ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม
ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม!
“ขึ้นไปดูแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม
สาวน้อยโลลิส่ายหัว “ข้างบนมืด มองอะไรไม่ชัดเลย”
ทันทีที่พูดเสร็จ สาวน้อยโลลิก็เดินลงมาช้าๆ จากนั้นยืนอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ
เธอเตี้ยมาก สวมใส่เสื้อผ้าเยอะมาก และมีใบหน้ารูปไข่ที่บอบบางดูเหมือนงานศิลปะแสนประณีตชิ้นหนึ่ง
แต่โจวเจ๋อรู้ดี ลิ้นของเธอนั้นยาว ยาวมาก ยาวจน…ทำให้คนขนหัวลุก
“คุณลุง หนูไปอ่านหนังสือต่อแล้วน้า”
สาวน้อยโลลิยิ้มอย่างน่ารัก และนั่งลงบนม้านั่งพลาสติกตัวเล็กอีกครั้ง หยิบหนังสือเด็กที่มีภาพประกอบขึ้นมาอ่านต่อด้วยความเพลิดเพลิน
โจวเจ๋อยืนข้างหลังเธอ และวางสองมือไว้ด้านหลังเธอ
บีบคอเธอ
บีบคอเธอซะ
ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะคิดอย่างไร
และไม่จำเป็นต้องแสร้งแกล้งหลอกเป็นผีอีกต่อไป!
เสียงนี้ดังขึ้นมาในใจของโจวเจ๋อ นี่ไม่ใช่เสียงของคนอื่น แต่เป็นเสียงภายในใจของโจวเจ๋อ
เมื่อเทียบกับสวี่ชิงหล่างเถ้าแก่ร้านบะหมี่ที่อยู่ข้างๆ สาวน้อยโลลิที่อยู่ตรงหน้า ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกตื่นเต้นและรังเกียจมาก
เขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอ
เธอน่ารักมาก
ฉลาดมาก
เชื่อฟังมาก
มีความรู้มาก
ด้วยหน้าที่และกฎเกณฑ์ที่หายากสำหรับเด็กในวัยนี้
บางทีอาจเป็นเพราะเธอสร้างความประทับใจที่ดีมากๆให้กับตัวเองตั้งแต่แรก เพราะเหตุนี้ หลังจากที่โจวเจ๋อได้เห็นและรู้ธาตุแท้ของเธอ การบิดเบือนและความตาลปัตรของช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นลดลง ทำให้ความรังเกียจและการต่อต้านของโจวเจ๋อแกร่งยิ่งขึ้น
สาวน้อยโลลิยังคงอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป ราวกับว่าไม่ใส่ใจโจวเจ๋อที่อยู่ด้านหลัง และก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย
โจวเจ๋อจ้องมาที่เธอ แม้แต่ขนบางอ่อนเล็กๆ ที่หลังคอก็มองเห็นได้ชัดเจน
บีบ หรือไม่บีบ
สรุปแล้ว บีบหรือไม่บีบ
…
“พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ผมขอพักผ่อนหนึ่งวัน”
สวี่ชิงหล่างวางอาหารจานเย็นและอาหารจานร้อนสองสามจานไว้บนโต๊ะเล็กๆ รวมทั้งวางเหล้าไว้สองแก้วในด้านหลังร้าน
แก้วหนึ่งคือเหมาไถรสชาติที่พ่อชอบที่สุดตอนยังมีชีวิตอยู่
อีกแก้วหนึ่งเป็นไวน์ข้าวที่กลั่นเอง ตอนที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเธอก็รังเกียจที่พ่อดื่มเหล้าด้วย ไปกินอาหารเย็นบ้างเป็นบางครั้ง ถ้าที่บ้านคึกคักครื้นเครงสักหน่อย แม่จะดื่มไวน์ข้าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม่มักจะพูดว่าไวน์ข้าวเลี้ยงคน
วางเชิงเทียนสองเล่มไว้ที่มุมของโต๊ะทั้งสองฝั่ง แสงไฟริบหรี่
หนังมนุษย์ทั้งสองผืนถูกแขวนไว้ที่ตำแหน่งด้านหลังและไร้สายลมพัด
สวี่ชิงหล่างดื่มอวยพรกับพ่อของเขาก่อนหนึ่งจอก แล้วค่อยไปดื่มกับแม่อีกหนึ่งจอกเล็กๆ
หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วพูดกับพ่อแม่
“กินอาหาร กินอาหารได้ พ่อ จะแย่งเนื้อของผมไปกินอีกแล้วเหรอ!”
เขาคีบเนื้อหลายชิ้นแล้วรีบยัดเข้าปากกลืนมันลงไป
ในความทรงจำตอนเด็กๆ พ่อมักจะชอบแกล้งแย่งเนื้อตัวเองกิน แต่ทุกครั้งกลับทำให้ตัวเองต้องกินอย่างตะกละตะกลาม สุดท้ายปากก็บวมเป่งจนกลืนไม่ได้
และในเวลานั้นแม่เขาก็จะโมโหพ่อและคอยตบหลังให้เขาเบาๆ
วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่
คนส่วนใหญ่เซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษก่อนหน้านี้
แต่สวี่ชิงหล่างกลับต่างออกไป ที่เขาทำในวันนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุไปพร้อมกันในวันนี้
วันฉลองปีใหม่
ในสายตาของคนทั่วไปได้สูญเสียสิ่งที่เรียกว่ากลิ่นอายแห่งปีไปบ้างเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ที่สวี่ชิงหล่างนี้ หมายความว่าช่วงเวลาที่เศร้ากลับมาเยือนอีกครั้ง
สูดหายใจเข้าลึกๆ
สวี่ชิงหล่างยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“พ่อครับ แม่ครับ”
เม้มริมฝีปาก
สวี่ชิงหล่างรินไวน์ข้าวให้ตัวเองอีกจอกแล้วดื่มหมดรวดเดียว
น้ำเมาแสบคอทำให้ใบหน้าที่บอบบางและน่ารักของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
เขาเป็นผู้ชาย
ใบหน้าที่งดงามกลับเป็นต้นตอของปัญหา
ถ้าวางไว้ในสมัยโบราณคงเป็นข้อห้ามของจักรพรรดิและองค์ชายหลายๆ องค์ แน่นอนว่าแม้ในยุคปัจจุบันหากเขาเต็มใจก็สามารถตามน้ำตามกระแสไปแล้ว
ผู้ชายที่สามารถงัดข้อกับผู้ชายที่ดื้อรั้นได้ มันน่ากลัวแค่ไหน ตัวเองนั้นรู้อยู่แก่ใจ
ลังเลอยู่นาน
ครุ่นคิดอยู่นาน
สวี่ชิงหล่างก็ทนไม่ไหวแล้ว
เอ่ยขึ้น
“ข้างบ้าน…คนข้างบ้านคนนั้น ผมจะหาโอกาสไปถามเขา ถามเขาดู…ถามเขาว่าเขากลับมาได้ยังไงกันแน่!”
สวี่ชิงหล่างไม่ได้เมา แต่เขาพูดไม่ชัดนิดหน่อย
เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองรู้อยู่แก่ใจ คำตอบนี้ คนข้างบ้านคนนั้นไม่ยอมนั่งลงบอกกับตัวเองดีๆ เหมือนกับที่เคยพูดคุยกันเมื่อในอดีตหรอก
ในขั้นตอนนี้ ท้ายที่สุดมันจะไม่เป็นที่พอใจและมันจะช่วยให้ตัวเองใช้วิธีการบางอย่าง
หนังมนุษย์ทั้งสองผืนหยุดแกว่งไกว ราวกับว่าไม่ชอบใจ
“พ่อครับ แม่ครับ ไม่เป็นไรหรอก ลูกชายคนนี้จะต้องทำให้พวกท่านกลับคืนมาให้ได้”
“เคร้ง!”
“เคร้ง!”
ตะเกียบทั้งสองคู่ร่วงหล่นบนพื้น
สวี่ชิงหล่างที่ถือตะเกียบไว้ในมือตัวเองชะงักไปครู่หนึ่ง
แต่ก็ยังคงส่ายหัว
“ไม่ได้”
‘ครั้งนี้จะไม่ฟังพวกท่าน ท่านไม่เห็นด้วย ผมก็จะไปง้างปากของเขาออก!’
…
บีบ
หรือว่าไม่บีบ
โจวเจ๋อยังคงคิดเรื่องนี้อยู่
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงลังเลเช่นนี้ และไม่เข้าใจว่าตอนนี้เขากำลังสับสนตรงไหนอยู่กันแน่
เขาเป็นผี
ไม่ใช่แพทย์ในชาติก่อนอีกแล้ว
เขามีอันตรายมาก และสถานการณ์ของเขาก็แย่มากด้วย ด้วยเหตุนี้ ชัดเจนว่าเขาควรบีบคอตัวคุกคามทั้งหมดที่อยู่ในเปลไว้ก่อน
สาวน้อยโลลิคนนี้ก็คือภัยคุกคามของตัวเอง
เธอมาหาตัวเองแล้ว
เธอมาหาเขาด้วยตัวเอง
เหมือนกับวิญญาณของเธอที่มาพูดกับตัวเองในวันนั้น
เธอน่าจะเล็งเขาไว้ตั้งนานแล้ว
เด็กๆ ต่างก็รู้จักนิทานเรื่องชาวนากับงูเห่า โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองเคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้แล้วทุกอย่างจะสบายใจได้
อันที่จริง ความเกลียดชังส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนพัฒนาจากบุญคุณกันทั้งนั้น
เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อค่อยๆ ยาวขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีหมอกสีดำเลือนลางล้อมรอบปลายนิ้วของโจวเจ๋อ
ในขณะนี้
นัยน์ตาของโจวเจ๋อยังมีประกายสีดำที่ไหลวนอยู่
จำเป็นต้องบีบคอเธอให้ตาย
บีบคอเธอให้ตายซะ!
โจวเจ๋อพูดกับตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขายังมีชีวิต และเขายังมีสิ่งที่อยากทำ
เขายังอยากขี้เกียจ ยังอยากคิดถึง ยังอยากจะครุ่นคิด
ไม่อยากจะเป็นเหมือนเด็กและผู้ใหญ่ที่อยู่บนเส้นทางสู่นรก ที่รู้เพียงวิธีก้าวไปข้างหน้าทีละขั้นอย่างเฉื่อยชาและว่างเปล่าเท่านั้น
โจวเจ๋อยกมือทั้งคู่ขึ้น
เข้าใกล้สาวน้อยโลลิอย่างช้าๆ
สาวน้อยโลลิกำลังอ่านหนังสืออยู่ อ่านมันอย่างตั้งใจ พร้อมอมยิ้มที่มุมปาก สุดแสนจะน่ารัก
ทันใดนั้น เธอก็สัมผัสได้ว่ามีนิ้วสองนิ้วที่วางบนขมับทั้งสองข้างของเธอ
เธอถามด้วยความสงสัย “คุณลุงคะ จะทำอะไร”
“บีบคลึงให้หนูน่ะ ดูแลสายตา”
“อืม” สาวน้อยโลลิตอบและอ่านหนังสือต่อ
แรงกดนวดขมับกำลังดีเลย ทำให้สาวน้อยโลลิรู้สึกสบายตัวมาก
ต่อมา สาวน้อยโลลิเห็นคุณลุงเดินไปนั่งที่เก้าอี้หลังเคาน์เตอร์อย่างเงียบๆ
“คุณลุง เป็นอะไรไปคะ”
“ไม่เป็นไร” โจวเจ๋อโบกมือปัด
สาวน้อยโลลิก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
จากนั้นได้ยินเสียง ‘เพียะ!’ ดังใสแจ๋ว
สาวน้อยโลลิเงยหน้าขึ้นมองที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง และพบว่าใบหน้าของโจวเจ๋อแดงขึ้น
“คุณลุงคะ”
“ตบยุงน่ะ” โจวเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกถึงที่สุดแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วถอนหายใจในใจ ‘ให้ตายสิ ก็ยังทำไม่ลงอยู่ดี ทำไมตัวเองถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้?
เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยโลลิไม่รู้ว่าในฤดูหนาวมียุงที่ไหน แต่ก็ยังยืนขึ้นและมองไปรอบๆ ราวกับว่ากำลังช่วยโจวเจ๋อหายุง
ให้ตายเถอะ
เสแสร้งต่อไป
เป็นนักแสดงได้แล้วเนี่ย
ยังแสดงอยู่อีก! แถมยังแสดงได้สมจริงมาก!
รีบๆ แลบลิ้นออกมาเดี๋ยวนี้!
เรามาสู้กันสักตั้ง! จะฆ่าผมหรือจะให้ผมฆ่าดีล่ะ ยังมีหน้ามาทำหน้าตาใสซื่อใส่อีก คิดว่าผมจะไม่กล้าลงมือเหรอ
ผม…ทำไม่ลงจริงๆ นั่นแหละ
แม่ง!
โจวเจ๋อจนปัญญาจริงๆ หันหลังไปเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำ แล้วสาดน้ำเย็นใส่หน้าตัวเองแรงๆ
“เมื่อก่อนเป็นหมอ การช่วยชีวิตคน มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นอาชีพแม่งเอ้ย นายกลายเป็นผีไปแล้วด้วยซ้ำ ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้!ตัวไร้ประโยชน์!”
โจวเจ๋อมองเข้าไปในกระจกและเริ่มดุตัวเองในกระจก
หลังจากนั้น โจวเจ๋อกลับพบอีกว่า ความถี่ที่ด่าตัวเองในช่วงนี้ดูเหมือนจะสูงกว่าความถี่ในการด่าสวีเล่อเสียอีก
และสาวน้อยโลลิที่เดิมทีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในร้านหนังสือ กลับวางหนังสือลงในเวลานี้
สายตาชำเลืองมองไปทางประตูห้องน้ำอย่างลึกซึ้ง แต่กลับไม่ได้เดินไปที่นั่น แต่เดินออกจากร้านหนังสือมาถึงร้านข้างๆ
…
“พ่อ แม่ ต่อให้พยายามเกลี้ยกล่อมผมยังไงมันก็ไร้ประโยชน์ ผมอยากให้พ่อแม่นั่งกินข้าวกับผมได้จริงๆ ถ้าเขาทำได้ ผมก็ทำให้พวกท่านเป็นแบบนี้ได้เช่นกัน! ครอบครัวของเรา ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้เหมือนเมื่อก่อน”
สวี่ชิงหล่างยังคงพูดพล่ามต่อไป
ทันใดนั้น หนังมนุษย์ทั้งสองผืนที่เดิมทีห้อยอยู่ที่โต๊ะเล็กๆ เริ่มแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง
สวีชิงหล่างเผยสีหน้าตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ยันต์กระดาษสีเหลืองที่แปะอยู่ข้างบนห้อง ด้านหลังของตัวเอง กลับพบว่ายันต์กระดาษเหล่านั้นกลายเป็นสีเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทันใดนั้นเขาก็เปิดม่านและพุ่งออกไป
เขาเห็นสาวน้อย ยืนอยู่ในร้านบะหมี่ของเขา
สาวน้อยอ้าปาก แลบลิ้นยาวๆ ออกมา
ยาวมาก
ยาวเหลือเกิน
ยาวจนน่ากลัว!
“ไปยมโลก ต่อแถวทีละคน”
เสียงของคนที่เศร้าหมองออกมาจากปากของสาวน้อย
วินาทีต่อมา หนังมนุษย์ทั้งสองในห้องด้านหลัง เริ่มเหี่ยวเฉาเซื่องซึมและเสื่อมสภาพ ไม่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นอีกต่อไป และกระแสลมสีขาวสองดวงก็ลอยออกมา ลงมาที่ด้านข้างกายสาวน้อย แปรเปลี่ยนเป็นคนวัยกลางคนสองคนเป็นชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง
พวกเขาโยกโอนเอนไปมา เหมือนจะลืมทุกอย่างไป
รู้แค่ว่าเดินทึ่มๆ ทื่อๆ ตามลิ้นยาวของสาวน้อยที่ออกจากปากไปทีละก้าว ราวกับลิ้นของหญิงสาวเป็นบ้านหลังสุดท้ายของพวกเขา และนำพาไปสู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
ร่างของพวกเขาค่อยๆ จางลงและเลือนลางมากยิ่งขึ้น
“แก…แก…จริงๆ แก…แกคือ…”
สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่สาวน้อยโลลิปากหวานที่ตัวเองเพิ่งจะอุ้มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่หลังจากตอนที่เขาเห็นว่าพ่อแม่ของตัวเองค่อยๆ มลายหายไปนั้น
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มบ้าคลั่งในทันทีและพยายามจะพุ่งเข้ามา แต่ทว่า เท้าทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนถูกพันธนาการไว้และไม่สามารถวิ่งได้ แต่กลับล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง
เขายื่นมือชี้ไปที่พ่อแม่ของตัวเองและเริ่มอ้อนวอน
“อย่าเอาพวกเขาไปเลย อย่าเอาพวกเขาไป ผมไม่ได้ทำร้ายใคร ผมไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน ผมเพียงแค่อยากอยู่กับครอบครัว พวกเขาก็ไม่เคยทำร้ายใคร! ไม่ ไม่นะ ผมขอร้อง ผมขอร้องล่ะ ได้โปรด…”
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้า การร้องไห้อ้อนวอนพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากของสวี่ชิงหล่าง
สาวน้อยโลลิยังคงรู้สึกเฉย จนกระทั่งวิญญาณทั้งสองหายไปอย่างสมบูรณ์ และเธอก็เก็บลิ้นยาวๆ ของตัวเองกลับคืนมา จากนั้นจึงเปลี่ยนกลับไปเป็นรูปร่างหน้าตาสาวน้อยที่น่ารักคนนั้นอีกครั้ง
สวี่ชิงหล่างรู้สึกเหมือนถูกคนบังคับขุดพื้นที่ตรงอกของตัวเองไปแล้วสองชิ้น
พ่อแม่ของเขาจากตัวเองไปแล้วอย่างสมบูรณ์
ดวงตาของสวี่ชิงหล่างเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาทุบพื้นกระเบื้องและกระแทกอย่างแรง
ทันใดนั้น เหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างออก
เขาชี้ไปที่ข้างบ้านและคำรามออกมาทันที
“เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ ทำไมแกไม่พาเขาไป ทำไมแกถึงไม่พาเขาไปด้วย! มันไม่ยุติธรรม ที่แกทำมันไม่ยุติธรรมเลย! เขาก็ไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย ทำไมแกถึงพาแค่พ่อกับแม่ของฉันไป เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรม!”
……………………………………….