ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 12 ตัดสินใจ
ตอนที่ 12 ตัดสินใจ!
เถ้าแก่หัวเราะ เขาไม่ได้รู้สึกถูกยั่วยุเลยสักนิด เขาแค่คิดว่ามันสนุกนิดหน่อย
ลักษณะเฉพาะตัวรวมไปถึงออร่าของบุคคลมักจะน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของเขา
‘แควก…’
เสียงดังคมชัดพร้อมลากยาวเล็กน้อย คล้ายกับเป็นงูลอกคราบ เขาเริ่มฉีกลอกหนังบนร่างกายตัวเอง
และในขณะเดียวกัน รูปร่างเค้าโครงกระดูกของเถ้าแก่กำลังหดตัวอย่างช้าๆ และรูปร่างก็ค่อยๆ ผ่ายผอมลงมาเหมือนกับลูกโป่งที่มีรูรั่วเล็กๆ ที่ค่อยๆ ปล่อยลมอย่างช้าๆ
ในที่สุดตอนนี้โจวเจ๋อก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบะหมี่ชามนั้นถึงได้ต้มเละขนาดนั้น
‘การเปลี่ยนร่าง’ ของอีกฝ่ายเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องการใช้เวลาระยะหนึ่ง
ชุดที่สวมยังคงเป็นเสื้อผ้าและผูกผ้ากันเปื้อนของเถ้าแก่ แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับกลายเป็นชายหนุ่มไร้เดียงสา
ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปาก อ่อนช้อยเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะส่วนโค้งที่ยื่นออกมาจากปลายหางตา ดูเหมือนว่าจะสามารถสะกิดความอยากของชายหญิงรอบๆ ตัวได้พอเหมาะพอดี
ใช้คำว่า ‘สวยงาม’ มาอธิบายผู้ชายคนหนึ่งที่พูดจาอ่อนหวานละมุนละไม แต่ผู้ชายบางคนเรียบร้อยแบบธรรมชาติจริงๆ เช่นจักรพรรดิโบราณมีคนชอบผู้ชายด้วยกันอยู่นับไม่ถ้วน เหตุผลก็คือผู้ชายบางคนเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงด้วยกันเสียอีก
“ผมดูดีไหม”
ชายหนุ่มถามโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อรู้สึกว่าอาการคลื่นไส้ที่เขาฝืนเอาไว้หลังจากกินบะหมี่กลับมาอีกครั้ง เขาโบกมือไหวๆ ขอโทษเล็กน้อยแล้วกุมหน้าอกตัวเอง และทำท่าทางว่าผมไม่สามารถอาเจียนได้
ใครจะรู้ว่าข้าวในจานทุกเม็ดได้มาแสนเหนื่อยยาก!
โจวเจ๋อรู้จักเห็นคุณค่าของอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่ตัวเองกลืนเข้าไปอย่างยากลำบากกำลังจะถูกย่อยเป็นพลังงานในร่างกายตัวเอง
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขาถือไฟแช็กไว้ในมือพลางหมุนไปรอบๆ ตามอารมณ์
เขากำลังประเมินโจวเจ๋อเพราะโจวเจ๋อจับทางเขาได้ เขาคิดว่าตัวเองเลียนแบบได้แนบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว และยิ่งอยู่ในสถานที่ร้านอาหารเล็กๆ แบบนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาเลียนแบบพ่อแม่ของเขาเอง
ตั้งแต่เขายังเด็กเขาเฝ้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหวและการแสดงออกของพ่อแม่ ซึ่งได้ตราตรึงอยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว
“คุณมองผมออกได้อย่างไร” ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกแล้ว
“นายไม่ใช่ผีเหรอ”
โจวเจ๋อยิงคำถามในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานึกว่าโจวเจ๋อประชดเขาบอกว่าเขาแกล้งหลอกเป็นผีเสียอีก
แต่ความจริงแล้ว โจวเจ๋อคิดว่าเขาเป็นผีมาตั้งแต่เริ่มแรก
โจวเจ๋อไม่อยากยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง คนที่เพิ่งต้องหาเงินสำหรับตู้แช่เมื่อไม่นานมานี้ โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านพรรค์นั้นหรอก
แต่เรื่องนี้จะไม่เข้าไปยุ่งก็เห็นทีว่าจะไม่ได้
เพราะเรื่องที่ว่าดันเกิดขึ้นที่ข้างบ้านตัวเองเสียด้วย
ดังนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทำให้ความแตกไปเลยจะดีกว่า จะจัดการได้ง่ายขึ้น ถ้าจัดการด้วยตัวเองแล้วยังจัดการไม่ได้ง่ายๆ อย่างมากสุดตัวเองก็แค่ย้ายบ้านออกไป
“เล็บของนาย” โจวเจ๋อเอ่ย “ฉันค่อนข้างไวต่อเรื่องเล็บน่ะ”
ตอนเถ้าแก่เนี้ยยกบะหมี่มาเสิร์ฟตรงหน้าตัวเอง
แล้วตอนที่เถ้าแก่ยื่นบุหรี่ให้เขาด้วยตัวเอง
เล็บนั้นต่างก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา
ถึงแม้ว่านิ้วจะมีระดับความเรียวบางด้านหนาขาวสะอาดหมดจดต่างกัน แต่ลายที่อยู่บนเล็บนั้นเหมือนกัน
และในช่วงระยะนี้ โจวเจ๋อให้ความสำคัญกับเล็บมากขึ้น ไม่เพียงแต่เล็บของเขาเอง แต่ยังรวมไปถึงเล็บของคนอื่นด้วย
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อยรู้สึกผิดหวัง รายละเอียดยิบย่อยนั้นไม่อยู่ในตำแหน่งที่ทำได้
แม้ว่าตัวเองจะมีความหมายว่าเกียจคร้าน แต่ถ้าถูกจับได้ แน่นอนว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเอง
“นายไม่ใช่ผีจริงๆ เหรอ” โจวเจ๋อถามอีกครั้ง
ถ้าเป็นคนจริงๆ ละก็ ถ้าอย่างนั้นก็โอเวอร์เกินไปหน่อยแล้ว
ความจริงแล้วโจวเจ๋อไม่ได้มองเห็นผีมากมาย ถ้าไม่นับการเดินทางในนรกแล้ว ผีที่เขาเคยเห็นในโลกมนุษย์ทั้งหมดนั้น ลองนับนิ้วดูมีน้อยมากจริงๆ
“การวาดหนัง เป็นทักษะที่สืบทอดมาจากตระกูลเรา” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปจับมือของโจวเจ๋อ และวางลงบนตำแหน่งหน้าอกของตัวเอง “เพียงแต่ว่า มันตัดขาดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เฉพาะในรุ่นของผมเท่านั้นถึงจะสามารถหยิบมันขึ้นมาได้อีกครั้ง”
การกระทำนี้ดูค่อนข้างคลุมเครือและออกจะแหกกฎเล็กน้อย แต่โจวเจ๋อก็ยังใช้มือบีบมันโดยไม่รู้ตัว
โจวเจ๋อไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะหมอหลินไม่ให้เขานอนด้วยมาตลอด จนส่งผลให้ตัวเองในตอนนี้เกิดความรู้สึกสนใจในตัวผู้ชาย
แน่นอนผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าสวยกว่าผู้หญิงจริงๆ เสียอีก ซึ่งก็เป็นความจริง
“ไร้กระดูกเหรอ” โจวเจ๋อเผยสีหน้าประหลาดใจ “ผิดแล้ว มันคือโรคกระดูกอ่อน”
โรคกระดูกอ่อนหรือเรียกอีกอย่างว่าโรคกระดูกอ่อนในผู้ใหญ่ เนื่องจากขาดแคลเซียมทำให้การแข็งตัวของกระดูกหยุดชะงัก กระดูกจึงนิ่มและเสียรูปได้ง่าย โจวเจ๋อเคยเป็นหมอจึงรู้อยู่บ้างเป็นธรรมดา เช่นเดียวกันแม้ว่าจะเป็นไข้หวัดประเภทหนึ่งก็แยกออกเป็นหลายรูปการและแตกต่างกันไปตามพยาธิวิทยา ยังมีโรคกระดูกอ่อนที่แตกแขนงออกไปอีกหลายประเภทและชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ เขาน่าจะอยู่ในเภทขั้นรุนแรง
ตามตำนานที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของยุคชุนชิว องค์ชายแห่งรัฐหลู่ผู้หนึ่งป่วยด้วยโรคนี้ หากไร้กระดูกแล้ว ร่างกายจะบอบบางสามารถเดินได้เหมือนคนทั่วไป และสามารถคลานเหมือนงูได้อีกด้วย
“คุณสามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นโรคทางพันธุกรรม ต้องมีสถิติความน่าจะเป็นที่แน่นอน ถึงจะสามารถแสดงออกมาได้ ก่อนหน้านี้ตระกูลเราหลายชั่วอายุคนไม่สามารถฝึกวาดหนังได้เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นโรคนี้แต่ผม…”
ชายหนุ่มยิ้มๆ ไม่พูดต่อ
“ดังนั้น นายไม่ใช่ผีจริงๆ ใช่ไหม” โจวเจ๋อยังไม่ยอมแพ้
“ผมชื่อสวี่ชิงหล่าง” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง
“ที่นายเลียนแบบเป็นใครล่ะ” โจวเจ๋อเอ่ยถาม
“พ่อและแม่”
โจวเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่น
เข้าใจแล้ว
นี่เป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
ก่อนหน้านี้หลังจากทานบะหมี่เสร็จ หมอหลินจากไปแล้ว โจวเจ๋อคิดจะเจาะรูกระดาษหน้าต่าง จงใจใช้คำพูดยั่วยุเขา แต่ผลไม่เป็นอย่างที่คิด คาดไม่ถึงคนอื่นเขาไม่มีอะไรทำ จนต้องแสดงบทบาทสมมติอยู่ที่นี่และรำลึกถึงผู้วายชนม์
แต่ในมุมมองของโจวเจ๋อก่อนหน้านี้ เขาแค่คิดว่านี่ต้องเป็นผีแน่ๆ คล้ายกับผีในเรื่อง ‘วาดหนัง’ ที่ฆ่าและลอกหนังคน และยังคง ‘ปลอมตัวเป็นคนดี’
“งั้น…ต้องขอโทษด้วย”
ล้อเลียนแม่ของนาย รู้สึกละอายใจจริงๆ
“ผมไม่ได้โกรธ” สวี่ชิงหล่างเอ่ย “แต่ผมสงสัยมาก คุณเอาแต่คิดว่าผมเป็นผี มันหมายความว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“คุณเคยเห็นผีเหรอ” สวี่ชิงหล่างถาม
“ฉันนี่แหละเป็นผี” โจวเจ๋อมองสวี่ชิงหล่างและเอ่ยอย่างจริงจัง
สีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม
ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ
ใบหน้าสวี่ชิงหล่างพลันแข็งทื่อ
จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะ ‘คิกคัก’ ออกมา
มองไปที่ดวงตาของโจวเจ๋อ
เหมือนกับมองคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง
โจวเจ๋อพยักหน้า บางครั้งก็เป็นแบบนี้แหละ คุณบอกความจริงกับเขา เขาคิดว่าคุณล้อเขาเล่น เขากลับไม่เชื่ออีกต่างหาก
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้องขอโทษด้วย ใช่แล้ว ฉันยังอยากถาม หนังคนนั่นเป็นหนังของคนจริงๆ ไหม” โจวเจ๋อเอ่ยด้วยความสงสัย
“หนังปลา” สวี่ชิงหล่างตอบ “แปรรูป วาด สร้างขึ้นมา”
“งั้นนายขายบะหมี่อะไร” โจวเจ๋อยังมีจุดไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ฉันได้ยินมาว่าเสื้อผ้าหนังงูเผ่าเฮ่อเจ๋อชุดหนึ่งขายได้เงินไม่น้อยเลย ถ้าขายเป็นงานศิลปะละก็ นายว่าน่าจะมีราคาสูงกว่านี้ใช่ไหม”
“ของบรรพบุรุษ เอาไปทำกำไร ผมทำไม่ได้”
“งั้นนายน่าจะมีเงินเยอะสินะ” โจวเจ๋อเอ่ย
“เพิ่งถูกเวนคืนบ้านไป” สวี่ชิงหล่างไม่ได้ตอบตรงๆ “เป็นห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง”
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ
ดังนั้น โลกนี้จึงไม่ยุติธรรมนัก ชาติที่แล้วเขาทำงานในโรงพยาบาล แม้จะทำงานหนักก็หาได้เงินได้ไม่เท่าไร แต่คนอื่นเขาง่ายๆ สบายๆ ก็มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง
ทงเฉิงไม่ได้ต่างไปกว่าเซี่ยงไฮ้ แค่ราคาบ้านหนึ่งตารางเมตรก็เกือบหมื่นกว่าๆ แล้ว
คนรวย น่าอิจฉาจริงๆ
โจวเจ๋อส่ายหัว “อีกหน่อยนายยังจะทำบะหมี่ต่ออีกไหม”
“อีกหน่อยคุณยังจะขายหนังสือต่อไหม”
ทั้งคู่ถามอีกฝ่ายพร้อมกัน
“ดูไปก่อน” โจวเจ๋อตอบ
“ผมก็เช่นกัน”
“งั้น แล้วเจอกันใหม่ ใช่แล้ว น้ำบ๊วยเปรี้ยวตระกูลนายยังมีรสอื่นอีกไหม” โจวเจ๋อสงสัยในเรื่องนี้ “อย่างเช่นรสมะระ รสองุ่นอะไรแบบนี้”
“มีสูตรลับ สามารถทำได้” สวี่ชิงหล่างซื่อสัตย์มาก
“ดีเลย” โจวเจ๋อเอื้อมมือไปตบไหล่สวี่ชิงหล่าง
แม่งเอ๊ย
เหมือนสำลีอย่างไรอย่างนั้น
อ่อนนุ่ม มันอ่อนแอและไม่มีกระดูกจริงๆ ถ้านอนอยู่ในอ้อมกอดบนเตียง…
โจวเจ๋อย้ายฉากหมอหลินที่สวมชุดนอนหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจในทันที บีบบังคับความคิดที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของตัวเอง
โจวเจ๋อเดินออกจากร้านบะหมี่
สวี่ชิงหล่างเดินไปที่ห้องด้านหลัง เปิดม่านและพูดกับหนังหญิงสาวที่แขวนอยู่ข้างในผืนนั้น
“แม่คิดว่าเขาจะเชื่อจริงๆ หรือเชื่อปลอมๆ กันนะ”
หนังหญิงสาวสั่นไหวเบาๆ แกว่งเล็กน้อย
ราวกับจะบอกว่า เขาไม่เชื่อ
แต่ก็เหมือนจะบอกว่า เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
…
โจวเจ๋อกลับมาถึงร้านตัวเอง ตู้แช่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จริงๆ แล้วด้านล่างต้องจัดระเบียบร้านหนังสือผุๆพังๆ ที่สวีเล่อทิ้งเอาไว้ เอาแต่ปล่อยให้มันขาดทุนไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก
ป้ายทางเข้าร้านหนังสือเขียนว่า ‘ร้านหนังสือสวีเล่อ’ เชยๆ เฉิ่มๆอย่างที่มันเป็น
บอกได้คำเดียวว่าร้านหนังสือแห่งนี้อยู่ในมือของเจ้าคนนั้น ตั้งแต่บนลงล่าง จากภายในสู่ภายนอก มีกลิ่นอายบรรยากาศ ‘ขาดทุนยับแน่นอน’ เล็ดลอดออกมา
โจวเจ๋อนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ พยายามเข้าสู่ระบบบัญชี QQ เดิมของตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย การตรวจสอบสิทธิ์ไม่ผ่านเลยด้วยซ้ำ การร้องเรียนก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
หลังจากนั้น โจวเจ๋อทำได้เพียงโบกรถออกจากร้านไป เขาตั้งใจที่จะเปลี่ยนป้าย หรือทำแผ่นป้ายคู่หนึ่งประกบกันวางไว้ที่นี่
เขารู้จักร้านแผ่นป้ายที่ระลึกและเชี่ยวชาญในกิจการแผ่นไม้แกะสลัก เจ้าของร้านเป็นชายชรา ชายชรามักจะบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ในปีที่โจวเจ๋อเป็นหนึ่งในสมาชิกของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่นั่นเอง ชายชราก็ได้บริจาคเงินช่วยเหลือแล้ว หลังจากที่โจวเจ๋อได้ทำงานแล้ว ชายชราและโจวเจ๋อก็ได้บริจาคเงินช่วยเหลือร่วมกัน
ร้านแผ่นป้ายที่ระลึกอยู่ไม่ไกล อยู่เชิงเขาหลางซาน มีร้านขายธูปเทียนทั่วบริเวณนั้น ที่ขายแผ่นป้ายที่ระลึกก็มีแต่ร้านนี้แหละ
เพียงแต่ว่า เมื่อโจวเจ๋อเดินเข้าไป กลับพบว่าร้านกำลังทำความสะอาดครั้งใหญ่ กระทั่งแม้แต่แผ่นป้ายก็ถูกถอดออก
มีชายวัยกลางคนคอยกำกับคนงานอยู่ตรงนั้น
“คุณคือ?” อีกฝ่ายเห็นโจวเจ๋อที่เดินเข้ามาจึงเอ่ยถาม
“ผมมาหาผู้อาวุโสเจ้า” โจวเจ๋อเอ่ย เขาเคารพชายชราผู้นั้นมาก
“ขอโทษด้วยนะครับ พ่อผมเพิ่งเสียไปเมื่อเดือนที่แล้ว” ชายวัยกลางคนตอบ
“เสียแล้วเหรอ” โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจและรู้สึกสลดใจอยู่บ้างเล็กน้อย เขาและผู้เฒ่าเจ้าไม่ได้สนิทกันมากนัก เพียงแค่พวกเขารู้จักกันในฐานะคนๆ หนึ่งก็เท่านั้นเองและด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะไม่แจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับพิธีฝังศพ
ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะพูดได้ว่าสำหรับคนในครอบครัวผู้เฒ่าเจ้าเหล่า ผู้เฒ่าเจ้าได้นำเงินรายได้จากการทำแผ่นป้ายที่ระลึก บริจาคช่วยเหลือกับทางสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกไม่ดีต่อสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า กระทั่งไม่ไปแจ้งให้ทางสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทราบ เกี่ยวกับเรื่องพิธีฝังศพด้วย คงกลัวว่าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะมาหาและขอเงินพวกเขาอีกครั้งนั้นเอง
“คุณจะมาสั่งแผ่นป้ายใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถาม
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า
“บ้านเราไม่ทำแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนกล่าวขอโทษ “อีกหน่อยจะขายธูปเทียนแล้ว”
เขาหลางซานเป็นหนึ่งในสิบเชิงเขาพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่คนในท้องถิ่นก็จุดธูปบูชาพระในช่วงเทศกาล และนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับบรรดาพ่อค้าแม่ขายและร้านค้าที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขา ที่จะสามารถทำเงินได้มากมาย
และนี่ก็เป็นการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นที่มีอยู่ ให้เป็นประโยชน์เพื่อการทำงานอย่างหนึ่ง
“ช่างน่าเสียดาย” โจวเจ๋อรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย
เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมหลุมศพของชายชรา
“แต่จะว่าไปที่บ้านยังมีแผ่นป้ายอีกสองสามชิ้นที่พ่อของผมเคยทำ มันขายไม่ได้น่ะ และก็ไม่รู้ว่าพ่อผมแกะสลักแผ่นป้ายพวกนั้นไปทำไม ไม่มีการสั่งทำด้วยซ้ำ ถ้าคุณชอบมันละก็ ขายให้คุณถูกๆ ก็แล้วกัน” ชายวัยกลางคนคิดอยากจะกำจัดของเก่าทิ้งไปเสีย
“ได้ ผมขอดูหน่อย” โจวเจ๋อเห็นด้วย
เดินตามชายวัยกลางคนไปที่ลานเล็กๆ ด้านหลัง ชายวัยกลางคนก็เปิดโกดังและเปิดไฟ
ภายในมีของจิปาถะวางอยู่บ้างเล็กน้อย รวมถึงเครื่องมือทำงานของผู้เฒ่าเจ้าวางกองไว้อย่างไร้ระเบียบ ซึ่งก็หมายความว่าคนรุ่นต่อไปไม่คิดสืบทอดงานฝีมือนี้แล้ว
ปัจจุบันนี้ทุกคนต่างก็สามารถทำป้ายเรืองแสงได้ ใครจะยอมใช้สิ่งนี้อีกล่ะ ลำบากลำบนและยังทำเงินได้ไม่เท่าไรอีกด้วย
“ฟู่ว…” ชายวัยกลางคนเป่าแผ่นป้ายหลายแผ่นบนพื้นแล้วเอ่ย “คุณค่อยๆ ดูไป คู่ละสองร้อยหยวน ถ้าชอบก็เอาไปได้เลย ถ้าไม่ชอบก็ช่างมันเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนไม่ได้มีความมั่นใจอะไรเลยว่า เขาจะสามารถกำจัดแผ่นป้ายพวกนี้ได้
โจวเจ๋อเดินเข้าไปดู
แผ่นป้ายคู่แรกเขียนไว้ว่า
‘โชคชะตา ฟ้าลิขิต’
โจวเจ๋อส่ายหัว ชายวัยกลางคนถอนหายใจและรู้ว่าป้ายแผ่นนี้ไม่มีหวังแล้ว
อีกคู่หนึ่งเขียนว่า
‘มนุษย์รู้จักความน่ากลัวของผี ผีรู้ถึงพิษของใจมนุษย์’
โจวเจ๋อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขามีความรู้สึกไวต่อสิ่งนี้เล็กน้อย
คราวนี้ชายวัยกลางคนไม่ถอนหายใจอีกแล้ว เพราะรู้ว่าไม่มีหวัง ร้านรวงบ้านใครทานอิ่มแล้วจะแขวนสิ่งนี้ไว้หน้าประตูกัน
คู่ที่สาม
‘เข้าใจว่าเป็นอย่างที่ฉันได้ยินมาเช่นนี้’
โจวเจ๋อยิ้ม
ชายวัยกลางคนเห็นโจวเจ๋อยิ้ม เขาก็ยิ้มเช่นกัน
สุดท้ายแล้วก็มีอันที่พอใจ
……………………………………………………………………….