มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง - บทที่ 95 ย้ายออกไป
มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 95 ย้ายออกไป
เช้าวันที่สอง
ในตอนที่มู่เซิ่งตื่นออกไปวิ่งตอนเช้านั้นเอง เผอิญพบเห็นเด็กสาวคนหนึ่งสวมที่กำลังสวมใส่ชุดออกกำลังกายสีขาวเข้าพอดี ทั้งก็กำลังวิ่งผ่านเนินครึ่งเขามาหาเช่นเดียวกัน หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กละเอียด คงจะวิ่งไปรอบหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่มู่เซิ่ง”
เด็กสาวสิ่งมาหา รอยยิ้มแต้มใบหน้า กระตือรือร้นสดใส
เด็กสาวคนนี้ย่อมเป็นน้องสาวของเพื่อนที่เคยร่วมรบกันของมู่เซิ่งอยู่แล้ว ฉู่อีอี
“เป็นอย่างไรบ้าง? อยู่ที่นี่จนคุ้นเคยบ้างแล้วใช่ไหม? มู่เซิ่งกล่าว”
หลังซื้อคฤหาสน์มาแล้ว เขาเองก็ตกแต่งคฤหาสน์ทางด้านข้างจนเสร็จสรรพแล้วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แล้วยังซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเป็นกองมหึมาแถมยังเชื้อเชิญแม่บ้านมาไม่น้อยอีกด้วย เพื่อมารับผิดชอบการดูแลพักอาศัยของฉู่อีอี รับประกันว่าเธอจะได้ร่ำเรียนอย่างสบายใจ
“นี่ที่มันดีมากค่ะ พี่มู่เซิ่ง คฤหาสน์หรูหราแบบนี้คงต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ?” ฉู่อีอีพยักหน้าขึ้นลงอย่างตื่นเต้นพลางกล่าว หลังจากนั้นบนใบหน้าก็เผยสีหน้าวิตกกังวลออกมาให้ได้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือว่าความเหมาะสมก็ตาม เมื่อเทียบกันระหว่างที่นี่กับสถานที่ที่เธอเคยอยู่แล้ว มันราวกับที่หนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกที่หนึ่งอยู่บนดินก็ไม่ปานเลยจริง ๆ
ส่วนอันธพาลเหล่านั้น เดิมยังคิดจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับฉู่อีอี ทว่าหลังเห็นเธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เขตซีไห่แล้ว ทันใดนั้นพลันหัวหดกันไปหมดทันที
เพราะคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นบุคคลสำคัญระดับสูงของเจียงหนานทั้งสิ้น พวกเขาผิดต่อด้วยไม่ไหวหรอก!
“ไม่เป็นไร เธออยู่อย่างสบายใจเถอะ หลังจากนี้ต่อไปนี่ที่ก็เป็นบ้านของเธอแล้ว” มู่เซิ่งยิ้มกล่าว
ดาดฟ้าเรือในวันวาน เพื่อนร่วมรบใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของเขา ในตอนนี้ให้แค่คฤหาสน์ตึกเดียวเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรเลย
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็โอเคค่ะ พี่มู่เซิ่งคะ หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสก็เทียวมาหาฉันได้ที่ข้าง ๆ นะคะ”
ฉู่อีอีโบกไม้โบกมือ ก่อนจะวิ่งไกลออกไปอีกครั้ง
ซีไห่ถึงแม้ว่าพึ่งจะดำเนินการสร้างเสร็จก็ตาม ทว่าเขตคฤหาสน์ที่นี่กลับราวกับโลกอีกมิติหนึ่งเลยก็ไม่ปาน ทัศนียภาพทำให้ผู้คนหลงใหล สภาพอากาศสดชื่นเย็นสบาย ดังนั้นแล้วเมื่อย้ายมาที่นี่ในวันที่สอง มู่เซิ่งจึงติดนิสัยออกไปวิ่งในตอนเช้าเข้าเสียแล้ว
ในตอนนั้นเอง ในคฤหาสน์
ไม่รู้ว่าจ้าวหลินเข้าไปในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะไปปลุกเขย่าเจียงหว่านที่กำลังหลับลึกให้ตื่นขึ้น หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “มู่เซิ่งล่ะ?”
มู่เซิ่งเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปีแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะซื้อคฤหาสน์แล้ว ทว่าในสายตาของจ้าวหลินนั้น มู่เซิ่งก็ยังคงเป็นแมงดาคนหนึ่งอยู่ดี เพียงแค่หลังเข้ามาอาศัยในคฤหาสน์แล้ว ท่าทีของจ้าวหลินที่มีต่อเขาจะดีขึ้นมาไม่น้อยแล้วก็ตาม ถึงขั้นแก้คำไม่เรียกเขาว่าไอ้ขยะอีกแล้ว
“คุณแม่คะ ทำไมหรือคะ?”
เจียงหว่านขยี้เบา ๆ ตาพลางเอ่ยถาม
“ลูกสาว ลูกบอกแม่มาตามความจริงเลยนะ ว่ามู่เซิ่งเขาได้แตะต้องลูกแล้วหรือยัง?” จ้าวหลินจ้องเจียงหว่านพลางเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ดวงหน้าและก้อนแก้มของเจียงหว่านพลันแดงระเรื่อขึ้นทันที ก่อนจะร้องเสียงดังว่า “คุณแม่คะ คุณแม่พูดอะไรคะเนี่ย หนูกับมู่เซิ่งเขาแยกเตียงนอนกันค่ะ แตะไม่แตะอะไรกันคะ”
“เขาไม่ได้แตะต้องลูกหรือ?”
สายตาของจ้าวหลินกวาดมองไปบนเตียงกว้างและใบหน้าของเจียงหว่านไปมา หลังกระจ่างแล้วว่าเจียงหว่านไม่ได้โกหกเธอถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งหน “ไม่แตะต้องก็ดีแล้ว”
“คุณแม่คะ คุณแม่อยากจะพูดอะไรกันแน่คะ? มู่เซิ่งเขาเป็นสามีของหนู และถึงแม้ว่าจะทำกับหนูแล้ว แบบนั้นมันก็เป็นเรื่องดีที่เป็นปกติมาก ๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ?” เจียงหว่านกล่าวด้วยโทสะ
“ปกติหรือ? มู่เซิ่งเขามีอะไรดี?” จ้าวหลินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าสีหน้าของเจียงหว่านมีความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่กล่าวต่ออีกแล้ว “ลูกสาว ลูกหาโอกาสสักหน่อยสิ ให้มู่เซิ่งเขาเขียนชื่อลูกลงไปบนคฤหาสน์”
“ทำไมคะ? นี่เป็นบ้านที่มู่เซิ่งซื้อ ไม่ใช่ของหนูเสียหน่อย?” เจียงหว่านไม่เห็นด้วย
จ้าวหลินกระวนกระวายใจแล้ว ก่อนจะดึงมือของเจียงหว่านขึ้นพลางกล่าว “ลูกสาว ลูกโง่หรือ แต่งงานกับมู่เซิ่งเขามาสามปีแล้ว สามปีแห่งความเยาว์วัยนี้ของลูกเลยนะ หรือว่ามันไม่คุ้มค่ากับตึกหลังนี้อย่างนั้นหรือ? อีกอย่างหนึ่ง รอหลังลูกขึ้นเป็นประมุขตระกูลเจียงแล้ว พวกลูกไม่ช้าเร็วก็จะต้องหย่ากัน การโอนกรรมสิทธิ์คฤหาสน์นี้ให้ลูกตอนนี้ ยังไม่ใช่เรื่องที่ประจวบเหมาะพอดีอีกหรือ?”
เจียงหว่านเข้าใจแล้ว ที่มารดาของเธอเข้ามาแต่เช้าตรู่นั้น ก็เพื่อเรื่องคฤหาสน์เรื่องนี้นี่เอง! หากเธอกับมู่เซิ่งนอนด้วยกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะประจวบเหมาะพอดีเลย เพราะกระทั่งเหตุผลในการโอนกรรมสิทธิ์ก็จะไม่ต้องหาอีกแล้วด้วย
เจียงหว่านดวงตาแดงก่ำ ที่แท้จนมาถึงตอนนี้แล้วมารดาของเธอก็ล้วนไม่ยอมรับมู่เซิ่งอยู่ดี แถมยังคิดว่าหลังจากที่โอนกรรมสิทธิ์มาให้แล้วก็จะเอามรดกของบิดาไป แล้วหลังจากนั้นก็จะถีบส่งมู่เซิ่งอีกด้วย
โอนกรรมสิทธิ์ได้คฤหาสน์มาแล้ว บวกเข้ากับให้เธอได้เป็นประมุขตระกูลเจียง สุดท้ายก็จะได้รับมรดกแล้วถีบหัวส่งมู่เซิ่ง เป็นหนึ่งแผนการที่ได้ถึงสามประโยชน์!
“คุณแม่คะ หนูจะไม่เห็นด้วยค่ะ ถ้าคุณแม่จะให้หนูกับมู่เซิ่งหย่ากัน! หนูก็จะย้ายออกไปตอนนี้เลยค่ะ!”
เจียงหว่านผุดกายลุกยืนก่อนจะเริ่มเก็บผ้าห่ม
มู่เซิ่งลำบากมาต่าง ๆ นานาก็เพื่อครอบครัวของเธอ ผลสุดท้ายตอนนี้กลับให้เธอแย่งคฤหาสน์ของมู่เซิ่งมา หลังจากนั้นก็ค่อยหย่ากับมู่เซิ่งอย่างนั้นหรือ? เธอทำไม่ได้!
“อย่า ๆ ๆ แม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองจ้ะ แม่ผิดไปแล้ว แม่ผิดไปแล้วจริง ๆ จ้ะ”
เห็นฉากทั้งหมดนี้แล้ว จ้าวหลินพลันหวาดกลัวขึ้นมาทันที เธออุตส่าห์ไปโม้ญาติและเพื่อน ๆ นับไม่ถ้วนเอาไว้แล้วเชียวนะ ว่าเธอย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว หลังจากนั้นก็มีญาติและเพื่อนสนิทจำนวนไม่น้อยที่มาเป็นแขก หากย้ายออกไปละก็ นี่ยังจะให้จ้าวหลินมีหน้าไปเจอคนได้อย่างไรกันล่ะ
“ลูกสาว แม่ไม่พูดถึงแล้วจ้ะ รู้ผิดแล้วจ้ะ” จ้าวหลินเขย่ามือของเจียงหว่านไปมา
เดิมเจียงหว่านก็ไม่ได้อยากจะเด็ดขาดเช่นนี้ เพราะในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ ทว่าจ้าวหลินมักจะไม่ถือว่ามู่เซิ่งเป็นลูกเขยอย่างแท้จริงอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไร้หนทางแล้วและจำเป็นที่จะต้องข่มขู่ไปเช่นนี้
เธอเปิดปากกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ มู่เซิ่งเขาถึงจะถือว่าเป็นเจ้าของคฤหาสน์ตึกนี้อย่างแท้จริงค่ะ อีกอย่างหนึ่งนะคะ ถ้าไม่มีเขาแล้วละก็ หนูเองก็ไม่สามารถเป็นประมุขตระกูลเจียงได้เหมือนกันค่ะ เป็นคนไม่สามารถหลงลืมบุญคุณได้นะคะ”
“แม่จะไม่ทำแล้วจ้ะ”
จ้าวหลินกุลีกุจอเอ่ยขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าภายในหัวใจของเธอจะไม่ยินยอมก็ตาม ลูกเขยคนหนึ่งที่กินข้าวของพวกเขา ใช้ข้าวของของพวกเขา มีสิทธิ์อะไรไปขี่อยู่บนศีรษะของเธอ? ทว่าเธอนั้นก็ทราบดี ว่าที่เจียงหว่านบันดาลโทสะอยู่ ณ ตอนนี้นั้น ถึงแม้ว่าในยามปกติบุตรสาวคนนี้ล้วนเชื่อฟังเธอก็ตาม ทว่าหากบันดาลโทสะขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ ทั้งก็สามารถพูดแล้วทำจริงได้เช่นเดียวกัน
จ้าวหลินไม่คิดอยากย้ายออกไป
คืนวันนั้น มู่เซิ่งทำข้าวเย็นเสร็จแล้ว หลังจากนั้นจึงรีบออกจากบ้านไปร่วมงานประมูลทันที ในระหว่างเดินทางก็ต่อสายโทรศัพท์หาเจียงหว่านไปหนึ่งสาย กล่าวว่าเขาจะกลับช้านิดหน่อย
ในเมื่องานประมูลในครั้งนี้ล้วนเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเจียงหว่านที่เข้าร่วมด้วยกันทั้งสิ้น หากเจียงหว่านออกงานด้วยกันกับเขาแล้วละก็ คงเป็นการยากที่จะป้องกันลมปากคนเหล่านั้นได้ ถึงแม้ว่ามู่เซิ่งนั้นสามารถไม่แคร์ได้ ทว่าเขาไม่คิดอยากที่จะให้เจียงหว่านได้รับคำสบประมาทด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้ว เขาจึงมาถึงอาคารปี้ลั่วเพียงคนเดียว
อ้างอิงจากที่อู๋หยู่เหวินกล่าวมา สถานที่จัดงานประมูลนี้ตระเตรียมงานมานานนับปี บุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายล้วนเข้าร่วม ขอเพียงแค่เป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเจียงหนานเท่านั้น ก็ล้วนสามารถมุ่งหน้ามาเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่ง สเกลงานที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งในนั้น นอกจากวัตถุโบราณและภาพวาดแล้ว ยังมีแร่เจไดต์ ที่มีมูลค่ามหาศาลอีกด้วย
สถานที่จัดงานสลักสำคัญเช่นนี้ อันที่จริงแล้วมู่เซิ่งคิดอยากที่จะแต่งกายอย่างเป็นทางการนิดหน่อย
แต่ระยะเวลาในระหว่างการเดินทางมันเร่งรีบเกินไปแล้วจริง ๆ พอเขาทำมื้อค่ำเสร็จแล้วก็มาเลยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนที่ยืนอยู่หน้าปากประตูจึงถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยขวางเอาไว้ และยังคงเป็นกู่มู่สวีนที่มารับเขาให้เข้าไปด้านใน
“อู๋หยู่เหวินละครับ?” มู่เซิ่งหันศีรษะไปมองดู ไม่ได้ตกลงกันไว้แล้วหรือว่าตระกูลอู๋จะมาด้วย?
“เสี่ยวมู่ ตระกูลอู๋ไปเมืองจื่อซานแล้วล่ะ วัตถุดิบยาที่คุณต้องการพวกเขาหากันทั่วทั้งเจียงหนานแล้วก็ล้วนหากันไม่ได้ แต่หลังจากอู๋หยู่เหวินเขาสืบมาได้ว่าเมืองจื่อซานข้าง ๆ มีวัตถุดิบยาชนิดนี้ ดังนั้นเขาก็เลยมุ่งหน้าไปด้วยตนเอง” กู่มู่สวีนก้มศีรษะพลางกล่าว หลังงานแถลงข่าวก็ได้ทราบสถานะของมู่เซิ่ง ถึงแม้ว่ามู่เซิ่งจะไม่แคร์ก็ตาม ทว่าในทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันนั้น ภายในหัวใจก็ล้วนหวาดกลัวอยู่เสมอ
กู่มู่สวีนหยิบบัตรธนาคารหนึ่งใหญ่ออกมา กล่าวว่า “เสี่ยวมู่ ในบัตรธนาคารใบนี้มีอยู่สองร้อยล้าน เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน”
มู่เซิ่งเผยรอยยิ้มขืนออกมา “ท่านกู่ครับ คุณไม่จำเป็นที่จำต้องทำแบบนี้เลยนะครับ ผมพกเงินมาแล้วล่ะ”
“ก็ได้”
กู่มู่สวีนผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ หนึ่งหน การพูดคุยกับตระกูลจากเมืองเยียนจิงนั้น ทำเอาเขามีความกดดันเต็มประดาเลยเชียวนะ