจางเหวินเจี๋ย ไม่แน่ว่าอาทำให้ประธานสวีรู้สึกดีต่อตนเองมากขึ้นมาเล็กน้อยก็เป็นได้
ต้องรู้คำว่าสวีเจ๋อปิงสามคำนี้แล้ว จะมีค่าเป็นเงินมาน้อยแค่ไหนในเจียงหนาน
เจียงหว่านสบตามองฉากตรงหน้าทั้งสอง จู๋ ๆ ก็ไร้คำจะกล่าวขึ้นทันที ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะ “พรืด” ออกมาหนึ่งเสียง
จางเหวินเจี๋ยกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ใจคิดอยากจะตายก็ล้วนมี
ทว่าเขาไม่กล้าลุกขึ้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ก่นด่าว่าร้ายมู่เซิ่งภายในหัวใจไม่หยุด
“คุกเข่าอยู่ตรงนี้จนกว่างานเลี้ยวจะสิ้นสุด ถ้าฉันออกมาแล้วไม่เห็นนายละก็ คุณก็รอดูได้เลยเถอะ!” สวีเจ๋อปิงกล่าวพลางชี้ไปยังปากประตู ก่อนจะกล่าวละมู่เซิ่งหนึ่งเสียง หลังจากนั้นก็กลับเข้างานเลี้ยงไป
จางเหวินเจี๋ยกัดฟันไปมาพลางสบตามองแผ่นหลังของทั้งสามคนจากไป ทว่าก็ไม่กล้าลุกขึ้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ก่นด่าอย่างดุร้ายว่า “ไอ้ขยะ รอมึงถูกตระกูลกู่เตะออกมาเมื่อไหร่ กูจะทำให้มึงร้องขอความตายก็ไม่ได้!”
ถึงแม้ว่าจะก่นด่าอยู่บนปาก ทว่าจางเหวินเจี๋ยก็ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปไหน
ณ ตอนนี้ เดิมทีเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะผิดต่อประธานสวีเลย
หลังออกมาจากสถานที่จัดงานประชุมแล้ว กู่ชิงเสวียนกับเจียงหว่านทั้งสองคนเดินขนาบข้างกันอยู่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยโดดเด่นทั้งสองคนดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ทว่ามู่เซิ่งที่ถูกขนาบข้างอยู่ตรงกลางนั้นกลับไม่อภิรมย์มากนัก
เจียงหว่านปรายตามองมู่เซิ่งไปหนึ่งหน ภายในหัวใจก่อเกิดความระแวดระวัง ดังนั้นจึงยื่นมือไปคว้าจับเข้าที่แขนของมู่เซิ่งเอาไว้
ในบรรยากาศมีกลิ่นอายราวกับลานซามูไรแพร่กระจายอยู่เลยก็ไม่ปาน
กู่ชิงเสวียนใช้แสงทางด้านข้างพิจารณาเจียงหว่านไปมา ถึงแม้ว่าเธอจะหยิ่งผยองลำพองตน ทว่าก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้เช่นเดียวกัน ว่าความงามของเจียงหว่านนั้นมันโดดเด่นเป็นสง่ามากจริง ๆ งดงามสะกดผู้คน
แต่ฉันก็ไม่ได้แย่เหมือนกันนะ!
กู่ชิงเสวียนยืดอกไปมา จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อาจารย์ การแสดงออกในครั้งนี้ของฉันเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ?”
“อาจารย์?”
เจียงหว่านงุนงงแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามว่าไม่เข้าใจว่า “มู่เซิ่ง คุณรับศิษย์หรือคะ?”
มู่เซิ่งส่ายศีรษะราวกับคลื่นเลยก็ไม่ปาน กล่าวว่า “เธอล้อเล่นครับ ผมไม่มีศิษย์หรอก”
สบตามองเจียงหว่านที่งุนงง กู่ชิงเสวียนจึงแอบได้ใจอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะโบกมือกล่าวว่า “อาจารย์ ฉันไปก่อนแล้วนะคะ ครั้งต่อไปก็ยินดีต้อนรับคุณมาเล่นที่บ้านของฉันนะคะ”
“คุณเคยไปบ้านเธอมาก่อนหรือคะ?”
สุรเสียงสิ้นสุดลง เจียงหว่านระเบิดแล้วจริง ๆ
“ไม่ครับ ผมจะไปบ้านเธอได้อย่างไรกันน่ะ”
เจียงหว่านไม่เชื่อ จ้องมู่เซิ่งเขม็ง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณสาบานสิ!”
“ผมสาบานครับ ผมไม่เคยไปบ้านของกู่ชิงเสวียนเธอมาก่อนเลยจริง ๆ นะครับ” มู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มขืนอย่างหมดความอดทน กู่ชิงเสวียนคนนี้ช่างกล้าพูดจาเลยเถอะอะไรออกไปจริง ๆ สร้างความยุ่งยากให้กับเขาเสียแล้ว
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว สีหน้าของเจียงหว่านขึงมีจุดเปลี่ยนที่ดีขึ้นมา ทว่าเธอก็ยังสาวเท้าก้าวยาว ๆ มุ่งเดินไปทางด้านหน้าด้วยความโกรธอยู่ดี
มู่เซิ่งหัวเราะขมขื่นหนึ่งเสียง หลังจากนั้นก็ไล่ตามไป
“คุณตามมาทำไมคะ ไปหาศิษย์สุดที่รักของคุณสิคะ!” เจียงหว่านสะบัดมืออย่างแรงหนึ่งหน จ้องมู่เซิ่งเขม็ง
“ถ้าผมไปหาจริง ๆ ละครับ?” มู่เซิ่งแสร้งหมุนตัว
“คุณกล้าหรือ!”
เจียงหว่านกระวนกระวายขึ้นมาทันที ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ชี้นิ้วไปยังมู่เซิ่งก่อนจะกล่าวว่าดุเดือดว่า “ถ้าคุณกล้าไปละก็ ตัวฉัน ตัวฉันจะตอนคุณเสีย!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไปแล้ว ต้นขาใหญ่ของมู่เซิ่งก็หนีบเข้าหากันแน่นทันที รู้สึกว่ามีลมเย็น ๆ พัดเข้ามาระหว่างช่วงขา
เห็นท่าทางหวาดกลัวของมู่เซิ่งแล้ว สุดท้ายเจียงหว่านก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว ก่อนจะกล่าวว่าถือดีว่า “ฉันเป็นภรรยาคุณ ถึงแม้ว่าสามปีมานี้ฉันจะมีท่าทีไม่ค่อยดีต่อคุณก็เถอะ แต่ในเมื่อฉันเป็นภรรยาคุณ ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้ต่อไป ฉันจะตั้งกฎสามข้อกับคุณ”
“คุณพูดมาเถอะครับ” มู่เซิ่งยกยิ้มขมขื่น
ถ้าเขาไม่รับคำอีกละก็ ไม่รู้ว่าจะต้องง้ออีกนานเท่าไหร่
“ข้อแรก หลังจากนี้คุณจะไม่ได้รับการอนุญาตให้เจอกู่ชิงเสวียนอีก!” เจียงหว่านเอ่ย
“นี่…” มู่เซิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนี้ถ้าเขามีเรื่องที่จะต้องให้กู่มู่สวีนทำละก็ เกรงว่ากู่ชิงเสวียนจะต้องอยู่ข้างกายเขาแน่ เขาควรจะทำเช่นไรดี หลังจากเงียบไปครู่นี้แล้วจึงกล่าวว่า “อย่างไรเสียตระกูลกู่นี้ก็ช่วยเหลือเรามาไม่น้อยเหมือนกันนะครับ ตอนนี้ไม่พบหน้า ถ้าอย่างนั้นจะไม่เป็นการข้ามแม่น้ำหักสะพานหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ค่ะ นับตั้งแต่วันนี้ต่อไป คุณจะไม่ได้รับการอนุญาตให้เป็นฝ่ายไปหากู่ชิงเสวียนก่อน” คิดไปคิดมาแล้ว เจียงหว่านเองก็รู้สึกว่าที่มู่เซิ่งกล่าวมานั้นก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงแก้ไขคำพูด
“เอาเถอะครับ” มู่เซิ่งรับคำอย่างหมดคำจะกล่าว
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อกู่ชิงเสวียนเช่นกัน
“ข้อสอง!” เจียงหว่านยกนิ้วชี้ขึ้นมา กล่าวต่อ “หลังจากนี้เมื่ออยู่ข้างนอก คุณจะต้องเรียกฉันว่าภรรยา”
“ไม่มีปัญหาครับ” มู่เซิ่งรับคำอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากนั้น เขาเห็นเจียงหว่านนิ่งเงียบไม่กล่าวถึงข้อสาม ดังนั้นจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วข้อสามละครับ?”
“ข้อสาม ก็คือ…”
ดวงหน้าของเจียงหว่านขึ้นสีแดงระเรื่อ แทบจะเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงเป็นอย่างมากเลยก็ไม่ปาน หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “หลังจากนี้ไม่ต้องแยกห้อง คุณมานอนห้องนอนของฉันก็ได้ค่ะ”
สุรเสียงเล็กจ้อยราวกับยุง มู่เซิ่งได้ยินไม่ชัดนักในคราแรก ก่อนจะเอ่ยถามที่ข้างหูอีกครั้งว่า “อะไรนะครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ มีแค่สองข้อ!”
เจียงหว่านแก้คำในทันที ก่อนจะเพิ่มความเร็วของฝีเท้า หลังจากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไป
จู่ ๆ ราวกับว่ามู่เซิ่งเข้าใจอะไรได้เลยก็ไม่ปาน ชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม ปวดใจจนแทบไม่อาจหายใจ