ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 100 รถเข็นวีลแชร์ของเถ้าแก่โจว
ตอนที่ 100 รถเข็นวีลแชร์ของเถ้าแก่โจว
จ๋อม…
เช่นเดียวกับเสียงของหินที่ตกลงไปในน้ำ ที่ใสแจ๋วชัดเจนและน่าฟังมาก ความสงบแต่เดิมก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำเพราะเหตุนี้เช่นกัน
โจวเจ๋อพบว่าตัวเองนอนอยู่บนสระน้ำ ใต้ร่างเขาเป็นผิวน้ำ และพื้นผิวน้ำนี้ก็ราวกับกระจกที่โอบอุ้มร่างของเขาไว้
ทุกสิ่งรอบตัวที่ดูพร่ามัวในตอนแรก เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความชัดเจนอย่างช้าๆ และหลังจากที่ชัดเจนแล้ว ก็เริ่มคุ้นเคย
ไกลออกไป
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีผู้คนขวักไขว่ไปมามากกมายบนเส้นทางสู่นรกเสมอ เพราะถึงแม้จะไม่มีสงครามโลกหรือโรคระบาด ในโลกนี้ก็มีคนเสียชีวิตอยู่ตลอดเวลา
มักจะมีบทพูดประโยคหนึ่งในละครทีวีหลายเรื่อง ‘ฉันเกรงว่าคุณจะเหงาระหว่างเดินทางไปตามเส้นทางสู่นรก ฉัน (หรือใครก็ตามที่ส่งมา) จะลงไปกับคุณ’
ในความเป็นจริง สิ่งนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล
เมื่อคุณลงไปแล้ว คุณจะพบว่าเส้นทางไปสู่นรกนั้นแออัดมาก และมีพี่น้องผิวขาว พี่น้องผิวดำ ผู้ชาย ผู้หญิง คนชรา และเด็กมากมายรอบตัวคุณ
ตั้งแต่อวบอ้วนยันผอมเพรียว หล่อเหลาโรแมนติกยันอัปลักษณ์สุดจะทน ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างไร ก็ไม่สามารถหยุดการตายซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วได้
ยศหนักศักดิ์ใหญ่มีหน้ามีตาเพียงใด ท้ายที่สุดก็ต้องจบลงที่สุสาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากคนส่วนใหญ่ลงไปยังเส้นทางสู่นรกแล้ว ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกเหงาอะไรพรรค์นี้เลยด้วยซ้ำ ทุกคนต่างก็เหมือนร่างไร้ชีวิตที่เดินไปข้างหน้าทีละนิดๆ ไหลไปตามกระแสน้ำ
หากเปรียบโลกมนุษย์ได้กับห้องปฏิบัติงานของโรงงานแห่งหนึ่ง นรกก็เป็นเสมือนโรงงานเก็บขยะและนำวัตถุดิบไปแปรรูปในภายหลังของที่แห่งนี้ เมื่อเทียบกับความละลานตาของโลกมนุษย์ นรกให้ความสำคัญกับระเบียบและกฎเกณฑ์มากกว่า
ระเบียบอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณสิ้นหวัง ที่ทำให้คุณหมดหนทาง แต่กลับเป็นดั่งเหล็กที่มีอยู่ทั่วไป
โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
นี่เป็นความฝันสินะ ตัวเองน่าจะยังไม่ตาย
มีความทรงจำไม่มากนักในสมอง จำได้เพียงแค่ว่าตัวเองเกือบตายตรงหน้าน้องภรรยาไปแล้ว จากนั้นก็เหมือนกับการดื่มเหล้าเมาแล้วก็ภาพตัดไปเลย
มันเหมือนกับบนดาดฟ้าครั้งที่แล้ว ราวกับว่าเขาได้มอบร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองไปแล้ว
โจวเจ๋อไม่อยากตาย โดยเฉพาะในเวลานี้ ถ้าหากเลือกได้ละก็ โจวเจ๋อก็อยากเลือกที่จะเป็นเหมือน ‘ซากศพเดินได้’ พวกนั้น เดินต่อไปอย่างเฉื่อยชาจนกระทั่งไปถึงจุดสิ้นสุดหรือจุดเริ่มต้นต่อไป
แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้เฉื่อยชา และก็ไม่ได้มึนๆ งงๆ มีสติสมบูรณ์ครบถ้วน ถ้าตายไปแล้วก็จะต้องทนรับความเจ็บปวดจากความเหงาในใจ
มันเหมือนกับการผ่าตัดใหญ่ที่ยืดเยื้อกินเวลานาน แต่หมอกลับบอกคุณว่า ‘ขอโทษด้วย เราไม่มียาสลบแล้ว’
ฝ่ามือแนบชิดติดผืนน้ำในสระ
สระน้ำว่างเปล่า สามารถมองเห็นด้านล่างและบริเวณโดยรอบได้จากด้านบน มันใสสะอาดจนมองเห็นถึงก้นสระ
หญิงไร้หน้ายังไม่กลับมา แต่สิ่งต่างๆ ที่นั่นใกล้จะเห็นผลลัพธ์แล้วเร็วๆ นี้
สาวน้อยโลลิ หญิงไร้หน้า และหรงเฉิง ถึงอย่างไรก็ต้องมีหนึ่งผลลัพธ์
เมื่อมองไปรอบๆ โจวเจ๋อไม่เจอชายหนุ่มที่พาแมวมาด้วยเมื่อตอนที่เขาฝันว่าได้กลับมาที่นี่ในครั้งก่อนคนนั้น อันที่จริงโจวเจ๋อตั้งตารอยคอยที่ได้จะได้พบกับเขาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะมีเวทมนตร์พิเศษบางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเขา
บางทีนี่อาจจะเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวใช่หรือไม่
เมื่อเดินบนผิวน้ำ หมอกหนาทึบเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ ความรู้สึกพร่ามัวเลือนรางค่อยๆ คืบคลานเข้ามา และห่อหุ้มทุกสิ่งอย่างช้าๆ
เมื่อกลับมาเยือนถิ่นเก่าก็ไม่มีความประหลาดใจและไม่มีเหตุบังเอิญใดๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่โจวเจ๋อรู้ดีว่าคนที่เปลี่ยนไปนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเขาเองเสียมากกว่า
อย่างเช่นในครั้งนี้เมื่อตัวเองฝันว่าได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น
เมื่อหมอกหนาปกคลุมทุกสิ่ง โจวเจ๋อรู้สึกแสบตาเป็นระยะๆ จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นสาบของดินโคลน
บ้าเอ๊ย กลิ่นสาบดินโคลนนี่อีกแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้น โจวเจ๋อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องนอนอยู่บนชั้นสองของร้านหนังสือ นักพรตเฒ่าและเจ้าลิงตัวนั้นกำลังนั่งเล่นโคลนอยู่ตรงนั้น แล้วเริ่มทาลงที่ตัวเขา
“หึๆ ปั้นแบบนี้สิถึงจะดี คอยดูนะ ฉันจะปั้นกล้ามหน้าอกใหญ่ๆ ให้เขาไปเลย!”
นักพรตเฒ่าปั้นเป็นก้อนหมั่นโถวแล้วก็คุยโวกับเจ้าลิงไปด้วย จากนั้นก็เตรียมนำไปแปะไว้บนตัวโจวเจ๋อ
สามารถทำให้เรื่องรักษาบาดแผลกลายเป็นเรื่องตลกหยาบคายได้นั้น มีแต่นักพรตเฒ่าเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องอย่างนี้ได้
แต่ทว่าตอนที่นักพรตเฒ่ากำลังจะแปะลงไปนั้น ก็เห็นโจวเจ๋อนอนลืมตาอยู่บนเตียงแล้ว เขาสะดุ้งทันที จากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับหมั่นโถวดินโคลนที่อยู่ในมือทั้งสองข้างอันนั้นดี
“อร่อยไหม” โจวเจ๋อเอ่ยถาม
ไม่รู้ว่าทำไมอาการบาดเจ็บครั้งนี้น่าจะเบากว่าครั้งที่แล้วมาก แม้จะไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน แต่อย่างน้อยๆ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็สามารถพูดได้ทันที
‘อร่อยไหม’
นักพรตเฒ่ายังแข็งค้างอยู่กับที่
“อร่อยไหม” โจวเจ๋อถามอีกครั้ง
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าขมขื่น ก้มหน้าลงกัดหมั่นโถวดินโคลนหนึ่งคำ และพยักหน้าทั้งน้ำตา
“อร่อย อร่อยสุดๆ”
โจวเจ๋อหันหน้าหนีและไม่มองเขาอีก
นักพรตเฒ่ารีบคายดินออกจากปากแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “เถ้าแก่ คุณฟื้นแล้ว คุณทำผมตกใจแทบตาย สลบไปตั้งสามวันแน่ะ”
สามวันเองเหรอ ครั้งที่แล้วสลบไปนานแค่ไหนนะ
เพียงแต่ว่า ทำไมทุกครั้งจะต้องพอกโคลนให้เขาด้วย
โจวเจ๋อมองดูคราบสกปรกบนเตียงและสิ่งสกปรกบนร่างกายตัวเอง สำหรับคนที่รักสะอาดมากๆ นั้น มันเหลือทนจริงๆ
“เรียกไป๋อิงอิงมา”
“เถ้าแก่คุณหิวแล้วเหรอ” นักพรตเฒ่าถาม
“ผมอยากอาบน้ำ”
“เถ้าแก่ผมจะช่วยล้างให้คุณเอง เมื่อก่อนผมเคยไปจับผีสางและช่วยชีวิตผู้คนที่ห้องอาบน้ำ เคยอาบนวดในห้องอาบน้ำมาก่อน เทคนิคเยี่ยมยอด!”
นักพรตเฒ่าตบหน้าอกตัวเอง
“…” โจวเจ๋อ
เจ้าลิงเอามือปิดปากตัวเองแล้วหัวเราะคิกคักอยู่ด้านนั้น
โจวเจ๋ออยากจะพูดเหลือเกินว่า ‘ดูสิ แม้แต่ลิงก็ยังหัวเราะเยาะคุณเลย ทำไมตอนนี้คนอย่างคุณถึงไม่น่าเชื่อถือกันนะ
“เรียกไป๋อิงอิงมา”
“ไม่ต้อง เถ้าแก่ มาเถอะ ผมจะแบกคุณไปห้องน้ำเอง ข้าน้อยรับประกันว่าจะถูให้คุณจนสะอาดขาวเนียนจั๊วะเลย”
ขณะที่พูดนักพรตเฒ่าก็เตรียมตัวอุ้มโจวเจ๋อลงจากเตียงอย่างขยันขันแข็ง
ถ้าโจวเจ๋อยังมีเรี่ยวแรงอยู่ คาดว่าเล็บน่าจะงอกยาวออกมาแล้ว จากนั้นก็เปิดรูระบายอากาศใหม่บนร่างกายนักพรตเฒ่าเสียหลายๆ รู
แต่น่าเสียดายโจวเจ๋อในตอนนี้เป็นเพียงคนป่วยหมดสภาพคนหนึ่ง
โชคดีที่ไป๋อิงอิงบังเอิญผลักประตูเข้ามาในเวลานี้ พร้อมกับถือชาไว้ในมือ เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อฟื้นแล้ว ไป๋อิงอิงก็วางของลงและเดินไปข้างเตียงด้วยความประหลาดใจ
โจวเจ๋อถอนหายใจโล่งอก
…
จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ไป๋อิงอิงช่วยอาบน้ำให้โจวเจ๋อเห็นได้ชัดว่าดูเป็นธรรมชาติมาก
“เรื่องของตระกูลหลินเป็นยังไงบ้าง”
โจวเจ๋อเอ่ยถาม
“เถ้าแก่ ตอนที่พวกเราไปถึง ท่านก็นอนหมดสติอยู่บนพื้นแล้ว พี่น้องตระกูลหลินไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่าในบ้านของพวกเขาเละเทะไปหมด โดยเฉพาะในห้องน้ำทั้งกระจกและกระเบื้องแตกละเอียดหมดเลย
เมื่อเราพาท่านออกมาแล้ว ต่อจากนั้นก็ไม่มีใครในตระกูลหลินเข้ามาถามอะไร ข้ารู้ว่าท่านจะถามอะไร น้องสาวตระกูลหลินไปโรงเรียนตามปกติ หมอหลินก็ไปทำงานเช่นกัน”
โจวเจ๋อพยักหน้า มองเข้าไปในกระจก ผมของเขาดูยาวขึ้นเล็กน้อย จึงบอกไป๋อิงอิงว่า “ตัดผมให้หน่อย เล็มให้สั้นกว่านี้”
“ได้เจ้าค่ะ”
ไป๋อิงอิงออกไปหยิบกรรไกรและกลับมาช่วยโจวเจ๋อตัดผม
หลังจากทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อย โจวเจ๋อก็ถูกอุ้มไปวางบนรถเข็นวีลแชร์ รถเข็นเป็นของใหม่ แวววาวใหม่เอี่ยม แถมยังเป็นระบบไฟฟ้ามีคันบังคับ คล้ายกับรถบั๊มพ์ในสวนสนุก
“ใครซื้อมาน่ะ” โจวเจ๋อสีหน้าถมึงทึง
“เถ้าแก่ ชอบไหมครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลย คิดว่าในอนาคตคงจะได้ใช้บ่อยๆ ก็เลยทำมาให้คุณเสียเลย เถ้าแก่คุณดูตรงนี้สิ ปุ่มกดอันนี้สามารถกดลงไปได้นะ!”
นักพรตกดปุ่มอันนั้นให้โจวเจ๋อเหมือนกับการมอบสมบัติให้อย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นทั้งรถเข็นก็ส่องแสงสว่างหลากหลายสีสัน
‘หวูดๆ หวูดๆๆ’
ยังมีเอฟเฟกต์เสียงนกหวีดรถไฟอีกด้วย
นักพรตเฒ่าคิดว่าโจวเจ๋อจะต้องพอใจมันมากแน่ๆ
อย่างที่รู้กันว่าถ้าตอนนี้ร่างกายโจวเจ๋อไม่อ่อนแอจนเกินไป วันนี้นักพรตเฒ่าได้ตายไปถึงสองรอบแน่ๆ
แทนที่จะใช้รถเข็น โจวเจ๋อเลือกที่จะนั่งบนโซฟานุ่มๆ ริมหน้าต่างร้านหนังสือ
สวี่ชิงหล่างไม่ได้อยู่ในร้าน ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาจึงกลับไปก่อน แต่ทิ้งน้ำผลไม้ไว้มากมาย บอกว่าถ้าหากโจวเจ๋อฟื้นขึ้นมาก็สามารถกินได้เลย
ชีวิตดูเหมือนจะกลับเข้าสู่จังหวะที่คุ้นเคย
พลิกไปพลิกมา สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ความจริงมันช่างน่าขัน แต่มันกลับเกิดขึ้นจริงๆ
หรือบางทีการหาความจริงเรื่องวิญญาณยมทูตตนนั้นในร่างของน้องภรรยา อาจจะต้องรอจนกว่าสาวน้อยโลลิกลับมาถึงจะรู้แน่ชัด ในฐานะที่เดิมทีเป็นยมทูตในเมืองเดียวกัน จะบอกว่าสาวน้อยโลลิไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับยมทูตตนนั้น ก็ชัดเจนว่ามันเป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกคือสาวน้อยโลลิยังสามารถกลับมาได้น่ะนะ
เถ้าแก่โจวเจ๋อคนนี้กำลังพิงอยู่บนโซฟาและอาบแดดผ่านกระจก ส่วนไป๋อิงอิงรับผิดชอบในการต้อนรับแขก แม้ว่า สวี่ชิงหล่างจะไม่อยู่ แต่ไป๋อิงอิงได้เรียนรู้วิธีอบขนมและผสมเครื่องดื่มทั่วไปแล้ว
มีหญิงสาวผมยาวสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างโจวเจ๋อ แต่เสียงแหบนิดๆ และดูกระตุ้งกระติ้งเล็กน้อย หญิงสาวทั้งสองคนกำลังคุยกันพลางพลิกดูนิตยสารแฟชั่นในมือไปด้วย แถมยิ่งคุยกันก็ยิ่งออกรสออกชาติมากขึ้น
“ฉันบอกแล้วไงว่าช่วงนี้ฉันเจอเรื่องที่ทำให้ฉันกังวลใจมาก”
“พูดมาสิ บอกมาเร็วๆ”
“อาทิตย์ที่แล้ว ฉันสังเกตเห็นว่าถุงน่องและหมวกคลุมผมที่วางอยู่บนเครื่องซักผ้าในห้องน้ำที่บ้านรอเอาไปซักมันย้ายที่น่ะสิ”
“เอ๋ ใครย้ายมันน่ะ มีคนเข้าไปในบ้านเธอเหรอ ใช่ขโมยหรือเปล่า”
“แต่ของในบ้านไม่ถูกขโมยไปเลยนะ ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นขโมยเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่น่ะสิ”
“แล้วใครเป็นคนย้ายมันล่ะ”
“เสี่ยวเหวินไง ครั้งนั้นฉันสังเกตเห็นเสี่ยวเหวิน เขาเข้าไปในห้องน้ำหลังจากที่ฉันอาบน้ำออกมาแล้ว จากนั้นเมื่อฉันเข้าไปอีกครั้ง ฉันก็พบว่าถุงน่อง หมวกคลุมผม และชุดชั้นในตัวอื่นๆ ถูกค้นและยังมีคราบเปียกๆ บนนั้นอีกด้วย”
“ว้าย”
หญิงสาวอีกคนเอามือปิดปาก
“เสี่ยวเหวินทำอย่างนี้ทำไมน่ะ”
“ฉันเองก็กลุ้มใจอยู่เนี่ย”
“ไม่เป็นไร บางทีเสี่ยวเหวินอาจจะกำลังโตเลยเกิดความอยากรู้อยากเห็นเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิง เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ต่างก็มีช่วงเวลานี้กันทั้งนั้น”
“ฉันเคยค้นหาในอินเทอร์เน็ตแล้ว ถ้ามันเป็นแค่ปัญหาเหล่านี้ก็ช่างมันเถอะ”
“ช่างมันงั้นเหรอ ปล่อยไปไม่ได้สิ เธอต้องลองไปแนะนำเขาดู ให้เขาสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง”
“ตอนแรกฉันวางแผนว่าจะคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา แต่แล้วฉันก็พบอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือมีอยู่อาทิตย์หนึ่งฉันเลิกงานก่อนเวลาและกลับมา ฉันเห็นเสี่ยวเหวินสวมถุงน่อง เสื้อชั้นใน และกระโปรงที่ฉันสวมอยู่ทุกวัน ยืนส่องอยู่หน้ากระจกในห้องนอน”
“นี่มัน…”
“ถ้ามันเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็แล้วไป ฉันคิดว่าฉันสามารถแนะนำเขาได้ แต่ตอนนี้เรื่องต่างๆ กลายเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เขาสวมเสื้อผ้าของฉันและส่องกระจก นี่ไม่ใช่ปัญหาวัยแรกรุ่นของเด็กผู้ชายแล้วนะ”
“เฮ้อ สายของลูกชายฉันน่ะ ฉันรับสายก่อนนะ”
หญิงสาวคนนั้นรับโทรศัพท์และพูดกับเพื่อนรักว่า “โทษทีนะ ลูกชายฉันบอกว่าหิวแล้ว ฉันต้องกลับไปป้อนข้าวให้เขาน่ะ”
“อืม เธอรีบกลับไปเถอะ”
“พนักงานคะ เก็บเงินด้วยค่ะ”
ไป๋อิงอิงเดินเข้ามาเก็บเงินไป
โจวเจ๋อมองดูหญิงสาวผมยาวสองคนนั้นเดินออกจากร้านอย่างครุ่นคิด
“เถ้าแก่ ต้องการเติมน้ำร้อนเพิ่มไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงถาม
“ไม่ต้อง” โจวเจ๋อส่ายหน้าและหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา
ไป๋อิงอิงเอามือข้างหนึ่งเท้าสะเอว มืออีกข้างหนึ่งกำเงินไว้ เอ่ยขึ้นอย่างหมดหนทาง
“ผู้ชายสองคนเมื่อสักครู่นี้เป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม เห็นกันอยู่ว่าเป็นผู้ชายแต่ดันแต่งตัวเป็นผู้หญิงเสียอย่างนั้น ดีนะที่ข้าสายตาเฉียบแหลม”
“แค่กๆ…”
โจวเจ๋อที่กำลังดื่มน้ำสำลักขึ้นมาอย่างรุนแรง
…………………………………………………………..