ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 240 สามคนพอ
ตอนที่ 240 สามคนพอ
เถ้าแก่โจวไม่ได้เคยตกน้ำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะตกลงไปในสระน้ำแบบนี้ ไม่ว่าจะในนรกเอย ในความฝันเอยเคยตกลงไปหมดแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ตกน้ำในชีวิตจริง แถมยังถูกชายชราสติเฟื่องเอาศีรษะกระแทกเหมือนวัวขวิดลงไปแบบนี้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่ปากดีหรอก ตัวเองอยู่ดีไม่ว่าดีไปทะเลาะกับคนบ้าทำไม ปล่อยให้ ‘คนเถื่อนโจมตี’ เปล่าๆ
และสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อยิ่งตกใจก็คือ ชายชราคนนี้หลังจากตกน้ำแล้วได้จับไหล่ของโจวเจ๋อเอาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันได้ใช้เท้าทั้งสองข้างรัดน่องเท้าของโจวเจ๋อด้วย นี่คืออยากจะให้จมน้ำตายไปพร้อมกับตัวเองเลยใช่ไหม
ชาวบ้านที่อยู่ข้างบนเริ่มกระโดดลงไปช่วยชีวิตคน ทว่าโจวเจ๋อไม่กล้ามอบสิทธิ์ในการเลือกโชคชะตาของตัวเองให้กับชาวบ้านพวกนี้ แต่ทำให้เล็บงอกยาวออกมาแล้วจิ้มไปที่หลังของชายชราโดยตรง
ชายชราที่ยังมีแรงฮึดสู้เมื่อครู่ ตัวสั่นทันทีแล้วหมดสติไป โจวเจ๋อแบกชายชราขึ้นมาบนผิวน้ำ ความสามารถทางน้ำของเถ้าแก่โจวจริงๆ แล้วธรรมดา แต่ที่นี่ไม่ใช่แม่น้ำสายใหญ่ เป็นเพียงสระน้ำเล็กๆ เท่านั้น ลากชายชราที่ตัวไม่หนักมากจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
หลังจากขึ้นมาบนฝั่งแล้ว สวี่ชิงหล่างจึงพุ่งเข้าไปหาโจวเจ๋อโดยตรงแล้วตะโกนเสียงดังว่า “คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“ตาบ้าชุยเกิดบ้าอาละวาดผลักพ่อหนุ่มคนนี้ลงสระน้ำ ตาชุยคนบ้าวันๆ เอาแต่พูดไปด่าไป ตอนนี้คิดจะฆ่าคนแล้ว”
“โทรแจ้งตำรวจเถอะ เขาไม่มีลูกชายลูกสาว ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากครั้งหน้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นถูกเขาผลักตกน้ำจะทำยังไง”
“ใช่ แจ้งตำรวจ ทางที่ดีที่สุดให้โรงพยาบาลบ้ามาจัดการเขาจะดีกว่า เขานับวันยิ่งไม่ไหวแล้ว”
เด็กผู้หญิงคุกเข่าข้างคุณปู่ มองคุณปู่ที่สลบไม่ได้สติน้ำตาไหลไม่หยุด ร้องเรียกคุณปู่ให้รีบฟื้นขึ้นมา
“เอาเขากลับไป มีเบาะแสที่ตัวของเขา” โจวเจ๋อพูดกับสวี่ชิงหล่าง
สวี่ชิงหล่างพยักหน้า ไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นจึงแบกชายชราขึ้นมาโดยตรง “ผมจะส่งเขากลับไปก่อน เรื่องแจ้งความยังไม่ต้องรีบร้อน จัดการเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อน ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วามนะครับ” พูดจบ สวี่ชิงหล่างก็แบกตาชุยเดินออกจากกลุ่มผู้คน
โจวเจ๋อกับเด็กผู้หญิงเดินตามหลัง เด็กผู้หญิงเดินร้องไห้ตลอดทาง โจวเจ๋อรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจเหมือนกัน เขาเป็นคนพูดเล่นเอง และการล้อเล่นแบบนี้ เขาถูกชายชรากระแทกตกน้ำไปด้วยกันก็สมควรแล้ว
“บ้านของเธออยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถามเด็กผู้หญิง
“บ้านของเขาคือบ้านดินตรงทางข้างหน้านี้ ตาแก่ไม่มีลูกชายและลูกสาว ปกติก็เอาแต่ดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ สมองจึงมีปัญหานิดหน่อย ดังนั้นชีวิตของเขาจึงไม่ดีเท่าไร” สวี่ชิงหล่างรู้ความเป็นไปในหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างดี
ไม่ช้าทุกคนก็มาถึงบ้านดินหลังนี้ บริเวณโดยรอบล้วนเป็นบ้านสไตล์ตะวันตกสองชั้นหรือกระทั่งสามสี่ชั้น ดังนั้นบ้านดินที่คงอยู่มานานตั้งแต่ศตวรรษก่อนยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้จึงสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ประตูไม่ได้ปิด หรือบางทีบ้านหลังนี้คงไม่มีของมีค่าอะไรให้ขโมย บ้านดินหลังนี้มีสามห้อง ตรงกลางเป็นห้องรับแขก พื้นที่ครึ่งหนึ่งวางขยะจำพวกกระป๋องน้ำอัดลมและขวดเหล้าที่ชายชราเพิ่งเก็บมาเอาไว้เต็มไปหมด ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะบูชาเทพเจ้า บนโต๊ะบูชานั้นกลับเก็บกวาดเช็ดถูอย่างสะอาด
ด้านซ้ายเป็นห้องนอน มีเตียงไม้แบบเก่าตั้งอยู่ ด้านขวาเป็นห้องครัว ซึ่งยังใช้เตาดินอยู่เลย
สวี่ชิงหล่างวางตาชุยลงบนเตียงก่อน จากนั้นมองโจวเจ๋อแล้วพูดว่า “ตอนนี้ปลุกเขาให้ตื่นเลยไหม” ความหมายของคำพูดคือ มีความรู้สึกไม่ค่อยเชื่อใจเท่าไร ไม่ใช่ไม่เชื่อใจโจวเจ๋อ สวี่ชิงหล่างไม่เชื่อใจชายชราสติฟั่นเฟือนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กคนนี้ว่าจะมีเบาะแสอะไร
นี่ไม่ใช่นิยายที่วางอยู่ตามชั้นวางหนังสือในร้านหนังสือ ที่เก็บแหวนได้ในป่ารกร้างแล้วมีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในนั้น หรือพระที่กวาดพื้นอยู่ในหอพระไตรปิฎกกลับเป็นพระที่เก่งกาจที่สุดในวัดเส้าหลิน
“เขามีเนตรหยินหยาง” โจวเจ๋อกล่าว คนที่สามารถมองออกว่าโจวเจ๋อเป็นผีในแวบแรก นอกจากเนตรหยินหยางแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้อธิบาย
นอกจากนี้ในตัวของชายชรา โจวเจ๋อสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายอย่างอื่น ถ้าหากชายชราเป็นหมอผี เขาจะไม่ผลักโจวเจ๋อลงสระน้ำให้ตายไปพร้อมกันแบบนี้
“เนตรหยินหยาง” สวี่ชิงหล่างมองชายชราที่นอนสลบอยู่บนเตียงด้วยความแปลกใจ
“คิดไม่ถึงจริงๆ”
“เขามองเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉันได้” โจวเจ๋อเดินมาที่ธรณีประตูแล้วนั่งลง
“ผมจะออกไปซื้อของนิดหน่อย เอามาเป็นอาหารเย็น” สวี่ชิงหล่างพูดพลางเดินออกไป
โจวเจ๋อโบกมือเรียกเด็กผู้หญิงที่ดูขลาดกลัวอยู่ข้างๆ เพื่อบอกให้เธอเดินเข้ามา เด็กผู้หญิงกลัวอยู่บ้าง ต้องเรียกเธอสองสามครั้งถึงจะเดินมา ขณะเดียวกันก็พูดขอโทษว่า “คุณอา คุณปู่ของหนูไม่ได้ตั้งใจค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“อืมๆ ผมรู้แล้ว ผมผิดเองไม่ควรล้อเล่นมากเกินไป อ้อใช่ เธอรู้ไหมว่าช่วงนี้หมู่บ้านเกิดเรื่องอะไร”
เด็กผู้หญิงพยักหน้า
“อย่างนั้นคุณปู่ของเธอได้บอกไหมว่าเป็นเพราะอะไร”
“คุณปู่บอกว่า… คุณปู่บอกว่า…” เด็กผู้หญิงยากที่จะเอื้อนเอ่ย เธอจิกนิ้วของตัวเอง เหมือนลังเลว่าควรพูดหรือไม่พูด
“วางใจได้ พูดกับฉันเถอะ ฉันจะไม่บอกคนอื่น”
“คุณปู่บอกว่า คนในหมู่บ้านโลภอยากได้เงินชดเชยมาก เพื่อเงินเล็กน้อยพวกนั้น แม้แต่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษก็ทิ้งได้ บรรพบุรุษที่อยู่ปรโลกรู้เรื่อง จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ คุณปู่ยังบอกอีกว่า เดิมทีตำแหน่งหลุมฝังศพบรรพบุรุษของหมู่บ้านพวกเรายอดเยี่ยมมาก จริงๆ ไม่ควรย้ายมาที่นี่ แต่หัวหน้าหมู่บ้านกับคนข้างบนสมคบคิดกัน อยากจะย้ายมาทางนี้ไห้ได้ สองสามปีก่อนหน้านั้นหมู่บ้านซีชุนถูกเวนคืน คนในหมู่บ้านซีชุนได้บ้านและเงินชดเชยมากมาย ทุกคนจึงย้ายไปอยู่ในเมือง พวกชาวบ้านเลยตาลุกวาว อยากจะย้ายบ้านเหมือนกัน”
โจวเจ๋อฟังแล้วจึงพยักหน้า บรรพบุรุษที่ไม่เห็นด้วยอาจจะมีอยู่บ้าง แต่การทำลายแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นฝีมือของ ‘ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่กลับมา’
“ปู่ของเธอยังพูดอะไรอีกไหม”
“เขาบอกว่าตอนกลางคืนไม่ให้หนูออกไปวิ่งซี้ซั้ว บอกว่าช่วงนี้ไม่ปลอดภัย มีสิ่งอัปมงคลโผล่มาเพ่นพ่านอยู่ในหมู่บ้าน หนูถามคุณปู่ว่าเป็นอะไร ใช่สุนัขจิ้งจอกหรือหมาป่าหรือเปล่า คุณปู่ไม่ยอมบอกหนูค่ะ”
สิ่งอัปมงคลออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืน โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน พลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
ก่อนหน้านั้นที่เด็กผู้หญิงพูดถึงหมู่บ้านซีชุน น่าจะเป็นหมู่บ้านที่เหล่าสวี่อาศัยอยู่ก่อนหน้านั้น หมู่บ้านซีชุนและหมู่บ้านตงชุนน่าจะแซ่เดียวกัน หลุมฝังศพบรรพบุรุษของทุกคนน่าจะรวมอยู่ด้วยกัน และด้วยฐานะของเหล่าสวี่ทุกวันนี้ เขาไม่น่าจะโลภเงินชดเชยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สาเหตุที่ต้องแบกรับเรื่องนี้ น่าจะเป็นเพราะเห็นแก่บรรพบุรุษของตัวเองที่นอนอยู่ที่นี่
ถ้าหากไม่ใช่ผีหลอกหลอน อย่างนั้นก็คือปีศาจออกอาละวาด ถ้าหากเป็นปีศาจจริง ทุกอย่างก็จะเชื่อมโยงได้ถูกต้อง แต่การปราบปีศาจยุ่งยากกว่าผีนิดหน่อย
เวลานี้เสียงไอดังมาจากในห้อง ชายชราฟื้นแล้ว โจวเจ๋อเดินไปที่หน้าประตูห้องนอน มองชายชราที่ลุกนั่งขึ้นมา
ชายชรามองเด็กผู้หญิงที่ยืนข้างๆ โจวเจ๋อ แล้วด่าทันที “แกไอ้ผีรับใช้ ถ้าแกกล้าทำอะไรหลานสาวของฉัน ฉันจะ…ฉันจะ…ฉันจะ…” ตาชุยคิดอยู่นานครึ่งค่อนวันก็นึกไม่ออกว่าจะข่มขู่ด้วยวิธีอะไร
“ผมมาที่นี่เพราะถูกไหว้วานให้มาแก้ปัญหาที่นี่ ไม่มีเวลาทะเลาะกับคุณ ถ้าคุณยังทำตัวอันธพาลไร้เหตุผล ผมจะหาเส้นสายให้ส่งคนมาพาหลานสาวของคุณไปอยู่สถานสงเคราะห์ ไม่ว่ายังไงสภาพและเงื่อนไขของคุณในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเลี้ยงดูเด็กไม่ได้”
“แก…แกกล้า…” ความหยิ่งโอหังของชายชราลดลงไปเล็กน้อย
เด็กผู้หญิงฉลาดเฉลียวมาก ลากเก้าอี้ไม้ตัวเล็กหนึ่งตัวมาให้โจวเจ๋อนั่ง โจวเจ๋อกล่าวขอบคุณ พ่นควันบุหรี่ออกมาหนึ่งที ก่อนจะยื่นมือชี้ไปที่ชายชราแล้วพูดว่า “พูดมา เรื่องเป็นยังไงกันแน่ คุณมีเนตรหยินหยางใช่ไหม น่าจะมองเห็นสิ่งที่ชาวบ้านมองไม่เห็น”
ตาชุยทำปากขมุบขมิบ แล้วจึงลองหยั่งเชิงถาม “นายมาช่วยจริงๆ ใช่ไหม”
“ผมโกหกคุณแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
“ได้ ฉันจะบอกนาย นี่เป็นเวรกรรม เป็นเวรกรรมที่สร้างโดยคนรุ่นหลัง! ไอ้คนลืมกำพืดพวกนี้ ไอ้คน…”
“เข้าประเด็นเลย เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เป็นฝีมือของผีบรรพบุรุษใช่ไหม”
“ไม่…ไม่ใช่” ตาชุยส่ายหน้า
“ถ้างั้นคุณด่าพวกเขาทำไม”
“ฉันก็แค่โมโห หลุมศพบรรพบุรุษก็ดีอยู่แล้ว ตำแหน่งฮวงจุ้ยก็ดี พ่อแม่ปู่ย่าตายายของฉันถูกฝังอยู่ที่นั่น แต่กลับถูกพวกเขาขุดขึ้นมา ซากศพของทุกคนต้องมาอยู่รวมกัน คุณอยู่กับฉัน ฉันอยู่กับคุณ สุดท้ายเป็นของบ้านใครกันแน่ไม่มีใครแยกออกสักคน! นายคิดว่าเป็นเวรกรรมไหมล่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้า “พูดต่อ สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่”
“นายเห็นธรณีประตูบ้านของฉันไหม”
“เห็นครับ สูงมาก”
“ขอรายละเอียดอีกหน่อย”
โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินไปที่ธรณีประตูห้องรับแขก ธรณีประตูบ้านนี้มีอายุพอๆ กับบ้านดินหลังนี้ แต่ด้านนอกมีร่องรอยการเสียดสีสองรอยที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
“คืนนั้น เขามาแล้ว เขากระแทกประตูของฉัน อยากจะเข้ามา แต่ธรณีประตูสูงเกินไป เขากระโดดขึ้นมาไม่ได้”
โจวเจ๋อเงยหน้า มองตาชุยที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง แล้วพูดเสียงหนักว่า “ผีดิบเหรอ”
“แค่กๆๆ…” ตาชุยไอขึ้นมา “นอกจากผีดิบแล้ว ยังจะเป็นอะไรได้อีก”
“อย่างนั้นทำไมคุณไม่พูดอะไร”
“วันนั้น เขาใส่เสื้อผ้า…” ตาชุยทำใบหน้าดุดันดูไม่ได้ “ใส่เสื้อผ้าของคนในท้องถิ่น ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเขาปลอมตัวเป็นคนไหน ฟ้ามืดแล้ว ฉันก็เห็นหน้าตาของเขาไม่ถนัด จึงไม่กล้าออกไปดูที่ข้างนอก”
“ผมกลับมาแล้ว” สวี่ชิงหล่างซื้อกับข้าวกลับมาสองสามอย่าง และซื้อข้าวกล่องมาสองสามกล่อง
“คุณตื่นแล้วเหรอครับ” สวี่ชิงหล่างมองตาชุยหนึ่งที
“เหอะๆ” ตาชุยหัวเราะไม่พูดอะไรอีก เขารู้จักสวี่ชิงหล่าง อย่างไรเสียก็เป็นเด็กที่โตมาจากที่ดินแถบนี้ ตาชุยลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินมาที่ห้องรับแขกโดยไม่ต้องให้คนอื่นประคอง
สวี่ชิงหล่างวางกับข้าวบนโต๊ะเล็กๆ หยิบเก้าอี้ตัวเล็กมาอีกสองสามตัว เขาวางกล่องข้าวลงไป แล้วแกะถุงอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
โจวเจ๋อนั่งลงข้างๆ มองโต๊ะเล็กๆ หนึ่งที แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมนายซื้อข้าวมาแค่สามกล่อง”
“อะไรเรียกว่าสามกล่อง พวกเรามีแค่สามคน ดังนั้นจึงซื้อมาสามกล่อง หรือว่าวันนี้คุณรู้สึกอยากกินข้าวมากกว่าปกติเหรอ อย่างนั้นผมแบ่งข้าวของผมให้คุณหนึ่งส่วนก็ได้”
…………………………………………………………………………