ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 228 ราชาปลาเค็มจะบำเพ็ญเซียน!
ตอนที่ 228 ราชาปลาเค็มจะบำเพ็ญเซียน!
“มา ชาขมใบเดียว”
หวังเคอวางชาลงตรงหน้าโจวเจ๋อ
ชาขมใบเดียวหรือที่รู้จักกันในชื่อชาขม ช่างสมกับชื่อของมัน
ตอนที่หวังเคอเริ่มดื่มชาก็หลงใหลในรสชาตินี้มาก วันปกติแล้วเมื่ออยู่ที่บ้านหรือที่ห้องทำงานก็จะมักจะดื่มชาชนิดนี้เสมอ
สามารถบอกได้ว่าเขากำลังระลึกถึงอดีตที่ทั้งทุกข์ตรมและสุขสันต์ ซึ่งเขาก็สมควรที่จะ ‘นึกถึงความทุกข์ในอดีต และนึกถึงชีวิตที่เป็นสุขในปัจจุบัน’ จริงๆ
จากการเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรเลยจนมาถึงทุกวันนี้ นับว่าประสบความสำเร็จจนถึงที่สุดแล้ว ความยากลำบากที่จ่ายไปในระหว่างนี้ล้วนกำลังกระเพื่อมอยู่ในถ้วยชาขมนี้
โจวเจ๋อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เคี้ยวผงชาช้าๆ ก่อนจะวางถ้วยชาลงและจุดบุหรี่อีกมวน
“เหงาละสิ”
หวังเคอพูดขึ้น
โจวเจ๋อพยักหน้า
ในฐานะจิตแพทย์ สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการสังเกตคำพูดและสีหน้า นี่เป็นวิชาที่ดูเหมือนจะเรียนรู้ง่าย แต่แท้จริงแล้วการเรียนรู้ได้ดีนั้นกลับยากมาก
“ลูกสาวนายล่ะ”
“อ้อ ใกล้เลิกเรียนแล้ว”
“พี่สะใภ้ล่ะ”
“ไปทำผม จากนั้นก็น่าจะไปรับลูกที่โรงเรียน ใช้เวลาไม่นานเท่าไรก็น่าจะกลับมาได้แล้วละ”
“นายก็ใจกว้างเหลือเกิน ยังกล้าวางใจปล่อยให้เธอออกไปข้างนอกอีก”
“ส่วนใหญ่เธอก็ปกติดี”
หวังเคอสูดกลิ่นจากถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นยกขึ้นมาจิบลิ้มรส
รสขมปร่าไหลผ่านลำคอ ไม่ด้อยไปกว่าเหล้าขาวเสียดแทงลำไส้
“ฉันอยากคุยกับใครสักคน แต่ฉันไม่รู้จะไปหาใคร แล้วฉันก็นึกถึงนายขึ้นมา”
หลังจากโจวเจ๋อพูดจบก็ยิ้มๆ
จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วเขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย
การฆ่าดวงวิญญาณของหญิงชราในคราวเดียวนั้น ไม่ได้ทำให้โจวเจ๋อระบายความเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟในใจออกไปเลย กลับกลายเป็นตรงกันข้าม นี่ดูเหมือนการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงหลังจากกิน ‘อาหารจานด่วน’ ริมถนนได้จบลงแล้ว
แต่หลังจากออกมา กลับยากที่จะซ่อนความรู้สึกหดหู่และความว่างเปล่าลึกๆ ในใจเอาไว้ได้
โจวเจ๋อไม่คิดว่าการกระทำของเขาเป็นความตรงไปตรงมาและเด็ดขาด นั่นเป็นเพียงสุนัขจนตรอกคนหนึ่งที่แสดงความบ้าคลั่งออกมาหลังจากถูกบีบคั้นและต้อนให้จนมุมเท่านั้น การกระทำที่บ้าบิ่น ไม่มีอะไรที่ต้องอวด
ท้ายที่สุด สะพานไน่เหอจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ เขาจะถูกจัดการในเร็วๆ นี้หรือไม่ เขาไม่แน่ใจ และก็ไม่รู้ด้วย
“ฉันสามารถเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ของนายได้นะ ตอนเด็กๆ เราต่างก็เป็นเหมือนกันนี่นา” หวังเคอดันที่เขี่ยบุหรี่ไปตรงหน้าโจวเจ๋อ และพูดต่อ “เราออกวิ่งได้แย่กว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมากโข และยังรับรู้ถึงวิกฤตมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วย เพราะเราเคยประสบกับความกลัวที่จะไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเราจึงเข้าใจเหตุผลและวิธีรักษามันไว้”
โจวเจ๋อมองหวังเคอ และไม่พูดอะไร
“ตอนนี้นายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าเรายังอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”
“เหอะๆ”
“จริงๆ นะ ความรู้สึกไร้ที่พึ่งพิง ความลังเล และความสับสนเกี่ยวกับอนาคตแบบนั้น ฉันมองเห็นได้จากตัวนายอย่างชัดเจนเลยละ”
“ฉันไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรกต่างหาก ชาติที่แล้ว หลังจากดิ้นรนจนอายุสามสิบก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และถูกไฟคลอก
ชาตินี้ กลับค้นพบความจริงที่ยอมรับไม่ได้ยิ่งกว่า ปรากฏว่าการมีอยู่ทั้งหมดของฉัน เป็นเพียงความผิดพลาด เป็นแค่ความน่าจะเป็น กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเป็น…เรื่องตลก”
“แล้วไงต่อ นายตัดสินใจทำอย่างไร”
หวังเคอเอื้อมมือไปลูบคาง
พูดตามตรง สำหรับหวังเคอแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่อเผชิญกับลูกค้าทุกประเภท ความสามารถและความสำเร็จของเขาในด้านจิตวิทยารวมไปถึงประสบการณ์ของเขา สามารถช่วยเขาแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโจวเจ๋อ ความมั่นใจในตัวเองที่หวังเคอมีก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น
ถึงอย่างไรในโรงเรียนก็ไม่มีหลักสูตรการศึกษาทางจิตวิทยาเรื่อง ‘ผี’ โดยเฉพาะ
“คำถามของนายกว้างเกินไป” โจวเจ๋อพูด
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้นายวางแผนจะทำอย่างไร ไปทำอะไรบ้าง เช่น ตื่นนอนในตอนเช้า นายวางแผนจะทำอะไร ตอนเที่ยงวางแผนจะทำอะไร ตอนกลางคืนวางแผนจะทำอะไร อย่างนี้มันน่าจะชัดเจนขึ้นมาบ้าง”
“ตอนเช้า…”
โจวเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ตอนเช้าฉันจะนั่งอาบแดดริมหน้าต่างร้านหนังสือ แล้วก็ดื่มกาแฟ”
“…” หวังเคอ
หวังเคออั้นตัวเองไว้ไม่ให้สำลัก และกัดฟันถามต่อไป “งั้นตอนเที่ยงล่ะ หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ต่อเหรอ”
โจวเจ๋อยิ้มพลางส่ายหัวพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่อ่านหนังสือพิมพ์ และก็ไม่ดื่มกาแฟ”
“อืม งั้นก็ดี”
หวังเคอถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าคนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กยังพอมีทางช่วยได้
“หนังสือพิมพ์มีแค่นิดเดียวเอง ตอนเที่ยงถึงตอนบ่ายเปลี่ยนไปอ่านหนังสือแล้วกัน มีหนังสือมากมายในร้านหนังสือ อีกอย่างก็ไม่ได้นั่งที่เดิมแล้วด้วย ช่วงสายๆ แดดยังสบายตัวอยู่ แดดช่วงบ่ายนั้นจ้าเกินไป เลือกมาสักมุมหนึ่งนอนตะแคงเปิดหนังสืออ่านดีกว่า
เมื่อมีความสนใจแล้ว ก็จะอ่านวรรณกรรมจริงจังหรืองานเขียนสมัยโบราณบางประเภทดู เมื่อรู้สึกเบื่อแล้ว ก็จะหานวนิยายร่วมสมัยสักเล่มมาเปลี่ยนแนวบ้าง บางครั้งก็พบว่านวนิยายเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
และไม่ดื่มกาแฟด้วย ถึงอย่างไรการดื่มกาแฟมากเกินไปก็ไม่ดีต่อหัวใจ ฉันเคยเป็นหมอ ฉันเข้าใจความจริงข้อนี้ดี จะเปลี่ยนมาดื่มชาแทน แต่ก็ไม่ดื่มชาขมชนิดนี้ของนายหรอกนะ ที่ฉันมีชาดีๆ ที่ซื้อมาในราคาสูงไม่น้อยเลย”
“…” หวังเคอ
“ส่วนตอนกลางคืนน่ะเหรอ ก็คอยดูว่าจะมีลูกค้ามาเยือนหรือเปล่า ถ้าลูกค้ามาเยือนก็จะทำงาน ถ้าไม่มีลูกค้าละก็ ถึงเวลาก็จะปิดร้าน จากนั้นอาบน้ำและเข้านอน”
หวังเคอมองไปที่ที่เขี่ยบุหรี่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เขาก็มีแรงกระตุ้นในใจ นั่นคืออยากจะยกที่เขี่ยบุหรี่อันนี้ขึ้นทุ่มใส่ไอ้เด็กน้อยคนนี้ให้เลือดไหลอาบหัว!
“ชีวิตแบบนี้ มันน่าสนุกเหรอ”
หวังเคอเรียบเรียงคำพูดของตัวเองและพูดต่อ
“หรือว่า ชีวิตแบบนี้มันช่วยให้นายแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้เหรอ มันสามารถทำให้ปัญหาของนายดีขึ้นและคลายความกังวลของนายได้งั้นเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า
เห็นได้ชัดว่าไม่ บนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องดีๆ อย่างขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้าหรอกนะ
“งั้นนายยังคิดจะทำแบบนี้อยู่อีกเหรอ” หวังเคอโน้มน้าวใจ
พูดตามตรงเขารู้สึกเหนื่อยมาก เหนื่อยมากจริงๆ
“แต่ความทุกข์และความกังวลของฉัน แท้จริงแล้วคือฉันในอนาคต บางทีอาจจะใช้ชีวิตอย่างปลาเค็มแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพื่อปกป้องการใช้ชีวิตรูปแบบนี้ของฉันไว้ ทำไมตอนนี้ฉันต้องเป็นฝ่ายไปเปลี่ยนแปลงมันเองด้วยล่ะ”
หวังเคอเอื้อมมือไปเช็ดหน้าผาก เขารู้สึกสับสนกับคำพูดพวกนี้ของโจวเจ๋อแล้ว
ใช่แล้ว เถ้าแก่โจวค่อนข้างชอบชีวิตแบบนี้มาก แค่มีร้านหนังสือ สาวรับใช้หนึ่งคน หนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ และแสงแดด วันคืนผ่านพ้นไปแบบนี้ จะหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ก็ให้ผ่านไปแบบนี้
เขาไม่ชอบทำลายความสงบสุขนี้ และก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศนี้ด้วย
นี่คือสิ่งที่ตระหนักได้หลังจากที่เขาตายไปแล้ว เป็นมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากชาติที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
การสนทนาระหว่างชายทั้งสองดำเนินมาถึงคอขวด
โชคดีที่ประตูทางเข้าถูกเปิดออก สาวน้อยโลลิและแม่ของเธอกลับมาแล้ว
ทันทีที่เข้าประตูมา สาวน้อยโลลิจ้องมองโจวเจ๋ออยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธที่อยู่ลึกในดวงตาของนางนั้นชัดเจนมาก!
เขาสร้างปัญหาอีกแล้ว เขาก่อเรื่องอีกแล้ว สาวน้อยโลลิรู้สึกแย่มาก ทำไมตั้งแต่หลังจากที่นางติดตามเขา นางต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างวิตกกังวลในทุกๆ วัน!
หลังจากติดตามเขาแล้ว จู่ๆ สาวน้อยโลลิก็รู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเร้าใจยิ่งนัก!
เร้าใจจนจะไม่ไหวแล้ว!
หลังจากที่ภรรยาของหวังเคอกลับมาพร้อมลูกสาวก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่สนใจใคร สำหรับเรื่องนี้ โจวเจ๋อที่เป็นแขกกลับไม่รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม หากภรรยาของหวังเคอขอให้เขาอยู่กินอาหารค่ำด้วยอย่างมีไมตรีจิต นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่โจวเจ๋อไม่สามารถยอมรับได้มากที่สุด
“เสี่ยวหรุ่ยเอ๊ย ไปทำการบ้านเถอะลูก”
หวังเคอส่งสัญญาณให้ลูกสาวของเขาออกไปก่อน
หวังหรุ่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง สะพายกระเป๋านักเรียนและกลับขึ้นไปยังห้องชั้นบน
โจวเจ๋อก็ลุกขึ้นยืนและบอกลา
หวังเคอรั้งเขาไว้ อยากจะคุยต่ออีกสักพัก เขารู้สึกว่าเขาควรจะแทรกความมีชีวิตชีวาเข้าไปในมุมมองชีวิตของเพื่อนที่โตมาด้วยกันคนนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเหมือนการสีซอให้ควายฟัง
เมื่อเดินออกจากบ้านหวังเคอ โจวเจ๋อไม่รีบร้อนจากไป แต่นั่งลงบนม้านั่งในสวนของชุมชนแทน
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเล็กๆ ก็เดินมาด้านหลังโจวเจ๋อ
“โกรธมากเลยเหรอ”
โจวเจ๋อไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครมา
“โกรธจนชาไปทั้งตัวแล้ว”
สาวน้อยโลลินั่งลงบนม้านั่งข้างๆ โจวเจ๋อ
“ครูสอนคณิตศาสตร์เป็นคนสอนภาษาจีนให้เจ้าสินะ” สาวน้อยโลลิแขวะ
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางวิดีโอคอลกับโจวเจ๋อนั้น โจวเจ๋อดันฉีกดวงวิญญาณเป็นชิ้นๆ ไปเสียแล้ว!
แล้วยังพูดว่าเข้าใจความหมายที่นางสื่อแล้วอีกต่างหาก!
“เหอะๆ จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นตัวแทนวิชาภาษาจีนมาก่อน”
“อย่างนั้นการอ่านทำความเข้าใจก็ได้คะแนนเต็มจริงๆ” สาวน้อยโลลิพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าฆ่าคนไปทั้งอย่างนี้แล้ว นี่หมายความว่าเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะหมดหนทางไกล่เกลี่ยแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไว้ชีวิตนางก็จะมีหนทางเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้าและพูดอย่างสบายๆ
“คน…อ้อ ไม่สิ ผีก็ฆ่าไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“จะทำอะไรล่ะ ก็ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปน่ะสิ”
“จุดถังระเบิดไปแล้วจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะเหรอ”
โจวเจ๋อเงียบ
สิบนาทีผ่านไป โจวเจ๋อเอ่ยขึ้น “มีวิธีการบำเพ็ญเซียนอะไรบ้างไหม”
“เจ้าอยากเรียนเหรอ” สาวน้อยโลลิมองโจวเจ๋อด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอยากแกร่งขึ้นหรืออย่างไร”
“บางทีก็รู้สึกเบื่อๆ ก็เลยอยากจะหาอะไรทำน่ะ”
“เจ้าคิดว่านี่เป็นนวนิยายแฟนตาซีบำเพ็ญเซียนปัญญาอ่อน เหมือนหนังสือที่อยู่บนชั้นวางเหล่านั้นในร้านหนังสือของเจ้าน่ะเหรอ
เราเป็นยมทูต อย่างเช่นข้า ตั้งแต่ฟื้นคืนชีพมา ความสามารถทั้งหมดล้วนคงที่ พรสวรรค์ของเรา พลังเหนือธรรมชาติของเรา ถูกกำหนดไว้นานแล้ว
นอกเสียจากเจ้าจะไปเป็นเทพเจ้าในวิหารเพื่อสะสมบุญบารมีจากเครื่องหอมธูปเทียน หรือใช้วิธีสกปรกอื่นๆ การบำเพ็ญอย่างถูกทำนองคลองธรรม อาจจะมีผลกับในนรกนิดหน่อย แต่ก็ไร้ประโยชน์ในโลกมนุษย์”
“อย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริงๆ”
โจวเจ๋อรู้สึกเศร้าเล็กน้อย และเอื้อมมือไปนวดขมับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่าใจก็สงบลงเช่นกัน ร่องรอยความรู้สึกผิดสุดท้ายถูกลบไป
ดูสิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากก้าวหน้า ไม่ใช่เพราะฉันอยากเป็นเพียงปลาเค็มตัวหนึ่งเท่านั้น
ความเป็นจริงก็คือการจะบำเพ็ญเซียนหรือไม่นั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย
“แต่ว่า…” จู่ๆ สาวน้อยโลลิก็เปลี่ยนแนวอย่างกะทันหัน
จากนั้น เถ้าแก่โจวเจ๋อก็ลุกขึ้นแบบตีมึน เดินก้าวฉับๆ ไปที่ประตูชุมชนแล้วเอื้อมมือเตรียมโบกรถ แทบจะเอามือปิดหูและกระทืบเท้าเร่าๆ แล้วตะโกนว่า ‘ไม่ฟัง ไม่อยากฟัง หุบปากไปเลย’
สิ่งนี้ทำให้สาวน้อยโลลิที่อยู่ด้านข้างเตรียมจะหักดิบเปลี่ยนแนวทางการพูดเพื่อยั่วโจวเจ๋อให้เกิดความสนใจอึ้งไปชั่วขณะ
ไอ้ฉิบหาย!
เจ้าบ้านี่กลัวว่าข้าจะบอกวิธีบำเพ็ญเซียนอะไรออกไปแล้วเขาจะเป็นปลาเค็มต่อไม่ได้หรืออย่างไร!
…………………………………………….