ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 15 ชีวิตต้องผ่านมันไปให้ได้
ตอนที่ 15 ชีวิตต้องผ่านมันไปให้ได้
เสียงประทัดบอกลาปีเก่า หลังจากเลยเวลา 0.00 ไป เสียงดอกไม้ไฟและประทัดดังมาจากทุกสารทิศ คนมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น สนุกครึกครื้นเป็นพิเศษ เดิมทีเป็นเพียงการเคลื่อนไหวกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ แต่ในเวลานี้เกิดขึ้นอย่างล้มหลาม
โจวเจ๋อเป่าเล็บ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวด้านนอกไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เขาไม่มีบ้าน แม้ว่าตอนนี้ในนามจะมี ‘บ้าน’แล้ว แต่เขาไม่อยากกลับ
หลายๆ คนตอนมีชีวิตอยู่เคยมีความคิด นั่นก็คือ ถ้าตัวเองเกิดใหม่ได้ จะทำอย่างไร จะเป็นอย่างไรบ้าง
คำพูดที่กล้าหาญหลังดื่ม มีเหตุมีผลเต็มไปด้วยพลัง ไม่คิดริษยาคนใหญ่คนโต
แต่เมื่อกลับมาจากนรกจริงๆ คุณจะพบว่าการแสวงหา ความคิด และความปรารถนาเหล่านั้นครั้งก่อนของตัวเองเป็นเหมือนคำถามของครู ตอนคุณอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ‘เด็กๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไร?’
จากนั้นพวกเด็กๆ ก็จะตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน ‘เป็นนักวิทยาศาสตร์ หมอ นักบินอวกาศ ทหาร…’
ความฝันนั้น มักจะเต็มที่เสมอ
แต่ความจริงนั้นผอมแห้งติดกระดูก แต่เลือดไก่ของตัวบุคคลนั้นถูกกำหนดให้มีจำนวนจำกัด
บางครั้ง หายใจได้ ได้ยินเสียง และนั่งอู้งานอยู่ที่นี่ได้ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
บางทีนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขอย่างแท้จริง
คืนนี้สวี่ชิงหล่างยังนอนในร้านเหมือนเดิม โจวเจ๋อได้ยินเสียงเขาปิดร้าน
เขาบอกว่าเขามีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง แต่โจวเจ๋อรู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ในร้าน
ครอบครัวต้องอยู่พร้อมหน้ากัน
ปีใหม่ปีนี้ ต้องสำคัญกว่าเป็นธรรมดา
ด้านนอกร้าน ฝนเริ่มตกแล้ว ความชื้นเริ่มซึมเข้ามาเล็กน้อย ทำให้คนรู้สึกหดหู่
โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อดังขึ้น มันเป็นสายของภรรยาตัวเอง
“ฮัลโหล” โจวเจ๋อรับสาย
“นอนหรือยัง” หมอหลินถาม
โจวเจ๋อรู้สึกว่าคำถามนี้งี่เง่ามาก
‘ผมนอนแล้วใครจะรับสายคุณกัน
หรือว่าจะเป็นคนตาย…ไม่สิ เป็นผีทะเลเหรอ
ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง’
โจวเจ๋อเอนหลังเล็กน้อยบนเก้าอี้ ภาพหมอหลินใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเบาๆ ผุดขึ้นในสมองของเขาแล้วเรียกตัวเองว่า ‘คนผีทะเล…’
ความรู้สึกแรก บอกตามตรงได้เลยว่า ทำไมมันสามารถทำให้คนดวงตาพร่าพรายได้ขนาดนี้
บางทีอาจจะน่าเบื่อเกินไป หรือไม่ก็ว่างสุดๆ
โจวเจ๋อพบว่าความคิดของตัวเองตอนนี้ฟุ้งซ่านเล็กน้อย
คิดมากเกินไปนิดหน่อย
“ยัง” โจวเจ๋อตอบ
“แอ๊ด…”
หมอหลินผลักประตูร้านและเดินเข้ามา เธอกางร่มสีแดง สวมกางเกงหนังและเสื้อสเวตเตอร์สีขาว ปล่อยผมพาดไหล่ยาวประบ่า
โจวเจ๋อลืมวางโทรศัพท์มือถือไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ
โดยเฉพาะเสน่ห์ของเธอ มันสามารถทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตก็เหมือนกับแรกพบ และในชั่วพริบตา มันก็ปักแทงใจของผู้ชายคนหนึ่ง
“กลัวผมจะเหงาอยู่คนเดียวเหรอ” โจวเจ๋อลุกขึ้นยืน รินน้ำให้หมอหลินหนึ่งแก้ว
เธอเป็นเจ้าของที่นี่
อืม พูดให้ถูกคือ เงินที่สวีเล่อเปิดร้านหนังสือแห่งนี้ก็เอามาจากครอบครัวของเธอ
หมอหลินรับเอาน้ำไป ส่ายหัวและไม่พูดอะไร
คนทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน แต่ความจริงแล้ว กลับคล้ายคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยที่สุด อยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดมากกว่าเพื่อนสนิทผู้ชายเสียอีก
อยากจะพัฒนากว่านี้อีกขั้นนั้นยาก
อยากจะถอยออกมาหนึ่งขั้นนั้นยากยิ่งกว่า
“ออกไปเดินเล่นกันเถอะ” โจวเจ๋อรู้สึกว่าบรรยากาศในร้านนั้นอึดอัดไปหน่อย และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชวนหมอหลินไปยังสถานที่ที่ตัวเองนอนบนชั้นสอง
แม้ว่าวันนี้หมอหลินจะกินยาผิดขวดและคิดที่จะใช้ร่างกายให้อาหารเสือ แต่เมื่อเห็นตู้แช่ของตัวเองบนชั้นสอง คาดว่าจะต้องรีบโทรไปที่หมายเลขของโรงพยาบาลจิตเวชชื่อดังที่รู้จักและส่งตัวเองไปบำบัดให้ดีขึ้นในทันที
“ฝนตกนะ” หมอหลินพูด
“ฝนปรอยๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก” โจวเจ๋อโบกมือ ผ่อนคลายสบายๆ
…
“ครืน~ ซ่าๆ ซ่าๆ”
ฝนตกหนัก ทั้งยังตกหนักมากอีกด้วย
ก่อนหน้านี้แม้แต่ร่ม โจวเจ๋อก็ไม่เคยได้ถือร่มและคิดอยากจะสัมผัสกับฝนในฤดูใบไม้ผลิที่มีราคาแพงราวกับน้ำมัน จนเกือบจะเปียกโชกเหมือนไก่ตกน้ำแกง หมอหลินยังคงกางร่มและยืนอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อปฏิเสธข้อเสนอที่จะแบ่งปันร่มกัน
หากจะแสร้งบังคับตัวเองให้ทำเป็นน้ำตานองหน้า ก็จะต้องทำให้จบ
ปัดๆ ลูบๆ ผมที่เปียกลู่ โจวเจ๋อตัวสั่นเล็กน้อย เขาไม่ได้กลัวความหนาว จริงๆ แล้วเขาทนทานต่อการแช่แข็งได้มาก เพียงแต่ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ แม้ว่าจะกางร่มและไม่เปียกฝนแม้แต่น้อย แต่กลับตัวสั่นน้อยๆ
ป้ายรถเมล์สามารถบังฝนได้เกือบทั้งหมด
แต่เจ้าลมหนาวในคืนนี้ กลับยังกำเริบเสิบสานเช่นเคย
ความรู้สึกของชนชั้นกลุ่มน้อย
การอยู่ร่วมกันของชายและหญิง
เปียกปอนในคืนฝนพรำ
หญิงงามที่น่าสงสาร
นี่ควรเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย เป็นโอกาสที่ดี กระทั่งเป็นไปได้ที่กระสุนนัดสุดท้ายจะลั่นพลาดในทุ่งดอกไม้ ทุกเรื่องมีความเป็นไปได้ แต่ทั้งสองกลับค่อนข้างเงียบไร้คำพูดใดใด
โจวเจ๋อจุดบุหรี่และหมอหลินก็ยืนอยู่ข้างเขา
คนหนึ่งต้องการหนี อีกคนต่อต้าน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะไม่สามารถไปด้วยกันได้
แตงที่แข็งกระด้าง แตงและเถาวัลย์ ล้วนเข้ากันไม่ได้
โจวเจ๋อบ่นสวีเล่อในใจเล็กน้อย ถ้าเจ้าขี้ขลาดคนนั้นแต่งงานแล้วฉู่ป้าหวังขึ้นสายธนู[1]ไปสักครั้ง ตอนนี้ก็จะไม่มีเรื่องผิดใจอะไรกันแล้ว แม้ว่าหมอหลินคิดว่าเป็นผู้หญิงหรือกำลังตั้งครรภ์ คาดว่าก็ยังดูสวยสง่าเช่นกัน กระทั่งยังสามารถเพิ่มคะแนนได้อีกด้วย
ตัวเองก็จะสามารถเข็นเรือตามน้ำ[2]ได้เลย ไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนตอนนี้
แน่นอนว่าการบ่นแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับสวีเล่อ ถ้าโจวเจ๋อเอาแต่ใจตัวเองขึ้นสายธนูในคืนนั้นก็เป็นไปได้ที่หมอหลินจะต่อต้านและตะโกนว่า ‘ทำอนาจาร’ ล่ะ จากนั้นก็เรียกตำรวจมาลากโจวเจ๋อไปส่งโรงพัก แจ้งตำรวจข้อหาข่มขืน?
ฝนยังคงตกอยู่
โจวเจ๋อทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น
“คุณขับรถมาเหรอ”
“เรียกรถมา” หมอหลินตอบ
“ผมไปส่งคุณกลับ”
“อืม”
ไม่ต้องกังวลว่าวันส่งท้ายปีเก่าที่ดูไร้สาระไร้เดียงสานี้ ในคืนที่ฝนเหยียบย่ำบนถนนจะเริ่มต้นขึ้นอย่างไร
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ทั้งสองคนรู้สึกว่าการสิ้นสุดในเวลานี้จะเหมาะสมที่สุด
หลังจากเรียกแท็กซี่ออนไลน์แล้ว โจวเจ๋อและหมอหลินก็ขึ้นรถไปด้วยกัน
สิบห้านาทีต่อมา เมื่อมาถึงบ้าน โจวเจ๋อก็ลงจากรถพร้อมกับหมอหลิน เจ้าของรถคิดเงินเสร็จสรรพก็ขับรถออกไป
บ้านอยู่ที่ชั้นบน แต่โจวเจ๋อและหมอหลินก็ไม่ได้เลือกที่จะขึ้นไปในทันที
ฉากนี้เหมือนคู่รักมัธยมต้นกลับมาที่บ้านของหญิงสาวที่ชั้นล่างในช่วงกลางดึกด้วยกัน เมื่อได้เวลาจากกันก็ อ้อยอิ่ง ฉันฉันเธอเธอ
แต่บรรยากาศในเวลานี้ไม่ได้เข้มข้นเท่านักเรียนมัธยมต้นที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับซุปเนื้อที่ไม่ใส่เกลือและผงชูรส ทานแล้วไร้รสชาติ แต่จะทิ้งไปก็น่าเสียดาย
“คุณไม่ขึ้นไปเหรอ” หมอหลินถาม
“ไม่ล่ะ รอผ่านไปสักระยะก่อนค่อยว่ากัน และก็จะจัดการเรื่องของเราด้วยเช่นกัน”
หมอหลินเข้าใจความหมายที่โจวเจ๋อสื่อมาพลางเอ่ย “ขอโทษ”
โจวเจ๋อยิ้ม แล้วยื่นมือออกมา เดิมคิดอยากจะตบไหล่หมอหลิน แต่หลังจากวางมือบนนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกหุนหันพลันแล่นเล็กน้อยและยังสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้
หมอหลินแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ขัดขืน
ทั้งสองใกล้ชิดกันขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ท่าทางที่สนิทสนมนัก เมื่อเทียบกับสถานะความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างคนทั้งสองแล้ว สามรถพูดได้เลยว่าเป็นคนนอก
ตัวเธอหอมมาก ไม่รู้ว่าตอนอาบน้ำใช้เจลสบู่อาบน้ำตัวไหน สรุปว่ากลิ่นมันหอมดี
“มีสิ่งหนึ่งที่สงสัยมาตลอด ในใจของคุณมีคนอื่นใช่ไหม” โจวเจ๋อกล่าวเสริม “คนอื่นที่ว่านั้นหมายถึงชายหรือหญิงก็ได้”
“ใช่” หมอหลินพูดอย่างตรงไปตรงมาและตอบโดยที่ไม่ลังเล
เมื่อก่อนสามีของตัวเองขี้ขลาดตาขาวมาโดยตลอด ทำให้เธอทนไม่ไหว
ตอนนี้ สามีของเธอดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคน และทำให้เธอได้ทิ้งภาระบางอย่างไปอีกด้วย
“อ๋อ” โจวเจ๋อขานรับ และเหลือบมองเล็กน้อย เพื่อดูว่าบนหัวของตัวเองมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนสีพิเศษปรากฎอยู่หรือไม่
ก็ยังรู้สึกหดหู่อยู่นิดหน่อย
พูดเรื่องความรักไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าชอบขนาดไหน
แม้แต่ความคุ้นเคยก็แทบจะทนฝืน
แต่เธอนั้น ไม่ว่ายังไง ในนามแล้วก็ถือว่าเป็นผู้หญิงของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเองยังถูกสวมเขาอีกต่างหาก
อืม ขอแค่เป็นผู้ชาย
ไม่สิ ขอแค่เป็นเพศผู้
เจอเรื่องแบบนี้เข้า ในใจไม่น่าจะมีความสุขมากเกินไปนะ
“ขอโทษ” นี่เป็นครั้งที่สองที่พูดว่าขอโทษ
โจวเจ๋อปล่อยมือ และทั้งสองก็ค่อยๆ แยกจากกัน
“พูดขอโทษก็เป็นคนอื่นคนไกลแล้ว” โจวเจ๋อนั่งลงข้างๆ เนินหินภูเขา ฝนเบาลงแล้ว ที่นี่ยังมีชายคาเล็กๆ อยู่ด้วย
“ฉันจะให้เงินคุณอีกก้อนหนึ่ง คุณสามารถไปเปิดร้านหนังสืออีกที่ได้” หลังจากที่หมอหลินพูดจบ ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ขอโทษ”
เดิมทีโจวเจ๋ออยากจะโบกมืออย่างใจกว้างและพูดว่า “ผมไม่สนใจเรื่องเงินหรอก”
แต่เมื่อนึกถึงตู้แช่ของตัวเองและนึกถึงชีวิตของตัวเองในอนาคต
จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกว่าพูดคำพูดพวกนี้ไม่ออก
ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้เอาจริงขึ้นมา รู้สึกว่าการให้เงินเป็นการดูถูกตัวเอง แล้วไม่ให้เงินชดเชยแล้วล่ะ
“อีกสองสามวันค่อยคุยก็แล้วกัน” โจวเจ๋อยักไหล่ “คนนั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ในความคิดของฉัน เขาฉลาดและมีความสามารถสูงมาก” หมอหลินตอบ
เป็นผู้ชายสินะ
ฉึก
อีกหนึ่งดอก
หากเป็นผู้หญิงยังยอมรับได้ดีกว่านี้เสียอีก…
โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนว่าบนหัวของเขาที่สังเคราะห์แสงสีเข้มข้นขึ้นไปอีก
“หมดโอกาสแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อถามคำถามโง่ๆ ถามไปแล้วตัวเองก็นึกเสียใจ แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองอยู่ ผมถามแทนสวีเล่อที่น่าสงสารหรอกน่า
ยึดครองร่างของคนอื่นแล้ว ตอนนี้เมียนอกใจอีก คุณก็ต้องช่วยถามว่าทำไมน่ะสิ?
อืม ก็เป็นอย่างนี้แหละ
“ไม่มีโอกาสแล้ว” หมอหลินยังคงตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่นมาก
ผู้หญิงคนนี้เป็นศัลยแพทย์ด้วย และรูปแบบการพูดก็ตรงไปตรงมามาก เช่นเดียวกับการถือมีดผ่าตัด มีดจะตัดส่วนสำคัญ โดยที่ไม่ยืดยาด
มิฉะนั้นผู้ป่วยจะทนทุกข์ทรมานมากขึ้น และในทางอารมณ์ความรู้สึกดูเหมือนว่าจะใช้หลักการเดียวกัน
“ก็ได้ๆ เทียบไม่ติดๆ ไม่เป็นไร ทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเอง คุณก็กลับไปจัดการกับพ่อแม่ของคุณเถอะ” โจวเจ๋ออารมณ์เสียเล็กน้อย
หมอหลินพยักหน้า หันหลังและเดินเข้าไปในทางเดินอาคาร
โจวเจ๋อลุกขึ้นและกำลังจะเรียกแท็กซี่ออกไป แต่ในขณะนั้นก็มีสายแปลกๆ โทรเข้ามา
“ฮัลโหล”
“คุณผู้ชาย ผมขับรถวนกลับมาแล้ว”
“ฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ” โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย เขาบอกได้เลยว่านี่เป็นเสียงของคนขับรถก่อนหน้านี้
“คุณทิ้งกระเป๋าไว้ที่เบาะหลัง แล้วผมเอามาคืนให้คุณ”
“อ๋อ ขอบคุณครับ”
รถคันนั้นขับไปที่บริเวณชั้นล่างของตึกอีกครั้ง และคนขับก็ส่งกระเป๋าผู้หญิงออกมาจากทางหน้าต่างรถ
“คุณตรวจนับดู”
“ครับ”
โจวเจ๋อเปิดกระเป๋าของหมอหลินอย่างไม่เกรงใจ ในนั้นมีโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน รวมไปถึงสายชาร์จข้อมูลและกระดาษทิชชู่สองสามห่อ
เมื่อหยิบกระเป๋าเงินออกมา โจวเจ๋อก็ตกตะลึงทันทีที่เขาเปิดมันออกมา
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ตำแหน่งที่เก็บรูปถ่ายในกระเป๋าเงิน
มีรูปถ่ายอยู่ตรงนั้น
ผู้หญิงในรูปดูเด็กมาก กระทั่ง…เหมือนยังไม่บรรลุนิติภาวะ สวมเสื้อกาวน์สีขาวโคร่งไม่สมส่วน
แต่ผู้ชายที่อยู่ทางด้านขวาของหญิงสาว โจวเจ๋อมีความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ เล็กน้อย
อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
โจวเจ๋อถึงจะจำขึ้นมาได้
นี่ไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกหรือ
นี่เป็นรูปภาพที่ถูกครอบตัด น่าจะเป็นรูปหมู่แต่กลับถูกครอบแล้วตัดแยกออกเป็นรูปคู่
“มีอะไรหายไปหรือเปล่า” คนขับถาม
“ไม่มี ขอบคุณมากครับ คุณไปได้เลย”
คนขับขับรถออกไปแล้ว
โจวเจ๋อมองดูกระเป๋าเงินต่อไป แม้กระทั่งเขาไม่คิดว่าเวลานี้ควรโทรหาหมอหลินบอกให้ลงมาเอากระเป๋า
ความทรงจำบางอย่างที่ไม่นับว่าเป็นฝุ่น และไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายก็เริ่มปรากฏขึ้น
จำได้เลือนลาง
เมื่อห้าหรือหกปีที่แล้ว ดูเหมือนเคยพานักเรียนที่ได้รับมอบหมายให้ไปฝึกในโรงเรียนกลุ่มหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งดูเหมือนจะแซ่หลิน ดูเหมือนว่ารูปร่างลักษณะจะทับซ้อนกับหญิงสาวในรูป
โตแล้วเปลี่ยนไปมากทีเดียว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของโจวเจ๋อ
หมอหลินตอนนั้นน่ารักมาก ใครจะรู้ว่าอีกห้าหรือหกปีจะสวยชวนมองขนาดนี้แล้ว ตัวเองไม่ได้สังเกตเห็นศักยภาพการพัฒนาของผู้หญิงคนนี้เลย
และในตอนนั้น ตัวเองก็ปฏิบัติกับโรงพยาบาลแบบชุ่ยๆ มากที่ให้ตัวเองนำเด็กมาฝึกงาน และนักเรียนเหล่านี้เพียงแค่เป็น ‘คนรับใช้แพทย์’ เคียงข้างตัวเอง
โจวเจ๋อแกว่งกระเป๋าเงินในมือ
“แม่งเอ้ย สมน้ำหน้าเมื่อก่อนที่นายอายุเกือบสามสิบแล้วยังเป็นโสด”
แปลกมากที่ครั้งนี้ไม่ได้ด่าสวีเล่อ แต่ด่าตัวเอง
“ดวงตามืดบอดจริงๆ เลย…”
โจวเจ๋ออ้าแขนออก ยืดเส้นยืดสายหนึ่งที
คนที่สวมเขาให้กับตัวเอง ที่แท้แล้วก็เป็นตัวเขาเอง
ช่วงเช้าตรู่หลังฝนตกในวันแรกของปีใหม่
มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เอื้อมมือออกไปและตบหน้าอกของตัวเองอย่างจริงจัง
โจวเจ๋ออึกอัก เอ่ยอย่างจริงจังว่า
“สวีเล่อ นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉันจริงๆ!
ฉันจะดูแลภรรยานายเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
…………………………………………………………………..
[1]ฉู่ป้าหวังผู้มีพละกำลังมหาศาล เดิมทีการขึงสายธนูจะต้องใช้ขาช่วยในการโค้งธนูแต่ฉู่ป้าอ๋องใช้เพียงสองมือเปล่า เป็นการใช้พละกำลังในการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหมายถึงการข่มขืนได้อีกด้วย
[2] อวี๋เอ๋อร์เป่า หมายถึงดำเนินการตามสถานการณ์ที่เป็นไป