ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 241 คุณไม่สนใจญาติของคุณเหรอ
ตอนที่ 241 คุณไม่สนใจญาติของคุณเหรอ
สามคน?
โจวเจ๋อหันขวับไปมองเด็กผู้หญิงที่ยืนกลัวอยู่ข้างหลังตัวเอง เด็กผู้หญิงตกใจสายตาของโจวเจ๋อ เดินถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว แล้วมองไปที่คุณปู่ของตัวเองด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
พวกชาวบ้านกับสวี่ชิงหล่างเคยพูดว่า ตาชุยไม่มีลูกชายและลูกสาว เป็นคนบ้า อย่างนั้นเขาจะมีหลานสาวได้อย่างไร และเด็กผู้หญิงคนนี้ก็พูดกับเขาคนเดียวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ตรงสระน้ำก่อนหน้านั้นหรือว่าตอนที่อยู่ในบ้าน เธอไม่ได้พูดสื่อสารใดๆ กับใครอีกเลย
ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อไม่ได้สังเกตจุดนี้ ตอนนี้เมื่อลองย้อนนึกดู ดูเหมือนว่าจะเจออะไรไม่ชอบมาพากล
“นี่ เป็นอะไรไป” สวี่ชิงหล่างหม่ำข้าวแต่ปากก็ถามไปด้วย
โจวเจ๋อมองตาชุย เขาต้องการคำอธิบาย ตาชุยก็ทำมึนหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน ไม่คิดที่จะสนใจโจวเจ๋อเลย ขณะเดียวกันยังบ่นสวี่ชิงหล่างว่าทำไมไม่ซื้อเหล้ามาให้ตัวเองบ้าง
“ผมต้องการคำอธิบาย” โจวเจ๋อพูด
“หืม” สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋ออย่างสงสัย
“เนื้อหัวหมูน้อยไปหน่อย สงสัยเจ้าของร้านเนื้อหัวหมูจะไม่รู้จักนาย ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาเปรียบนายแบบนี้หรอก” ตาชุยพูดพลางถอนหายใจ “บนโลกนี้ การเป็นคนดีอย่างเดียวดูเหมือนจะรวยไม่ได้เลย”
ตาชุยยังคงมองโจวเจ๋อเป็นอากาศ สวี่ชิงหล่างวางตะเกียบลงช้าๆ เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ และที่สำคัญคือ เขารู้จักเพื่อนคนนี้ของตัวเองเป็นอย่างดี อย่ามองว่าปกติแล้วเขาชอบนอนอาบแดดบนโซฟาเฉยๆ แต่เนื้อแท้แล้วเป็นคนที่ชอบบงการมากกว่าใคร
และอาจจะเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วเขาเป็นหัวหน้าในโรงพยาบาล ชอบกุมอำนาจอยู่ในมือทุกอย่าง และในร้านหนังสือ ตัวสวี่ชิงหล่างเองไม่ใช่คนที่ชอบคาดหวังอะไร ต่อจากนี้ก็มาดูกันต่อว่าคนพวกนี้เป็นอย่างไร
นักพรตเฒ่า อิงอิง เดดพูล ถ้าหากอยู่ในยุคโบราณ ก็คือข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่ สาวใช้ แล้วก็องค์รักษ์ สวี่ชิงหล่างรู้สึกดีที่ไม่มองตัวเองเป็น ‘แม่ครัว’
ตาชุยกินข้าวเสียงดังจ๊อบแจ๊บ กินมูมมามปากมันแผล็บ จากนั้นมีมือข้างหนึ่งโผล่มาด้านหลังศีรษะของเขา
‘พลั่ก!’
“โอ๊ยๆๆๆๆๆ…”
ใบหน้าของตาชุยถูกกดลงไปในกองกับข้าว ไม่ว่าชายชราจะดิ้นรนต่อต้านอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“คิดว่ามีเนตรหยินหยาง คิดว่าตัวเองอายุมากกว่า ก็ไม่เห็นหัวคนอื่นใช่ไหม”
‘ปั้ง!’ โจวเจ๋อเตะขาโต๊ะเล็กหักไปข้างหนึ่ง ตาชุยล้มฟุบไปกองกับพื้นทั้งตัว ชายชรากำลังจะร้องเรียกอะไร แต่หน้าก็ล้มคะมำไปแล้ว
เด็กผู้หญิงร้องไห้พลางวิ่งเข้ามาอยากจะผลักโจวเจ๋อเพื่อช่วยคุณปู่ของตัวเองออกมา แต่มือซ้ายของโจวเจ๋อมีเล็บยาวงอกออกมา ควันสีดำเป็นสายรัดพันเด็กผู้หญิงเอาไว้ เด็กผู้หญิงถูกมัดอยู่กับที่ไม่สามารถขยับได้
แต่ด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้สวี่ชิงหล่างมองเห็นเงาของเด็กผู้หญิงในที่สุด
“ทะ…ที่…ที่นี่มีเด็กด้วยเหรอ!”
โจวเจ๋อถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตาชุยลุกคลานขึ้นมาจากพื้นทันที ยื่นมือเช็ดคราบมันและกับข้าวที่อยู่บนใบหน้าออก ก่อนจะ ‘ร้องตะโกนสู้ตาย’ วิ่งพุ่งเข้ามาสู้กับโจวเจ๋ออย่างเต็มที่
คราวนี้เถ้าแก่โจวได้เตรียมตัวป้องกันไว้แล้ว เขาวาดแขนแล้วแทงศอกไปที่หน้าอกของตาชุยอย่างแรง และตาชุยก็อายุมากแล้ว ถึงแม้เถ้าแก่โจวจะเป็นเหมือนปลาเค็มว่างงาน แต่อย่างน้อยก็ยังหนุ่มยังแน่น ตาชุยจึงล้มกลิ้งลงไปบนพื้นอีกครั้ง
เด็กผู้หญิงถูกมัดอยู่กับที่ร้องไห้กระซิกด้วยความร้อนใจ
“ถ้าคุณไม่บอกผม ผมก็จะชำแหละออกมาดูเอง ว่าเป็นอะไรกันแน่ ที่ทำให้ผมแยกไม่ออกว่าเธอไม่ใช่คน!” โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เล็บงอกยาวออกมาอย่างช้าๆ การมีตัวตนอยู่ของเด็กผู้หญิง ไม่ได้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจเลยสักนิด นี่คือความผิดปกติที่ใหญ่หลวง เพราะว่าสวี่ชิงหล่างรวมทั้งพวกชาวบ้านต่างไม่มีใครมองเห็นเธอ
เธอเป็นภาพลวงตา แต่ก็เหมือนจริงมาก เล็บเข้าใกล้ผิวหนังของเด็กผู้หญิงอย่างช้าๆ ถ้าหากคุณแกะหัวใจของฉันออกทีละชั้น คุณจะพบกับความน่าประหลาดใจ…
ตอนนี้โจวเจ๋ออยากจะเปิดออกมาดูจริงๆ ว่าเด็กผู้หญิงมีโครงสร้างเป็นอะไรกันแน่
“อย่าแตะต้องเธอ ฉันพูด ฉันพูดแล้ว เธอเป็นเด็กจากซากศพที่ฉันเก็บกลับมาจากหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ” ตาชุยเหมือนจะเลิกดิ้นรนขัดขืนเตรียมเปิดเผยความจริงอย่างจริงใจ
ชายชราผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้นเหมือนที่คนในช่วงวัยนี้มักจะเป็นกัน แต่ดูจากทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อเขาแล้ว เขามีความบกพร่องใหญ่หลวงในด้านการจัดการกับผู้คน เขาแค่โง่และโง่จริงๆ ที่กล้าทำโอหังต่อหน้ายมทูตคนหนึ่ง
“เด็กจากซากศพ คืออะไร” สวี่ชิงหล่างถาม เขาไม่ได้ถามตาชุย แต่ถามโจวเจ๋อ
“นายเห็นไหมว่าฉันทำอะไร” โจวเจ๋อย้อนถาม
“คุณไม่รู้เหรอ”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง”
ตาชุยถอนหายใจเอ่ยว่า “เด็กจากซากศพ เป็นรูปร่างที่สลายมาจากซากศพ แต่ไม่ใช่ศพที่ตั้งท้องแล้วคลอดลูก ทว่าเป็นศพที่ตั้งท้องในขณะที่ถูกฝัง แต่เธอตายแล้ว ศพในท้องก็ตายตามไปด้วย จึงกลายเป็นทารกที่ตายในครรภ์ แต่ถ้าหากอยู่ในฮวงจุ้ยที่เหมาะสมหรือมีปัจจัยอื่นที่เข้ากันโดยบังเอิญ ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายตายไปแล้ว ทารกที่ตายในครรภ์สามารถก่อตัวในครรภ์ได้อีกในรูปแบบของวิญญาณแล้วออกจากกายเนื้อ เสี่ยวไชจึงมีตัวตนเป็นแบบนี้
เมื่อสามปีก่อนฉันเดินผ่านหลุมศพแล้วเห็นเธอคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงนั้น ฉันเห็นเธอเป็นคนแปลกหน้า จึงถามว่ามาจากหมู่บ้านไหน เธอบอกว่าแม่อยู่ใต้ดิน เธอเล่นซนมากไปหน่อยจึงวิ่งออกมาจากใต้ดิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะกลับเข้าไปยังไง จากนั้นฉันก็เลยพาเธอกลับมาเลี้ยงที่บ้าน”
หลังจากสวี่ชิงหล่างฟังตาชุยพูดจบแล้ว จึงถามทันที “คุณเลี้ยงดูเธอเหรอ”
“ทุกวันเธอดื่มเลือดแค่เล็กน้อยเท่านั้น เลือดเป็ดเลือดไก่ได้หมด เลือดคนก็ยังได้ แค่ถ้วยเล็กๆ ก็พอ เลี้ยงง่ายมากและเธอก็เป็นเด็กดีรู้จักดูแลเอาใจใส่มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกเป็นห่วงฉัน เธอจึงเป็นหลานแท้ๆ ของฉัน ไม่ สนิทยิ่งกว่าหลานชายหลานสาวแท้ๆ เสียอีก!” ตาชุยพูดพลางมองเด็กผู้หญิง
“ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ถาม นั่นก็คือทำไมผีดิบตัวนั้นต้องมาเคาะประตูบ้านของคุณตอนกลางคืน เป็นเพราะเธอใช่ไหม” โจวเจ๋อชี้ไปที่เด็กผู้หญิง
“เธอเป็นของผม เธอเป็นของผม!” ตาชุยกอดเด็กผู้หญิงไว้ในอ้อมอกทันที “เธอเป็นหลานสาวของผม เป็นหลานสาวแท้ๆ ของผม! ใครก็อย่าพรากเธอไปจากผม ต่อให้ผมตายก็จะไม่ยอมให้ใครพาเธอไปจากผม!”
“ผีดิบตัวนั้นก่อเรื่องในหมู่บ้านแล้ว ถ้าหากเขาแค่มาตามหาลูกสาวของตัวเอง และคุณก็ขัดขวางไม่ให้เขาตามหาเจอ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นบ้า แค่ขโมยเป็ดไก่เล็กๆ น้อยๆ ปล่อยพลังชี่พิฆาตเพื่อให้คนฝันร้าย เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คุณรู้ไหมถ้าหากผีดิบตัวนั้นหมดความอดทนจริงๆ จะมีผลเสียยังไง คุณเกิดมามีเนตรหยินหยาง ของพวกนี้น่าจะเข้าใจมากกว่าคนทั่วไป!” โจวเจ๋อมองตาชุยแล้วถาม
“พวกเขาตาย ก็ปล่อยให้พวกเขาตายสิ ไอ้พวกที่ลืมกำพืดของตัวเอง! เพื่อเงินย้ายบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไม่เอาแม้กระทั่งหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ คนพวกนี้ตายไปก็ไม่เสียดาย! สมควรตาย สมควรตายแล้ว ต่อให้พวกเขาตายหมดแล้ว ก็อย่าคิดจะมาจับเสี่ยวไชไปจากฉัน ฉันไม่ยอมให้เสี่ยวไชอยู่ห่างจากฉัน!”
“คุณปู่ เสี่ยวไชก็ไม่อยากไปจากคุณปู่ เสี่ยวไชจะอยู่กับคุณปู่ตลอดไป” เด็กผู้หญิงกับตาชุยกอดกันแล้วร้องไห้อยู่ด้วยกัน
“เป็นเพราะสาเหตุนี้เหรอ” สวี่ชิงหล่างกระซิบถามโจวเจ๋อเบาๆ
ถ้าหากสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะตาชุยที่มีเนตรหยินหยางและมีชีวิตที่พ่ายแพ้สุดๆ อยากจะได้หลานสาวคนนี้เช่นนั้นก็ต้องมอบเด็กผู้หญิงออกไป ดูเหมือนจะเป็นวิธีจัดการที่เหมาะสมที่สุด
หมู่บ้านจะสามารถหลีกเลี่ยงมหันตภัยได้ และเด็กผู้หญิงคนนี้เดิมทีก็กลายร่างมาจากศพเด็ก จึงไม่นับว่าเป็นคน
“เวลาไม่ถูก” โจวเจ๋อส่ายหน้า “เป้าหมายของผีดิบน่าจะเป็นผู้เด็กผู้หญิง แต่อาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ของพ่อลูกหรือแม่ลูก นายไม่ได้ยินตาเฒ่าคนนี้พูดเหรอ ว่าเขาเก็บเด็กผู้หญิงคนนี้มาเลี้ยงเมื่อสามปีที่แล้ว ถ้าหากพ่อแม่ของเธอยังอยู่จริงๆ และถ้าหากกลายเป็นผีดิบจริงๆ อย่างแรกยากมากที่เธอจะวิ่งออกมาคนเดียว อย่างที่สองเธอวิ่งออกมานานแล้ว แต่พ่อแม่ของเธอไม่น่าจะเว้นไปนานสามปีแล้วค่อยออกมาตามหาลูกสาว”
“อย่างนั้นคุณคิดว่ายังไง”
“การเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ กระทั่งระหว่างที่เคลื่อนย้าย มีผลทำให้ชั้นดินส่วนไหนเกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงทำให้ผีดิบตัวนั้นออกมา เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นระหว่างการทำโครงการขนาดใหญ่อย่างนี้มีเยอะมาก เสามังกรบนทางด่วนถนนเหยียนอันในเซี่ยงไฮ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น จากนั้นผีดิบตัวนี้ก็อาศัยความสามารถของตัวเอง ได้กลิ่นของเด็กผู้หญิงคนนี้ จึงอยากจะกินเธอเพื่อบำรุงกำลัง”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้สึกถึงตัวตนของเธอ” สวี่ชิงหล่างถาม
“คนโบราณใช้ชีวิตลำบาก คนโบราณแค่ได้กินรำข้าวหนึ่งเม็ดก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณสวรรค์แล้ว แต่ตอนนี้คนไม่เพียงแต่ต้องการกินอิ่ม แต่เสาะหาการกินดีด้วย”
“อยากจะอวดว่าตัวเองมีสายเลือดสูงส่งต้องพูดอ้อมค้อมขนาดนี้เชียว” สวี่ชิงหล่างพูดอย่างดูหมิ่น
โจวเจ๋อไม่ได้ตอบโต้อะไรอีก เพราะเขารู้ว่า สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะตัวเองยังไม่กลายเป็นผีดิบในตอนนี้ ถ้าหากสิ่งที่อยู่ในภายในร่างกายของตัวเองตื่นขึ้นมา คาดว่าสิ่งที่เขาจะทำเป็นอย่างแรก ก็คือจับเด็กผู้หญิงคนนี้ยัดเข้าปากก่อนและดูเหมือนเขาจะชอบใช้วิญญาณที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้บำรุงตัวเองเป็นอย่างมากด้วย
“แล้วเด็กที่เกิดจากซากศพคนนี้จะทำยังไง สามารถส่งเธอกลับไปเกิดใหม่ได้ไหม”
“ได้ เพราะเธอกลายเป็นรูปร่างมาจากวิญญาณ แต่ในวิญญาณเปื้อนกลิ่นอายซากศพทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่เนื้อแท้แล้วก็ยังเป็นวิญญาณอยู่ จัดการอีกนิดหน่อยยังพอที่จะส่งลงนรกแล้วไปเกิดใหม่ได้ นอกจากนี้ผลงานที่ได้จากการส่งเธอลงไป น่าจะสูงมากทีเดียว”
“อย่างนั้นรออีกหน่อย ช่วยผมจัดการผีดิบตัวนั้นก่อน”
โจวเจ๋อไม่พูดอะไร
“นี่ ช่วยผมหน่อย งานนี้คุณก็รู้ ตอนที่พวกเราเจออิงอิงครั้งแรก น่ากลัวขนาดไหน ผมคนเดียวเอาไม่อยู่”
โจวเจ๋อยังคงไม่พูดอะไร
“ที่นี่อย่างน้อยก็เป็นบ้านเกิดของผม ผมไม่อยากเห็นชาวบ้านเดือดร้อน”
โจวเจ๋อมองสวี่ชิงหล่าง จากนั้นจึงก้มหน้ามองปลายเท้า เขาถูไถปลายเท้าบนพื้นไปมา แล้วพูดว่า “เฮ้อ ชาติที่แล้วกว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านสักหลังก็ไม่ง่าย ชาตินี้กลับไม่มีบ้านสักหลังเดียว ล้มเหลวจริงๆ”
“…” สวี่ชิงหล่าง
“ไม่เป็นแบบนี้สิเพื่อน คุณก็คิดจะฉวยโอกาสเอาเปรียบกันเหรอ” สวี่ชิงหล่างอัดอั้นอยู่นานกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมา
“อย่างนั้นนายมีเหตุผลอะไรที่ดีกว่านี้มาพูดโน้มน้าวให้ฉันยื่นมือเข้าช่วย” โจวเจ๋อย้อนถาม
“โธ่เว้ย จะว่าไปแล้ว นี่เป็นญาติพี่น้องของคุณไม่ใช่เหรอ! ญาติของคุณก่อเรื่อง คุณจะนิ่งดูดายไม่สนใจเหรอ”
“…” โจวเจ๋อ
…………………………………………………………………………