ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 111 จิตใจคน
ตอนที่ 111 จิตใจคน
“อ๊าๆๆๆ!!!!”
“อ๊าๆๆๆๆ!!!!!”
“อ๊าๆๆๆๆ!!!!!”
ภายในโรงพยาบาลขนาดเล็ก มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมาไม่หยุด นักพรตเฒ่ายืนอยู่หน้าประตู มองเห็นคนใส่เสื้อกาวน์สีขาวจำนวนไม่น้อยวิ่งออกมา เหมือนกับมีอะไรวิ่งตามพวกเขาอยู่
แต่พวกเขาได้แต่วิ่งวนไปมาไม่หยุดอยู่ในโรงพยาบาลขนาดเล็กแห่งนี้ ล้มแล้วก็คลานขึ้นมาไม่หยุด ราวกับมองไม่เห็นประตูบานนี้ ไม่มีใครวิ่งออกมาจากข้างใน
“นี่คือ…ผีอำเหรอ” นักพรตเฒ่ามองโจวเจ๋อแล้วถาม
โจวเจ๋อไม่สนใจและมองต่อไป
เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งถามคนไม่หยุด “ฉันสมควรตายแล้วหรือยัง”
“กี่โมงแล้ว”
“ฉันตายได้หรือยัง”
เธอร้อนรน เธอกระวนกระวาย เธอลังเลตัดสินใจไม่ถูก ราวกับว่าถ้าหากตัวเองไม่ตายภายในเวลาที่กำหนด ลูกชายของตัวเองจะไม่สามารถไถ่ตัวกลับมาได้
ถ้าไม่ตายภายในเวลาที่กำหนดไว้ ครอบครัวของตัวเองก็จะพังทลาย
ถ้าไม่ตายภายในเวลาที่กำหนด ตัวเองจะทำผิดมหันต์!
โจวเจ๋อยิ่งมองก็ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด นักพรตเฒ่าไม่เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ข้างใน ดังนั้นจึงงงมาก แต่เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่วิ่งกันอลหม่านกรีดร้องกันล้มกลิ้งไม่หยุด ก็ดูน่าสนุกดีเหมือนกัน ไม่ต่างจากการแสดงของคณะละครลิง และยังมีพยาบาลหญิงสองสามคนที่เดิมทีก็ใส่กระโปรงอยู่แล้ว แต่ยังวิ่งหนีล้มจนเสื้อผ้าขาดวิ่น
นักพรตเฒ่าที่ก่อนหน้านี้คิดอยากจะช่วยผู้ที่ได้รับความเสียหายให้ได้กำไรคืนกลับมาบ้าง ลูกตาแทบถลนออกมา ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ไม่ควรมองเขาได้มองอย่างเต็มที่แล้ว
ในที่สุดโจวเจ๋อก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ทนดูไม่ไหวจริงๆ
“เฮ้อ…เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ห่วยจริงๆ”
นักพรตเฒ่าได้ยินแล้วจึงตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเศร้าทันที ใบหน้าที่แก่ชราย่นเป็นรูตูด
เถ้าแก่ ไม่ต้องโจมตีกันขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่ดูเฉยๆ…เจ้าไม่ดู เจ้าไม่สนใจ…เอ่อ…แต่ข้ายังปกติดีนะ!
โจวเจ๋อยื่นมือขอไฟแช็กจากนักพรตเฒ่า จึงเห็นนักพรตเฒ่ามองตัวเองด้วยความน้อยใจพอดี ทันใดนั้นก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงหัวเราะพูดว่า
“ไม่ได้ว่าคุณ”
“อย่างนั้นว่าใคร” นักพรตเฒ่าไม่เข้าใจจริงๆ
“พูดถึงเธอ”
พอพูดจบ โจวเจ๋อจึงผลักประตู ถือไม้เท้าเดินเข้าไป
นักพรตเฒ่าเดินตามเข้าไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรเถ้าแก่ไปที่ไหนเขาก็ไปที่นั่น อย่างไรก็ตามต่อให้เถ้าแก่เก่งแค่ไหนก็ต้องมีตัวประกอบ ‘สุดเก่ง’ คอยอยู่ข้างกาย
นักพรตเฒ่าเชื่อมั่นในตำแหน่งของตัวเองมาตลอด
เพียงแต่วินาทีที่เพิ่งเดินตามจังหวะก้าวของเถ้าแก่เข้าไป นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าตัวเองหนาวไปทั้งตัว เหมือนตอนที่คุณกำลังนอนหลับสนิท แล้วมีคนใช้สองมือที่เย็นเหมือนน้ำแข็งมาลูบหลังคุณ ใช้ปลายเล็บวาดบนหลังคุณอย่างช้าๆ
เป็นความหวาดเสียวเช่นนั้น
ต่อจากนั้นก็มีพยาบาลหญิงคนหนึ่งโผล่พรวดมาอยู่ตรงหน้านักพรตเฒ่า ล้มลงตรงหน้านักพรตเฒ่าพอดี นักพรตเฒ่ารีบโน้มตัวประคองเธอขึ้นมา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า”
ตอนที่ประคองขึ้นมา ฝ่ามือของเขาได้แอบแต๊ะอั๋งตรงนั้นทันทีเมื่อรู้ตัว อืม นี่คือการผดุงธรรมแทนสวรรค์เช่นกัน!
ทว่าสิ่งที่ทำให้นักพรตเฒ่าประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ มือของตัวเองได้จิ้มเข้าไปตรงหน้าอกของพยาบาลหญิงโดยตรง
“ซี้ด…” นักพรตเฒ่าสูดปากด้วยความตกใจทันที พร้อมกันนั้นก็เริ่มถอยหลัง แต่พยาบาลหญิงคนนั้นเกาะติดนักพรตเฒ่าเหมือนกับหนอนและแมลง
“แม่งเอ๊ย เถ้าแก่ ช่วยด้วยๆ!”
พยาบาลหญิงที่อยู่ในอ้อมอกเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นหยาบกร้านและบวมขึ้นมา ใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อ หนอนและแมลงแต่ละตัวเดินยั้วเยี้ยไปมาอยู่ข้างใน เธอแสยะปาก ปากนั้นเต็มไปด้วยฟันสีเหลือง มีเนื้องอกขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งยื่นออกมาจากปาก เนื้องอกเป็นสีเหลืองอมเขียว และเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา
“กี่โมงแล้ว ฉันควรตายหรือยัง”
พยาบาลหญิงถามนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าตกใจ เพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านั้นตัวเองได้ทิ้งยันต์กระดาษไปแล้ว
และการกระทำนี้ได้ดึงดูดความสนใจของพยาบาลหญิง
“โอ้วววววว!!!!!”
เย็นมาก มือของพยาบาลหญิงเย็นมาก เย็นจนนักพรตเฒ่าทนไม่ไหว ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับตอนที่เปลื้องผ้าเต้นระบำรูดเสาเพื่อรอพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย
ทั้งหวาดเสียวและรุนแรงถึงชีวิต!
นักพรตเฒ่ารีบชูสองมือขึ้นโดยไม่มีใครใช้ปืนจ่อเขา ดังนั้นการยอมแพ้จึงเป็นการกระทำที่มาจากจิตใต้สำนึก
เถ้าแก่โว้ย เจ้าไปตายอยู่ที่ไหน นักพรตเฒ่าที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าจะหมดคนสืบทอดสกุลแล้ว!
“พอแล้ว!” เสียงของโจวเจ๋อดังตามมา นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าเสียงของโจวเจ๋อไพเราะยิ่งกว่าดาราสาวสวยในทีวีเสียอีก เสียดายที่เขาไม่เห็นว่าเถ้าแก่อยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นเขาอยากจะวิ่งเข้าไปจูบอย่างแรงสักที!
‘ต่อง…ต่อง…’
เสียงนาฬิกาดังเป็นสัญญาณให้กลับบ้าน
ภาพที่อยู่โดยรอบหายวับไม่มีแล้ว ความหนาวเย็นอันน่าหวาดกลัวที่นักพรตเฒ่ารู้สึกก็เริ่มหายไป เหลือเพียงอาการปวดเมื่อยและเหน็บชาที่ตามมาภายหลัง เขาตกใจจนตัวแทบทรุด จึงคุกเข่าทั้งสองลงบนพื้นโดยตรง
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นโจวเจ๋อยืนอยู่ตรงหน้านาฬิกา
ในมือของโจวเจ๋อยังมีเข็มนาฬิกาที่เพิ่งหักลงมาเมื่อครู่
‘จือๆๆๆ…จือๆๆๆๆ…’
บนพื้นคอนกรีตมีเสียงเสียดสีแหลกละเอียดดังตามมา เหมือนกับเสียงของสายไฟหลังจากที่ขาดสะบั้น แต่มันแสบหูมาก ทำให้คนรู้สึกชาหนังศีรษะ
นักพรตเฒ่ามองไปรอบๆ มีหมอและพยาบาลหลายคนรวมทั้งยามรักษาความปลอดภัยหน้าดุคนนั้นนอนอยู่รอบตัวเอง นอนบนพื้นไม่ขยับตัว แต่ไม่ตาย แค่เป็นลมสลบเท่านั้น
“บอกฉันที…กี่โมงแล้ว…ฉันควรตายได้หรือยัง”
หลังจากที่มีผู้หญิงใส่ชุดสีขาวคลานออกมาจากด้านหลังของนาฬิกา ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองนักพรตเฒ่าด้วยความงุนงงก่อน ทำเอานักพรตเฒ่าตกใจจนตัวสั่นอีกครั้ง จากนั้นจึงยื่นนิ้วของตัวเองออกมาโดยไม่ตั้งใจและชี้ไปที่โจวเจ๋อที่อยู่อีกด้านหนึ่งของผู้หญิง
โน่น คุณผู้หญิง บอสใหญ่อยู่ตรงนั้น เจ้าไปจัดการบอสก่อน ส่วนข้าเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น
ผีผู้หญิงไว้หน้าเป็นอย่างมาก หันไปทางโจวเจ๋อที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
จากนั้นเธอจึงเริ่มคลานเข้าไปหาโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อมองเธอด้วยความผิดหวังเป็นอย่างมาก
นี่เป็นความผิดหวังจริงๆ
ชาติที่แล้วโจวเจ๋อเป็นหมอ เขารักษาจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัวเองมาตลอด ถึงแม้จะไม่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ‘อยากช่วยเหลือสรรพสิ่ง’ และจิตใจที่อุทิศตนด้วยความเสียสละ แต่ในด้านการทำงาน เขาสนับสนุนให้ ‘มนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง’ มาโดยตลอด
โรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนี้ เป็นภาพจำลองของถนนสายนี้ เป็นภาพจำลองของห่วงโซ่ธุรกิจการพนันสีดำ มันทำให้โจวเจ๋อรู้สึกอึดอัด รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก เป็นความรู้สึกแบบว่า หากคุณไม่ทำอะไรสักหน่อย รู้สึกว่าคืนนี้ยากที่จะนอนหลับอย่างสบายใจ
และหมอกับพยาบาลหลายคนที่นอนสลบอยู่บนพื้น หากไม่มีอะไรผิดคาด พวกเขาน่าจะมาจากสถาบันแพทย์หรือโรงเรียนด้านสุขภาพอนามัย แต่ละคนต้องเป็นมืออาชีพในสายงานของตัวเอง ไม่ใช่พวกขยะที่ไร้ความสามารถแน่นอน
แต่คนพวกนี้กลับทำผิดต่อศีลธรรมของตัวเอง ทำผิดต่อหน้าที่ของหมอ เรียนรู้หลักการรักษาช่วยชีวิตคน แต่กลับมายืนอยู่ข้างผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตาย และทำเพียงบันทึกข้อมูลต่อเนื่องอย่างเย็นชา
จากนั้นก็มองคนป่วยตายไป ไม่ช่วยรักษาอย่างเด็ดขาด เพราะการช่วยชีวิตหรือใช้ยา จะมีผลกระทบต่อความยุติธรรมของการพนัน
ในวงการหมอนิยมพูดกันแบบนี้ว่า ‘โน้มน้าวคนเรียนหมอ จะถูกฟ้าผ่าตาย’
งานของหมอส่วนใหญ่ไม่ได้สบายและว่างเหมือนที่คนในสังคมทั่วไปคิด หมอและพยาบาลโดยส่วนใหญ่ ต้องเจอกับความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงมากในทุกๆ วัน ไหนจะมาจากการติดเชื้อจากการผ่าตัด ปริมาณงานที่เยอะ กระทั่ง…การสร้างเรื่องของผู้ป่วยและญาติให้เกิดข้อพิพาททางการแพทย์เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์
แต่ในเมื่อใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง
ถูกแล้ว โจวเจ๋ออยากให้พวกเขาตาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะความวู่วามหรือว่าการใช้อารมณ์ เมื่อครู่โจวเจ๋อหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คนเลวไร้ประโยชน์ต่อสายอาชีพนี้ตกนรกหมกไหม้ไปให้หมด!
ล้อเล่นกับชีวิตคน หาความสุขจากชีวิตคน นี่คือการดูหมิ่นต่อชีวิต แต่โจวเจ๋อในฐานะคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งนั้นยิ่งรู้จักรักและทะนุถนอมคุณค่าของชีวิต
ในเมื่อพวกคุณมองชีวิตคนเป็นเครื่องมือสำหรับการเล่นพนันเหมือนการชนไก่กัดสุนัข อย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องมองพวกคุณเป็นคนก็ได้
ยามรักษาความปลอดภัยหน้าดุดันคนนั้น นักพรตเฒ่ายังสามารถสู้ได้ ถึงแม้โจวเจ๋อจะถือไม้เท้า แต่เขาแค่ใช้เล็บกดลงไป ต่อให้เป็นวัวตัวหนึ่งก็ต้องล้มตึง
ทว่าโจวเจ๋อกลับปล่อยไปแบบนั้น แล้วพูดว่า “ไม่กล้าหาเรื่องๆ”
มีบางเรื่องเขาไม่สะดวกที่จะลงมือ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่งอย่างนิ่งดูดาย
เขาปล่อยให้มันเป็นไป เขากำลังปฏิบัติต่อเรื่องนี้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย
จุดประสงค์ก็คือยืมดาบฆ่าคน
ไม่ว่าอย่างไรคุณก็กลายเป็นผีร้ายไปแล้ว คุณไม่สามารถกลับไปเวียนว่ายตายเกิดได้อีก ต่อให้ลงนรก ก็ต้องถูกไฟแห่งกรรมแผดเผาจนวิญญาณดับสลาย
เช่นนั้นสู้ให้โอกาสคุณสักครั้ง กำจัดขยะกองนี้ให้สิ้นซาก คุณสะใจ ฉันสะใจ และยังสามารถขจัดก้อนเมฆดำทะมึนที่อยู่บนท้องฟ้าให้คลี่คลายลงบ้าง
แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เหมือนกับคนโง่คนหนึ่ง!
โจวเจ๋อให้โอกาสเธอแล้ว ถึงขนาดแอบช่วย เพราะเธอดุร้ายยิ่งกว่าผีร้ายทั่วไปและมีพลังในการแก้แค้น
แต่สิ่งที่เรียกว่าแก้แค้นสำหรับเธอ คือการทำให้คนอื่นตกใจจนสลบเหรอ
รอให้พวกเขาตื่นขึ้นมา แต่ละคนคงจะไม่กลัวตายไร้จิตสำนึกเหมือนเดิม
‘จือๆๆ…จือๆๆ…จือๆๆ…’ ผีผู้หญิงคลานไปหาโจวเจ๋อต่อ จากนั้นก็มองโจวเจ๋ออย่างน่าสงสารแล้วถามว่า
“กี่โมงแล้ว ฉันควรตายได้หรือยัง ขอร้องคุณละ บอกฉันทีๆ…”
โจวเจ๋อโน้มตัวลงช้าๆ มองใบหน้าที่เป็นหลุมเป็นบ่อของผีผู้หญิง แล้วถามว่า
“เธอไม่แค้นเหรอ ใช่แล้ว เธอไม่แค้นเหรอ”
“กี่โมงแล้ว” ผีผู้หญิงถามต่อ
โจวเจ๋อชี้ไปที่หมอและพยาบาลสองสามคนที่สลบอยู่ แล้วถามว่า “เธอไม่อยากแก้แค้นเหรอ”
พวกเขาพาคุณมานอนบนเตียงที่เย็นยะเยือก คอยมองคุณตายไป คุณไม่อยากแก้แค้นพวกเขาเหรอ ไม่อยากไปหาพวกนักพนัน ไม่อยากไปหาเจ้ามือที่นั่งนับเงินจนเพลิน ไม่อยากไปหาสามีที่ผลักคุณลงเหวลึกที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง…เพื่อแก้แค้นเหรอ
“คุณรีบบอกฉันว่ากี่โมงแล้ว ฉันกำลังคำนวณเวลาตายของฉันอยู่ ตายแล้วถึงจะมีเงิน สามีของฉันจะได้มีเงิน ที่บ้านจะได้มีเงิน ลูกชายจะได้ไถ่ชีวิตกลับบ้าน คุณรีบบอกฉัน บอกฉันทีว่า กี่โมงแล้ว! ฉันต้องตายภายในเวลาที่กำหนดครอบครัวของฉันต้องการเงิน ลูกชายของฉันกำลังโตต้องใช้เงิน เขาเรียนหนังสือก็ต้องใช้เงิน ต่อไปเขาแต่งงานยิ่งต้องใช้เงิน กี่โมงแล้ว คุณรีบบอกฉันที บอกฉันที!!!!!!!”
ผีผู้หญิงเหมือนจะโกรธโจวเจ๋อมากที่มองข้ามเธอไปไม่ยอมตอบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเริ่มโกรธอย่างสุดขีด โกรธจนอยากจะบีบคอของโจวเจ๋อ!
โจวเจ๋อตกตะลึง ผีผู้หญิงตนนี้ เธอไม่มีแรงอาฆาตต่อหมอและพยาบาลเหล่านี้ แต่กลับคิดอยากจะฆ่าเขา ชั่วขณะนั้น โจวเจ๋ออยากหัวเราะ จากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา
“เหอะๆๆ…” ขณะที่หัวเราะ โจวเจ๋อได้ลุกขึ้นอย่างช้า
ผีผู้หญิงกระโจนเข้าหาโจวเจ๋อเมื่อรู้ตัว “คุณหัวเราะอะไร บอกเวลาฉันที ว่ากี่โมงแล้ว!”
โจวเจ๋อยื่นมือใช้เล็บจิ้มลงไปที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของผีผู้หญิง ผีผู้หญิงกรีดร้องอย่างทรมาน เล็บของโจวเจ๋อเหมือนหัวแร้งไฟฟ้า นำความเจ็บปวดทรมานที่น่ากลัวมาสู่เธอ
“เถ้าแก่” นักพรตเฒ่าเดินเข้ามาพอดี
โจวเจ๋อหลับตา เขานึกถึงหญิงชราที่มาร้านหนังสือเมื่อคืน เธอร้องไห้โฮด้วยความไม่สมัครใจหลังจากที่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว เขานึกถึงชายชราในห้องที่เขาเข้าไปก่อนหน้านั้น ชายชราคนนั้นมองเวลาเตรียมตัวตายโดยมีลูกชายคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียง
ชีวิตคนเรามีคุณค่ายิ่งนัก แต่เงื่อนไขคือต้องรู้จักรักและหวงแหนตัวเอง และต้องรู้จักเคารพตัวเอง
ชีวิตเป็นของเรา ตัวคุณไม่รักษามัน ก็อย่าโทษคนอื่นที่ดูถูกชีวิตของคุณ!
โจวเจ๋อส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “นักพรตเฒ่า ผมรู้สึกว่าตัวเองทำผิดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนผมจะยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไป”
“หืม” นักพรตเฒ่ายังไม่เข้าใจ
โจวเจ๋อลืมตา มองหมอและพยาบาลสองสามคนที่นอนสลบอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า
“ผมพบว่า ตัวเองไม่ได้โกรธแค้นคนพวกนี้เหมือนตอนแรกแล้ว”
“เอ่อ ทำไมล่ะ พวกเขาเป็นกลุ่มคนชั่วนะ” นักพรตเฒ่าเอ่ย
โจวเจ๋อมองผีผู้หญิงที่ดิ้นรนและบิดตัวอยู่ภายใต้เงื้อมมือของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ใช่ พวกเขาเป็นคนเลวเหมือนเดิม แต่คนที่น่าสงสารก็มีจุดที่น่ารังเกียจเช่นกัน”
…………………………………………………………………………