ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 149 คำพยากรณ์
ตอนที่ 149 คำพยากรณ์
นักพรตเฒ่าเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับ ‘สารคัดหลั่ง’ ของเขา และกำลังจะส่งไปที่ห้องแล็บเพื่อทำการตรวจสอบ โจวเจ๋อมองนักพรตเฒ่า และพูดว่า
“มีเรื่องด่วนนิดหน่อย ผมไปก่อนนะ คุณจัดการเองได้ใช่ไหม”
“…” นักพรตเฒ่า
เมื่อตอนที่ข้าต้องการความห่วงใยมากที่สุด เจ้ากลับ…
“ให้ผมพาเจ้าลิงมาอยู่เป็นเพื่อนคุณไหม”
“…” นักพรตเฒ่า
เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อเล่นน่ะ
“เอาอย่างนี้แหละ คุณดูแลตัวเองดีๆ นะ”
โจวเจ๋อหยิบกุญแจรถและเดินออกจากโรงพยาบาลไป
นักพรตเฒ่ายืนถอนหายใจอยู่ที่เดิม พลางคร่ำครวญว่าชีวิตของเขาช่างลำบากนัก เถ้าแก่ทั้งสองต่างใจไม้ไส้ระกำ แม้แต่พื้นฐานความเป็นมนุษย์ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วนักพรตเฒ่าก็โล่งใจ ก็เพราะว่าไม่มีความเป็นมนุษย์ ถึงได้กลายเป็นผีกันหมดอย่างไรล่ะ
หึๆ
นักพรตเฒ่าหัวเราะเยาะและวิ่งไปที่ห้องแล็บเอง ต้องขอบอกว่า การที่มีร่างกายแข็งแรงสามารถอยู่ได้จนแก่เฒ่าได้ถึงขนาดนี้ นิสัยร่าเริงแจ่มใสนั้นมีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน
เมื่อโจวเจ๋อเดินออกจากประตูห้องโถงใหญ่ บังเอิญเห็นรถบัสขนาดกลางและรถพยาบาลสามคันแล่นออกไปพอดี เขารีบไปที่ลานจอดรถและขับรถของเขาตามออกไปทันที
เขาไม่ได้โทรหาหมอหลินแล้วบอกให้เธอลงจากรถอย่าไปเลย เขาก็เป็นหมอคนหนึ่ง รู้ดีว่าหมอมีหน้าที่ต้องยืนหยัดเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้
ตอนโรคซาร์สระบาดหนักเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สื่อหลายสำนักรายงานว่าแพทย์และพยาบาลในพื้นที่แพร่ระบาดขอลางานและขอลาออกจำนวนมาก ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน แต่ในความเป็นจริงมีแพทย์และพยาบาลมากมายกว่านั้นที่ต่อสู้รับมือในแนวหน้ามาโดยตลอด จนกระทั่งพวกเขาติดโรคซาร์สในที่สุด
รถของโจวเจ๋อตามหลังรถของโรงพยาบาลขึ้นทางด่วนมณฑลไปด้วยกัน
เหยียนเฉิงอยู่ไม่ไกลจากทงเฉิงนัก บวกกับพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซียังเป็นที่ราบลุ่มทั้งหมด เครือข่ายการคมนาคมขนส่งจึงพัฒนาอย่างมาก ดังนั้นหลังจากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในเหยียนเฉิง กองกำลังกู้ภัยจากที่ต่างๆ สามารถมาถึงและให้การสนับสนุนได้อย่างรวดเร็ว อันที่จริงแผ่นดินไหวที่เหวินชวนในปีนั้นทำให้การจราจรเสียหายอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นเขตภูเขา สภาพการจราจรจึงน่ากังวลจริงๆ
และเป็นเพราะว่าหลังจากแผ่นดินไหวที่เหวินชวนนี่เอง ที่ทำให้ประเทศชาติใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างเครือข่ายการคมนาคมขนส่งในมณฑลเสฉวนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากเกิดภัยพิบัติขึ้นอีกในครั้งต่อไป คงจะไม่ต้องปล่อยให้กองทัพปลดแอกประชาชนเสี่ยงชีวิตดิ่งพสุธาอีก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถเริ่มติดบนทางด่วน เสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้นแล้วแล่นไปที่ช่องจราจรฉุกเฉิน เจ้าของรถที่ไม่ทำตามกฎบางคนเกะกะช่องทางฉุกเฉิน เมื่อเห็นรถพยาบาลอยู่ด้านหลังก็รีบหลีกทางให้ทันที หน้างานในตอนนั้นมีความสามัคคีกันมาก
โจวเจ๋อรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย เมื่อเขาขับตามหลังรถพยาบาลไปตลอดทาง ผู้ขับขี่หลายคนในบริเวณใกล้เคียงยกนิ้วกลางใส่พฤติกรรมลัดคิวที่หน้าด้านไร้ยางอายของเขา
มันทำให้โจวเจ๋อสงสัยว่า เขาควรโทรหาหมอหลินเพื่อให้เขาได้ขึ้นไปนั่งในรถพยาบาลและเข้าร่วมกู้ภัยไปเลยดีไหม อย่างไรเสียหมอหลินก็รู้ทักษะทางการแพทย์ของเขาดี แต่พอลองคิดๆ ดูแล้ว ช่างมันเถอะ
เมื่อคืนก่อนหน้าก็เรื่องโรงเรียน ตามด้วยเรื่องแผงขายอาหารเช้า แล้วยังมีเรื่องเลื่อนเป็นพนักงานประจำได้สำเร็จอีก เขาไม่ได้นอนมาสองวันแล้วมันเหนื่อยมากจริงๆ รอบนี้โจวเจ๋อเพียงแค่อยากจะดูแลความปลอดภัยของหมอหลิน จะให้เขาเข้าร่วมงานกู้ภัยอีกมันเหนื่อยเกินไป และร่างกายก็คงจะทนไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนหมออย่างเขาเสียหน่อย
ต้องบอกว่าชีวิตเจ้าของร้านหนังสือตั้งแต่ยืมซากศพคืนชีพมา มันทำให้โจวเจ๋อเปลี่ยนไปมากจริงๆ นิสัยเอาจริงเอาจังแต่เดิมกลับกลายเป็นคนเกียจคร้านมากขึ้น
แน่นอนว่าสิบสามเมืองระดับอำเภอในมณฑลเจียงซูรวมไปถึงทีมกู้ภัยจากเซี่ยงไฮ้ไม่โง่พอที่จะพากันมุ่งหน้าไปสู่ใจกลางเมืองเหยียนเฉิงกันทั้งหมด แต่จะระดมคนมุ่งไปยังพื้นที่ภัยพิบัติต่างๆ ตามการรายงานจากศูนย์กลาง
เพียงไม่นานทีมของหมอหลินก็ลงจากทางด่วน แล้วขับเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอฟู่หนิง
ขณะนี้ยังมีลูกเห็บตกลงมาจากฟ้า กระทั่งยังมีพายุไซโคลนขนาดเล็กอยู่ไกลออกไป และยังไม่รู้ว่าพายุทอร์นาโดจะก่อตัวขึ้นอีกหรือไม่
บ้านในหมู่บ้านมากกว่าครึ่งมีสภาพพังถล่มลงมาในระดับที่แตกต่างกัน บ้านเก่าบางหลังพังลงมาทั้งหมด มีคนเดินพลุกพล่านบนถนนไม่น้อย สติสตังทุกคนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อันที่จริงคนเฒ่าคนแก่ในท้องถิ่นล้วนแล้วแต่ไม่เคยประสบพบเจอภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงถึงขีดสุดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ทุกคนไม่มีประสบการณ์เลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้มักจะเคยเห็นโคลนถล่ม แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่นต่างๆ ในเขตพื้นที่อื่นๆ แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองในสักวัน
หลังจากรถพยาบาลมาถึง ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บมารวมตัวกันต่อแถวเพื่อรับการรักษาและจัดการบาดแผลอย่างเป็นระเบียบ ไม่ไกลนักยังมีนักผจญเพลิงที่กำลังค้นหาและช่วยเหลือกู้ภัยตามบ้านที่ถล่มลงมา
โจวเจ๋อจอดรถไว้ด้านหลัง เขาไม่ได้ลงจากรถ แต่กลับนั่งในรถและจ้องหมอหลินที่กำลังยุ่งอยู่กับการกางเต็นท์อยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าในตอนนี้สถานการณ์ที่นี่ยังนับว่าดีอยู่ ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
แม้ว่าใบหน้าของชาวบ้านจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่นั่นก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ทำให้คนถึงตาย โจวเจ๋อจึงไม่มีความจำเป็นที่จะลงไปผสมโรงอะไร
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา นักผจญเพลิงวิ่งมาทางนี้และแจ้งว่ามีคนติดอยู่ใต้บ้านหลังเก่าที่พังถล่มลงมาตรงนั้น สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์
หมอหลินรีบวิ่งไปทางนั้นพร้อมกับแพทย์หนุ่มคนหนึ่ง โจวเจ๋อทิ้งก้นบุหรี่ ทำได้เพียงลงจากรถไป
ข้างใต้บ้านเก่าที่พังทลายลงนั้น นักผจญเพลิงกำลังดำเนินการขุดค้น แต่เห็นได้ชัดว่าประสบกับปัญหาที่แก้ยากอยู่ ด้านล่างมีคนติดอยู่ และดูเหมือนจะถูกทับเอาไว้ หากขุดแบบไม่ดูตาม้าตาเรืออาจทำให้บ้านถล่มลงมาอีกครั้ง และจะทำให้คนที่ติดอยู่ข้างล่างตกอยู่ในอันตราย
มีชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงเสนอตัวมาเข้าร่วมให้ความช่วยเหลือ แต่ทุกคนก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม ทำได้เพียงฟังคำสั่งของนักผจญเพลิงเท่านั้น
เมื่อโจวเจ๋อมาถึง หมอหลินกำลังตะโกนคุยกับคนที่ติดอยู่ข้างล่าง เพื่อให้แน่ใจสภาพร่างกายของคนที่ติดอยู่ข้างใต้ ไม่รู้ว่ายางมัดผมของเธอหล่นไปไหนแล้ว ลมบริเวณรอบๆ แรงมากพัดเอาผมเธอปลิวสยาย แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้เกะกะอะไร
ภายใต้สภาพแวดล้อมหลังเกิดภัยพิบัติที่วุ่นวายอย่างนี้ คนที่สวมใส่ชุดขาวเหล่านี้เดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว
นักผจญเพลิงร่างเตี้ยคนหนึ่งเดินผ่านโจวเจ๋อไป ทันใดนั้นสมุดบันทึกที่อยู่ในกระเป๋าโจวเจ๋อสั่นไหวขึ้นมา ความรุนแรงของการสั่นไหวไม่ได้ต่างไปจากหมอหลินก่อนหน้านี้!
ก่อนที่จะรู้ตัว โจวเจ๋อเอื้อมมือไปคว้าไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้
นักผจญเพลิงหยุดฝีเท้าด้วยความประหลาดใจและมองโจวเจ๋อ “มีอะไรเหรอครับ”
“คุณ…ระวังตัวด้วยนะครับ”
โจวเจ๋อไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี พูดไม่ออกไปชั่วขณะ มันยากที่จะพูดว่า ‘คุณอย่าไปต่อเลย คุณอาจตายได้นะ’
แต่ถ้าเขาไม่ไป แล้วใครจะไปแทนล่ะ
นักผจญเพลิงเยาว์วัยร่างเตี้ยชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน แต่ในใจยังคงมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านไป เขายิ้มและพูดว่า
“เข้าใจแล้วครับ”
จากนั้นนักผจญเพลิงคนนี้ก็รุดไปด้านหน้าและเริ่มผูกเชือกเส้นใหญ่ไว้กับตัวเอง เนื่องจากบ้านที่ถล่มลงมาเดิมทีเป็นอาคารสามชั้น ดังนั้นสถานการณ์ภายในค่อนข้างจะซับซ้อน หลังจากปรึกษากับหน่วยดับเพลิงแล้วจึงตัดสินใจส่งนักผจญเพลิงร่างเตี้ยคนหนึ่งลงไปสำรวจแล้วเริ่มกู้ภัยจากภายในก่อน
เมื่อมองดูนักผจญเพลิงคนนั้นผูกเชือกไว้กับตัวเอง โจวเจ๋อที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเม้มริมฝีปาก จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นลงสลับกันไม่หยุด
สับสนมาก ปวดตับมาก ถ้าคุณไม่เดินผ่านหน้าผมไป ผมก็ไม่รู้อะไรเลย ถึงตอนนั้นผมแค่แสดงความเสียใจและความเคารพนับถืออย่างสูงจากการเสียสละของคุณก็พอแล้ว
แต่ตอนนี้ผมดันรู้ล่วงหน้าว่าคุณกำลังจะเสียสละ
หลังเหตุการณ์นี้โจวเจ๋อตัดสินใจว่าเขาจะหาวิธีปิดสมุดบันทึกหรือไม่ก็ไม่เอาติดตัวไปด้วยเลย
“บ้าฉิบ!”
หลังสบถด่าตัวเองอย่างหยาบคาย โจวเจ๋อก็เบียดกลุ่มคนออกมา เดินไปข้างๆ นักพจญเพลิงร่างเตี้ยคนนั้น แล้วหยิบเชือกขึ้นมาผูกไว้กับตัวเองด้วย
นักผจญเพลิงอีกด้านตะลึง และมีคนหนึ่งถามขึ้น “คุณเป็นใคร ทำอะไรน่ะ อย่ามาวุ่นวายกับกู้ภัย!”
เรื่องการกู้ภัยแบบนี้จะต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ หลายๆ คนมีความกระตือรือร้นในการร่วมกู้ภัย แน่นอนว่ามันน่าประทับใจมาก แต่พฤติกรรมของมือสมัครเล่นที่หุนหันพลันแล่นอย่างนี้ บางครั้งอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่อันตรายต่อตัวเองและคนที่ติดอยู่ในนั้น
หมอหลินเองก็มองเห็นโจวเจ๋อ เธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วโจวเจ๋อขับรถตามเธอมาตลอดทาง จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ผมเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษฝีมือดีมาก่อน ให้ผมลงไปเถอะครับ”
โจวเจ๋อพูดอย่างใจเย็น
“ทหารหน่วยรบพิเศษเหรอ” หัวหน้าทีมอึ้งไปครู่หนึ่ง
“อืม เคยดู ‘โคตรคนโค่นทีมมหากาฬ’ หรือเปล่าครับ” โจวเจ๋อถามกลับ
“‘โคตรคนโค่นทีมมหากาฬ’ งั้นเหรอ”
หัวหน้าทีมเผยสีหน้าระอา
เอ็งกำลังพล่ามเรื่องบ้าอะไรออกมาวะ!
“ถามเธอดูสิครับ เธอเป็นภรรยาผมเอง”
โจวเจ๋อชี้หมอหลินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
หัวหน้าทีมมองหมอหลิน จู่ๆ หมอหลินก็อยากจะหัวเราะ นี่มันอะไรกันเนี่ย
แต่เธอทราบตัวตนของโจวเจ๋อ และรู้ดีว่าถ้าโจวเจ๋อเต็มใจมีส่วนร่วมในการกู้ภัยละก็ จะเก่งกาจมากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน เธอพยักหน้าทันทีและเอ่ยขึ้น
“ใช่ค่ะ เขาเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่เกษียณแล้ว”
เมื่อมีการรับรองจากแพทย์ หัวหน้าทีมก็วางใจ ในเวลานี้ก็ต้องการใช้คนอยู่พอดี แน่นอนว่าเขายินดียอมรับผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาชีพเข้ามามีส่วนร่วมกู้ภัยด้วย
ขณะนั้น หัวหน้าทีมชี้ไปที่นักผจญเพลิงร่างเตี้ยข้างโจวเจ๋อและพูดว่า
“เหอหลี่ คุณตามโคตรคน อ้อ ไม่สิ…ตามสหายคนนี้ลงไปพร้อมกัน”
“ครับผม หัวหน้า”
“อย่าเลยครับ ผมลงไปคนเดียวก็พอแล้ว ผมว่าเขาจะเกะกะเปล่าๆ” โจวเจ๋อพูดอย่างไม่ยี่หระ
“ผมไม่เกะกะแน่นอนครับ!”
เหอหลี่ผูกเชือกนิรภัยเสร็จแล้วเดินลงไปทันที ภายใต้การช่วยเหลือของสหายร่วมรบที่อยู่รอบๆ เขาถูกส่งลงไปจากปากทางเล็กๆ ก่อนลงไปยังจ้องโจวเจ๋ออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ก่อนหน้านี้เขาถูกโจวเจ๋อดูถูก จึงโกรธมากอย่างเห็นได้ชัด
โจวเจ๋อจนปัญญาจริงๆ ผมอุตส่าห์เสียสละตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว ยังไม่สามารถหยุดก้าวย่างแห่งการเสียสละของคุณได้อีก
อีกหน่อยคนไหนอยากจะเป็นวีรบุรุษผู้อยู่เบื้องหลังก็ให้คนนั้นไปเลย รู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือเกิน
โจวเจ๋อทำได้เพียงผูกเชือกนิรภัยแล้วลงไปพร้อมกัน พื้นที่ด้านล่างคับแคบจริงๆ ระยะห่างระหว่างโจวเจ๋อกับนักผจญเพลิงที่ชื่อเหอหลี่มีอยู่ประมาณสองเมตร ทั้งสองกำลังมองหาพื้นที่โล่งใต้ฝ่าเท้าเพื่อหย่อนตัวลงไปต่อ และพยายามติดต่อกับคนที่ติดอยู่ข้างล่าง
“อุแว้ อุแว้…”
หลังจากลงไปได้ไม่นาน โจวเจ๋อก็ได้ยินเสียงร้องของทารกข้างล่าง
“เฮ้ เฮ้!”
โจวเจ๋อตะโกนลงไปด้านล่าง
“พวกเราอยู่ข้างล่างนี้” มีคนตะโกนอยู่ด้านล่าง
“พวกคุณอยู่นิ่งๆ นะ เราจะลงไปช่วยพวกคุณออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม…” เหอหลี่ตะโกนเช่นกัน
“ขาผมถูกทับ ลูกสะใภ้และหลานชายผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย พวกคุณไปช่วยพวกเขาก่อน ช่วยพวกเขาด้วย” ข้างล่างนั่นน่าจะเป็นชายชราคนหนึ่ง
“ผู้เฒ่า คุณใจเย็นๆ ก่อนนะ พวกเรากำลังดำเนินการกู้ภัยแล้ว…”
‘เคร้ง…’
ด้านล่างมีเสียงบางอย่างถูกผลักออกดังขึ้นมา ชายชราที่อยู่ด้านล่างดูเหมือนจะได้ยินเสียงร้องของหลานชายตัวเอง จากนั้นใช้แรงดันสิ่งที่ทับบนร่างเขาออก ตั้งใจจะไปหาลูกสะใภ้กับหลานชายของเขาก่อน
แต่เห็นได้ชัดว่าบ้านสามชั้นที่สร้างอย่างผิดกฎหมายนี้ตกอยู่ในสภาวะอันตรายแล้ว เพียงเขาขยับนิดเดียวข้างล่างที่เกี่ยวพันกันก็สะเทือนไปทั้งหมดเลย โจวเจ๋อรู้สึกว่าผนังปูนใต้ฝ่าเท้าของเขาเริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ผู้เฒ่า คุณอย่าขยับ อยู่นิ่งๆ ไว้นะ เราลงมาแล้ว ลงมาแล้ว!”
แต่ข้างล่างก็ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่
“เวรเอ๊ย ไอ้ลูกหมาแก่ตายยาก อย่าขยับนะโว้ย!”
โจวเจ๋อเริ่มแหกปากด่าแล้ว
เป็นไปตามคาด การก่นด่ามีประโยชน์ ชายชราที่อยู่ด้านล่างหยุดการเคลื่อนไหวทันที
โจวเจ๋อใช้เล็บหักเหล็กหลายเส้นที่ขวางทางออกอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งรอยต่อของผนังปูนก็ถูกเขาแหกออก เพียงไม่นานก็ลงมาได้แล้ว ไม่ไกลจากเขามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนกอดลูกในอ้อมแขนอยู่ตรงนั้น และมีเลือดไหลออกจากหัวของหญิงสาว เธอยังไม่ตาย แต่เห็นได้ชัดว่าสติเริ่มเลือนรางแล้ว
“ส่งเด็กมาให้ผมก่อน เด็ก!”
โจวเจ๋อตะโกนบอกหญิงสาว
ดวงตาของหญิงสาวค่อยๆ กลับมามีสติ และพยายามดิ้นรนคลานเข้ามาส่งเด็กให้โจวเจ๋อผ่านแผ่นกั้น เธอรู้ดีว่าถ้ารีบส่งเด็กให้คนที่มากู้ภัยช่วยเด็กออกไปได้เร็วมากเท่าไร เด็กก็จะพ้นจากอันตรายได้เร็วขึ้นเท่านั้น
โจวเจ๋อรับเด็กมา ก่อนจะส่งให้เหอหลี่ผ่านเหล็กเส้นที่อยู่อีกฝั่ง แล้วตะโกนบอกเขา “คุณพาเด็กขึ้นไปก่อน!”
“คุณพาเด็กขึ้นไปก่อน” เหอหลี่พูด
“ออกไป คุณขึ้นไปก่อน!”
ท่าทีของโจวเจ๋อแน่วแน่มาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะช่วยคนที่ติดอยู่ข้างล่างออกมาได้หรือไม่ แต่ถ้าหากนักผจญเพลิงผู้กล้าหาญตรงหน้าคนนี้ยังอยู่ด้านในต่อไป มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน
เหอหลี่ถูกท่าทีของโจวเจ๋อบังคับกดดันอย่างนี้ ทำได้เพียงรับเด็กมาแล้วกลับไปทางเดิม
ส่วนโจวเจ๋อเริ่มใช้เล็บแหกสิ่งกีดขวางอย่างต่อเนื่องและดึงหญิงสาวคนนั้นออกมา จากนั้นปลดเชือกนิรภัยบนตัวเขามามัดไว้บนตัวเธอ แล้วส่งสัญญาณให้ด้านบนดึงเธอขึ้นไปก่อน ในขณะเดียวกันก็ตะโกนขึ้น
“เด็กขึ้นไปหรือยัง”
“เด็กขึ้นมาแล้ว คุณอยู่ด้านล่างระวังตัวด้วยนะคะ!” หมอหลินตะโกนจากข้างบน “พายุมาอีกแล้ว คุณระวังตัวด้วย”
เหอะๆ
แม้ว่าโดยพื้นฐานใกล้จะหย่าแล้ว แต่เสียงของภรรยาที่เป็นห่วงสามีแบบนี้มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ
โจวเจ๋ออยู่ด้านล่างดันหญิงสาวขึ้นไป ในที่สุดหญิงสาวก็ถูกดึงขึ้นไปอย่างช้าๆ
เรียบร้อย ต่อไปก็เหลือแค่เด็กเฒ่าคนเดียวแล้ว
โจวเจ๋อข้ามผ่านไปและเห็นชายชรานั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าขื่นขม มีกระดานไม้หนึ่งแผ่นทับอยู่บนขาของเขาปลายทั้งสองของกระดานไม้ถูกผนังปูนทับแน่นอีกที
“สหาย คุณออกไปก่อนเถอะ ผมไม่รีบ บ้านหลังนี้กำลังจะพังแล้ว”
โจวเจ๋อกลอกตาใส่อีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้คุณดิ้นไปมาอยู่ข้างล่างจนเกือบจะฆ่าเราทั้งหมด ตอนนี้เริ่มจุดไฟตะเกียงวิญญาณอีกแล้วหรือ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมจะยกไม้ขึ้นแล้วคุณลองขยับขาออกมานะ”
“ได้”
โจวเจ๋อใช้เล็บแหกรอยต่อผนังปูนออก เวลานี้เอง เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบที่ปลายนิ้ว เมื่อโจวเจ๋อก้มหน้ามอง ก็พบว่าเลือดไหลออกจากนิ้วทั้งสิบของเขามาตั้งนานแล้ว
แม้เล็บนี้จะวิเศษแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สว่านไฟฟ้า เมื่อต้องรับมือกับเหล็กเส้นหรือคอนกรีตเหล่านี้มันก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
“ออกแรงหน่อย!”
โจวเจ๋อใช้มือทั้งสองข้างยกกระดานขึ้น
“ขาผมออกมาแล้ว ออกมาได้แล้ว”
ชายชราตะโกน
“มันยังขยับได้ไหม”
“ได้สิ ขาไม่ได้หัก มันขยับได้”
“ดีเลย คุณคว้าเชือกเส้นนั้นไว้ก่อนแล้วปีนขึ้นไปตามทางนี้”
…
“คุณบาดเจ็บแล้ว เดี๋ยวทำแผลให้นะคะ”
พยาบาลสาวคนหนึ่งจัดการทำแผลให้เหอหลี่
ก่อนหน้านี้ตอนที่เหอหลี่อยู่ด้านล่างนั้นถูกปลายแหลมคมข่วนอยู่หลายแผล
“ผมไม่เป็นไร ผมยังต้องลงไปช่วยคนอีก” เหอหลี่ปฏิเสธ
“คุณอยู่นิ่งๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ออกมาแล้ว ข้างล้างก็เหลือแค่คนเดียว คุณไม่ต้องไปแล้ว แผลของคุณต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
พยาบาลสาวมุ่งมั่นมาก
เหอหลี่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายทำแผลให้เขา
ในเวลานี้เองพายุพัดมาอีกครั้ง ทั้งยังแรงกว่าก่อนหน้านี้มากนัก เสียงเต็นท์ถูกพัดจนเสียงดัง ‘พึ่บพั่บ’ ราวกับจะถูกพัดพลิกคว่ำไปได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้นเหอหลี่เห็นว่าต้นไม้ตรงหน้าที่ก่อนหน้านี้ถูกพายุพัดจนเอนเอียงเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง เขารีบผลักพยาบาลสาวที่ทำแผลให้เขากระเด็นออกไป
พยาบาลสาวถูกผลักล้มลงพื้นพูดด้วยความโมโห “อะไรของคุณเนี่ย!”
ต้นไม้ต้นนั้นล้มลงไม่ได้ เพราะทิศทางที่ต้นไม้จะล้มไปคือฝั่งบ้านที่พังถล่มลงมา หากต้นไม้ล้มละก็ บ้านที่พังถล่มไปแล้วจะต้องพบกับการถล่มเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
เหอหลี่เคยลงไปมาก่อน ต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์ด้านล่างไม่มั่นคงจริงๆ จุดรองรับน้ำหนักในพื้นที่นั้นไม่เสถียรเอามากๆ
‘เปรี๊ยะ…’
ต้นไม้เริ่มล้มเอียงลงไปแล้ว มันต้านเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
คนอื่นที่อยู่รอบๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน แต่พวกเขากลับตอบสนองไม่ทัน ทำได้เพียงมองต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาอย่างช้าๆ
ในเวลานี้เองร่างเตี้ยพุ่งเข้ามา เขาวิ่งไปยังทิศทางที่ต้นไม้ใหญ่ล้มลงไป
‘ปัง!’
ลำต้นของต้นไม้ใหญ่กระแทกลงบนไหล่ของเขา เขากระอักเลือดออกมาและล้มคุกเข่าลงไปทั้งตัว หัวเข่ากระแทกลงไปบนพื้นทันที จากนั้นพื้นก็ยุบเป็นหลุมลงไป แต่เป็นเพราะว่าเขารับแรงกระแทก ดังนั้นต้นไม้จึงไม่ได้กระแทกลงไปที่พื้นโดยตรง
นักผจญเพลิงและชาวบ้านที่อยู่รอบๆ รีบวิ่งเข้าไปอุ้มต้นไม้ทันที พยายามคิดหาทางขนย้ายมันออกไป จนในที่สุดต้นไม้ก็ถูกย้ายไปที่พื้นอย่างปลอดภัย แต่ร่างเตี้ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป
ชายชราถูกดึงขึ้นมา ต่อมาโจวเจ๋อก็ขึ้นมาแล้วเช่นกัน หมอหลินร้องไห้พุ่งเข้าไปกอดโจวเจ๋อ เนื้อตัวของโจวเจ๋อในเวลานี้เต็มไปด้วยฝุ่น แต่หมอหลินก็ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปตบหลังหมอหลินเบาๆ บอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่เป็นอะไรนอกเสียจากเล็บที่เจ็บปวด
“เฮ้อ…”
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หมอหลินเริ่มสำรวจร่างกายโจวเจ๋อเพื่อดูว่ามีบาดแผลที่ต้องรักษาหรือไม่
ส่วนโจวเจ๋อคลำเอาบุหรี่ที่ถูกทับจนแบนจากกระเป๋าออกมาจุดไฟ แล้วถามขึ้น
“แล้วนักผจญเพลิงร่างเตี้ยคนนั้นล่ะ”
เขาขึ้นมาตั้งนานแล้ว น่าจะปลอดภัยแล้วละมั้ง เขาปลอดภัย คุณเองก็น่าจะปลอดภัยเช่นกัน
สมุดบันทึกผุพังเล่มนี้น่าจะสู้คำใบ้ในหนังเรื่อง ‘โกงความตาย’ ไม่ได้ มันไม่ได้ลึกลับขนาดนั้น อีกทั้งคุณภาพก็ลดลงแล้ว
เมื่อหมอหลินได้ยิน จู่ๆ ร่างกายก็แข็งทื่อทันที โจวเจ๋อค่อยๆ ขมวดคิ้วแน่น แล้วถามขึ้น
“นักผจญเพลิงคนนั้นล่ะ”
ตอนที่โจวเจ๋อเดินมาถึงเต็นท์ตรงนั้น เมื่อเห็นร่างเตี้ยถูกคลุมด้วยผ้าขาวแล้ว เขาขยี้บุหรี่ที่กำลังไหม้อยู่และกำมันไว้ในฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว จากนั้นกระชากมือหมอหลินอย่างรุนแรง แล้วลากเธอไปที่ข้างรถของเขา
“คุณทำอะไร คุณทำอะไรเนี่ย…คุณทำฉันเจ็บแล้วนะคะ”
“ไปกับผม ออกไปจากที่นี่กับผม!”
“ฉันยังทำงานอยู่นะ ฉันยังต้องช่วยเหลือชีวิตคนต่อไป” หมอหลินโต้กลับ
โจวเจ๋อใช้สายตากวาดมองหมอหลิน หมอหลินเห็นดวงตาของโจวเจ๋อเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ มันน่ากลัวมาก
ในขณะเดียวกัน โจวเจ๋อวางแขนข้างหนึ่งโอบกอดรอบศีรษะของหมอหลิน ให้ใบหน้าของเธอแนบติดกับหน้าอกของเขา เมื่อคนนอกมองมาก็จะคิดว่าเป็นคู่หนุ่มสาวกำลังพูดคุยกัน
แต่สิ่งที่โจวเจ๋อพูดคือ
“ถ้าตอนนี้ไม่ตามผมมาละก็ ผมจะฆ่าคุณทิ้งซะ”
…………………………………………………………………………