ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 22 โมโห
ตอนที่ 22 โมโห
โจวเจ๋อคิดว่าตัวเองน่าจะตาฝาด เมื่อครู่ฟังเรื่องผีที่เกี่ยวกับสุนัขของผู้ชายเมาปลิ้นคนนั้น บวกกับแสงไฟสลัวข้างทาง ดังนั้นเกิดตาฝาดจึงเป็นเรื่องปกติ
ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ
โจวเจ๋อไม่ใช่คุรุเทพจางเทียนซือแห่งเขามังกรเสือ เขารู้ว่าตัวเองยังพอมีความเป็น ‘คนแสนดี’ อยู่บ้าง เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงเอื้อมมือใช้เล็บจิกเด็กผู้หญิงตัวน้อยไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวเองถูกเด็กผู้หญิงตัวน้อยบีบคอแล้วก็โดนบีบคอเกือบตายเหมือนเดิม
จากนั้นก็ไม่รู้แล้ว
ในเมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นก็พยายามไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับผลกระทบจากเรื่องแย่ๆ จะดีกว่า เรื่องที่พบเห็น หากหลบได้ก็จงหลบ หากปิดตาได้ก็จงปิดตา
อย่างไรเสียสุนัขตัวนั้นได้แกล้งผู้ชายคนนั้นมาเจ็ดปีเต็มแล้ว หากลองคำนวณดูก็ครบอาถรรพ์รักเจ็ดปีพอดี
ถ้าหากสุนัขตัวนั้นอยากทำร้ายคนจริงๆ คงทำไปนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมมันยังทำแบบนั้นต่อ โจวเจ๋อก็ไม่สนใจ
หญิงสาวมาถึงร้านตนเอง ซื้อน้ำชดใช้ค่าหนังสือ ใจป้ำจ่ายเงิน นี่คือกรรมดีอย่างหนึ่งนับว่าเพียงพอแล้ว
ทว่าโจวเจ๋อเพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรก บนโลกใบนี้ สิ่งที่เหนือความคาดหมายมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ หรือนี่อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นคนก่อนหน้านั้น ตอนนี้ตัวเองกลายเป็นผีแล้ว แวดวงจึงไม่เหมือนกัน มุมมองของการมองโลกจึงไม่เหมือนเดิมเป็นธรรมดา
“เป็นอะไรเหรอคะ” หมอหลินเวลานี้เดินมาที่หน้าประตูร้าน
โจวเจ๋อตอบพลางหัวเราะ “ผมรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองไม่เหมือนสไปเดอร์แมน ไม่มีญาติอาวุโสที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาพูดกับผมว่า พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่”
หมอหลินฟังไม่เข้าใจ แต่เธอก็ยังต้องพูด “ฉันต้องกลับแล้วค่ะ”
ดึกแล้ว จริงๆ ก็ควรกลับได้แล้ว
“ไม่นั่งต่ออีกหน่อยเหรอครับ”
“วันพรุ่งนี้อาจจะต้องเข้างานกะดึกค่ะ” หมอหลินตอบพลางผูกผ้าพันคอของตัวเอง
“เลื่อนก็ได้นี่ครับ” โจวเจ๋อพูด
“ไม่สะดวกค่ะ”
“ไม่อยาก”
หมอหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือเธอสัมผัสการพูดจาก้าวร้าวข่มคนอื่นของโจวเจ๋อเป็นครั้งแรก จนเธอทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
“คุณเป็นภรรยาของผม” โจวเจ๋อมองหมอหลิน แล้วเอ่ยพูดอย่างจริงจัง
หมอหลินถอยหลังไปครึ่งก้าว “เมื่อวาน คุณบอกว่า…”
โจวเจ๋อของเมื่อวาน พูดว่าอยากจะจบเพื่อให้ทั้งสองคนได้เป็นอิสระจากกัน
“เมื่อวานก็คือเมื่อวาน” โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าครึ่งก้าว “ก่อนที่ผมยังไม่ได้เซ็นใบหย่าให้กับคุณ ผมก็คือสามีของคุณ และคุณก็คือภรรยาของผม ดังนั้น ตอนนี้ผม อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม!”
เสียงของโจวเจ๋อดังขึ้นเรื่อย ๆ
หมอหลินไม่พูดและยืนอยู่กับที่
ทันใดนั้นไฟนิรนามก็ลอยขึ้นในหัวใจของโจวเจ๋อ
เขายื่นนิ้วออกมาบีบคางของหมอหลินแล้วจับคางของเธอขึ้นมาด้วยการกระทำที่หยาบคาย
หมอหลินมองเขาด้วยสายตาที่สดใสและสงบนิ่ง โดยเฉพาะริมฝีปากแดงอมชมพูนั่น ช่างทำให้คนรู้สึกหลงใหลยิ่งนัก เธอสวยงาม สวยมากจริงๆ นั่นคือใบหน้าที่งดงามและมีความเข้ากันมากกับบุคลิกของเธอ ให้ความรู้สึกที่สบายเป็นอย่างมาก
โจวเจ๋อก้มหน้าลงไปโดยตรง
หมอหลินยกมือขึ้นมา เหมือนจะตบหน้าชายหนุ่ม แต่มือที่ยกขึ้นกลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศ แล้วลดลงอย่างช้าๆ
มีน้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากหางตาของเธอ
“คุณร้องไห้หาพระแสงอะไร”
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นพลางมองหลินหวั่นชิว
“คุณคิดว่าคุณร้องไห้ จะทำให้ผมรู้สึกผิดงั้นหรือ คุณคิดว่าคุณร้องไห้แล้ว จะทำให้ผมหยุดได้เหรอ ผมจะบอกคุณให้นะ วันนี้คุณร้องไห้ก็ไม่มีประโยชน์ คุณเป็นภรรยาของผม ผมเป็นสามีของคุณ! คุณดูพ่อแม่ของคุณ คิดอะไร คุณดูน้องสาวของคุณว่าปกติมองผมยังไง! แล้วดูคุณสิ คุณมันสูงส่ง คุณมันเย็นชา คุณเป็นเทพธิดานางฟ้า คุณไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์! ในห้องนอน คุณยังต้องแยกนอนกับผม! พอแต่งงาน คุณก็คือผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นให้ความสนใจกับความบริสุทธิ์ของตัวเอง โดยไม่ดูเลยว่าคุณเหมาะสมไหม! ผมรู้ ว่าผมเป็นไอ้โง่ ในสายตาของครอบครัวของคุณ ผมเป็นแค่ไอ้โง่ที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง!”
มือข้างหนึ่งของโจวเจ๋อบีบคอของหมอหลิน แล้วผลักเธอไปที่ข้างเคาน์เตอร์ จากนั้นก็ถอดเสื้อโค้ทของหมอหลินออกโดยตรง
“วันนี้ผมจะสอนคุณ จะบอกคุณ ว่าภรรยาต้องทำยังไง!”
“สวีเล่อ…” หมอหลินไม่ได้ขัดขืน เธอมองโจวเจ๋ออย่างเย็นชา “คุณมัน…สารเลว…”
“เหอะๆ” โจวเจ๋อหัวเราะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ถอดเสื้อโค้ทของตัวเอง แล้วกดหมอหลินไปบนเคาน์เตอร์โดยตรง
แต่ในเวลานี้ จู่ ๆ โจวเจ๋อก็หยุดการกระทำของเขา แล้วเซถอยหลังไปสองสามก้าว
หมอหลินนอนอยู่บนเคาน์เตอร์ต่อหน้าตัวเอง และตัวของโจวเจ๋อ…
ไม่ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
หมอหลินยังนอนอยู่บนเคาน์เตอร์ เธอยังคงลืมตาและไม่มีการตอบสนองใดๆ
เธอรู้สึกผิดต่อสวีเล่อ เธอเป็นผู้หญิงแกร่งและรักอิสระคนหนึ่ง แต่สภาพแวดล้อมสังคมของเธอรวมทั้งการอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็กของครอบครัว ทำให้เธอมีความขัดแย้งในตัวเองมาตลอด
พ่อแม่ขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย เพื่อรอคอยวันที่หลานชายจะออกมาลืมตาดูโลก เธอจึงต้องตกลงแต่งงานกับสวีเล่อและยืนหยัดต่อเส้นขีดจำกัดของตนเอง เธอมีชายอื่นอยู่ในใจ ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะจากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุรถชนเมื่อครึ่งปีก่อนก็ตาม ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นอาจจะลืมตัวเองไปแล้ว กระทั่งไม่รู้ว่าเมื่อสองสามปีหลังจากสิ้นสุดการฝึกงานแล้ว ผู้หญิงอย่างเธอได้แอบให้ความสนใจเขามาตลอด
หากจะใช้สไตล์การบรรยายทั่วไปตามหนังสือเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมต้น ก็คือหมอหลินเลือกที่จะยอมจำนนต่อกฎประเพณีของระบบศักดินาในชีวิตของเธอ แต่ในใจกลับไม่ยอมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป เพราะกลางใจของเธอ ยังมีความแน่วแน่และความขัดแย้งของตัวเองอยู่
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้ในใจจะไม่ยอมเป็นหมื่นครั้ง หลินหวั่นชิวก็ยังไม่ตอบโต้ และปล่อยให้โจวเจ๋อกระทำตามอำเภอใจ
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏเสธ โจวเจ๋อเป็นสามีของตัวเอง พฤติกรรมหลังจากการแต่งงานของเธอตัวเองก็รู้ดี และรู้สึกขอโทษสามีสำหรับการแต่งงานครั้งนี้
ไม่ยอมรับ และไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ต่อต้าน
“ใส่เสื้อผ้า ใส่เสื้อผ้าให้ดี!”
โจวเจ๋อตะคอกใส่หลินหวั่นชิวที่ยังนอนอยู่บนเคาน์เตอร์
หลินหวั่นชิวตกตะลึงเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนแล้วมองโจวเจ๋อแบบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อครู่เธอได้ยอมรับโชคชะตาแล้ว
“ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรคุณ คุณก็ทำท่าเหมือนถูก…ข่มขืน รีบใส่เสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เร็วๆ จากนั้นก็ไสหัวไป!”
หมอหลินใส่เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเงียบๆ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยต่อหน้ากระจก เธอมีสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจึงรินน้ำร้อนใหม่ให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้วแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ จากนั้นก็เดินออกไปจากร้านหนังสือ โดยไม่หันหลังกลับมามองโจวเจ๋อเลยสักนิด
โจวเจ๋อทรุดนั่งลงไปบนพื้น รู้สึกงงงวย ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงหยุด และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ทำต่อ
ทั้ง ๆ ที่…
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกแปลกๆ ดูเหมือน นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ตัวเองต้องการ
เมื่อครู่เขาคิดจะปฏิเสธ และเธอก็ตกลงแล้ว
แต่ฉากเมื่อครู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
โจวเจ๋อลุกคลานขึ้นมาอย่างโซเซ เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มไปหนึ่งที จากนั้นก็พ่นน้ำร้อนออกมา น้ำนี้ร้อนชะมัดไม่ได้เติมน้ำเย็นผสมลงไปเลยสักนิดเดียว
จากนั้นจึงโยนแก้วทิ้ง ปล่อยให้น้ำหกตามพื้น โจวเจ๋อมองไปรอบๆ ย้อนนึกการกระทำเมื่อครู่ของตนเอง พยายามนึกย้อนคำพูดที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่
ต่อมาก็กำหมัด หลังจากกำหมัดแน่นแล้วจึงคลายลง จากนั้นก็กำหมัดเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วอีก
เขาเดินมาที่ห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำของอ่างล้างหน้า ปล่อยให้น้ำรดหน้าศีรษะของตัวเอง
เขาต้องการความสงบ ต้องการความสงบใจ
ไม่ใช่แค่สงบจิตใจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มไฟที่อยู่กลางใจของตัวเองอีกด้วย
น้ำเย็นในฤดูหนาวสาดหน้า ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะทนไหว โจวเจ๋อเงยหน้า รู้สึกว่าตัวเองมึนศีรษะเล็กน้อย
เขายืนอยู่หน้ากระจก ภายในกระจกสะท้อนสีหน้าท่าทางของตนเองออกมา
สองมือของโจวเจ๋อจับขอบกระเบื้องอ่างล้างหน้าอย่างแน่น หายใจหอบไม่หยุด จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นช้าๆเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเองว่า
“เป็นนาย!
“เป็นนายไอ้ชั่วสมควรตาย นายมันสวะ! นายกำลังมีอิทธิพลกับฉัน นายคิดจะควบคุมฉัน นายมันเศษขยะ เศษเดน ไอ้ชาติหมา!”
โจวเจ๋อสบถด่าตัวเองที่อยู่ในกระจก
ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เขา การแสดงออกของเขาเมื่อครู่ผิดปกติเกินไป นั่นคือไฟเพลิงนิรนาม นั่นคือความโง่เขลาบัดซบที่ไร้เหตุผล นั่นคือความหุนหันพลันแล่นที่เกิดขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ
และไม่ใช่อารมณ์ของหนุ่มเลือดร้อนแบบนั้นแน่นอน
และเมื่อครู่ ก็คือตอนนั้น
มีคนหนึ่งที่ตัวเองคิดว่าน่าจะลงนรกไม่อยู่บนโลกนี้ไปนานแล้ว
เขามีอิทธิพลกับตัวเอง
เขาไม่ได้ไปไหน
เขายังหลบซ่อนอยู่ข้างกายตัวเอง
กระทั่งว่าเขาซ่อนแฝงอยู่ภายในร่างกายของตัวเอง!
เขาไร้ค่า เขาอ่อนแอ เมื่อมีชีวิตอยู่เขาโดนดูถูกเหยียดหยาม ไม่กล้าตอบโต้ และไม่กล้าที่จะเงยหน้า แต่หลังจากตายไปแล้ว เขาขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง แต่กลับคิดอยากจะยืมมือของคนอื่น ใช้การกระทำที่หยาบคายที่สุดแก้แค้นภรรยาของตัวเอง!
ยืมพลังของผู้อื่น แก้แค้นภรรยาของตัวเอง
“เมื่อก่อนฉันเห็นใจนาย รู้สึกขอโทษนายอยู่บ้าง” โจวเจ๋อพึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว คนน่าสงสารต้องมีความแค้นเป็นของเขา ก่อนหน้านั้นนายมีชีวิตแบบนั้น คงได้แต่พูดว่านายมันสมน้ำหน้า!”
“ปัง!”
โจวเจ๋อยกกำปั้นของตัวเองแล้วตบไปที่กระจกโดยตรง
กระจกแตกกระจาย
ฝ่ามือของโจวเจ๋อมีเลือดไหลลงมา เลือดสดเริ่มหยดลงในอ่างล้างหน้า
บนเศษกระจกที่เหลือยังคงสะท้อนใบหน้าของโจวเจ๋อออกมา
ไม่สิ เป็นใบหน้าของสวีเล่อ
โจวเจ๋อยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อน
คนที่อยู่ในกระจกก็ไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน
แต่วินาทีต่อมา คนที่อยู่ในกระจกกลับฉายแววตาอำมหิตออกมา แล้วเอ่ยพูดในขณะเดียวกัน
“โอ๊ะ ถูกนายจับได้แล้ว”
…………………………………………………………………………