ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 243 เกิดอะไรขึ้น!
ตอนที่ 243 เกิดอะไรขึ้น!
ภายในบ้านดินที่เงียบเชียบ สวี่ชิงหล่างกำลังตกอยู่ในภวังค์ ตรงหน้าเขามีศพที่ตัวเองเพิ่งจะลากกลับมาจากแปลงผักเมื่อครู่ เขารู้จักศพศพนี้ เป็นลูกชายคนที่สามของอาสะใภ้ตระกูลสวี ปีนี้อายุไม่ถึงสามสิบปี ยังไม่ได้แต่งงาน ปกติทำงานที่อู่ต่อเรือ เขามีชื่อเสียงที่ดีมากในหมู่บ้าน เพราะว่าเขาชอบช่วยเหลือคน
หมู่บ้านตงชุนหรือหมู่บ้านซีชุน ไม่ว่าบ้านใครมีปัญหาแค่ไปเรียกเขา เขาก็จะมาช่วยทันที เช่น บ้านหลังนี้จะซ่อมบ้าน บ้านหลังนั้นเก็บข้าวสาลีไม่ทัน เป็นต้น และค่าตอบแทนอย่างมากก็แค่ข้าวหนึ่งมื้อหรือเลี้ยงเหล้าก็พอ
บรรยากาศของการช่วยเหลือเพื่อนบ้านพบเห็นได้ในยุคของคนรุ่นเก่า ในยุคของคนรุ่นใหม่กลับมีให้เห็นน้อยมาก แต่เขายังคงรักษาสิ่งนี้มาตลอด คนอายุรุ่นเดียวกันกับเขาจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่าเขาโง่มาก
แน่นอนว่าต่อให้เขามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีแค่ไหน ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสวี่ชิงหล่างมากนัก ถึงแม้เขาจะเกิดในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้นานแล้ว ตอนนี้จึงไม่ใช่เวลามานั่งเศร้า เขาต้องคิดหาวิธีจัดการศพศพนี้ก่อน
สวี่ชิงหล่างจำได้เมื่อก่อนตอนที่ดู ‘อุ้ยเสี่ยวป้อ’ เหวยเสี่ยวเป่ามียาละลายซากศพ เพียงแค่หยดลงบนร่างกายของมนุษย์สองสามหยด ก็จะกัดกร่อนละลายหายไปทันที แต่ในชีวิตจริงมีของพวกนี้หรือไม่สวี่ชิงหล่างไม่รู้ แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีเวลาหาของพวกนี้ในเวลานี้ หรือว่าจะหั่นแยกศพดี หั่นศพทีละนิด แล้วเอาไปทำกับข้าว ดูเหมือนจะโรคจิตไปหน่อย แต่ทำไมในใจรู้สึกอยากทดลองกะทันหัน จะต้องติดเชื้อความวิปริตมาจากโจวเจ๋อแน่นอน
จากนั้นสวี่ชิงหล่างจึงส่ายหน้าตัดสินใจจะใช้วิธีที่โง่ที่สุดก่อน ขุดหลุมแล้วฝังศพลงไปก่อน กลับไปค่อยเผาเงินกระดาษอีกที เรื่องนี้ก็น่าจะผ่านไปได้ ไม่ว่าอย่างไรถึงแม้โจวเจ๋อจะเป็นคนฆ่า แต่ในความเป็นจริงพ่อหนุ่มคนนี้ถูกฆ่ากลายเป็นศพเดินได้มาก่อนแล้ว เขาตายไปนานแล้ว ดังนั้นเมื่อถูกโจวเจ๋อฆ่า จึงเท่ากับช่วยทำให้เขาหลุดพ้น
สวี่ชิงหล่างเข้าไปหาพลั่วจากในบ้าน แล้วเดินไปที่แปลงผักหน้าบ้าน จากนั้นจึงเริ่มขุด อันที่จริง ภายในบ้านดินก็ไม่มีอิฐหรือปูนซีเมนต์อะไร มีแต่ดินโคลนเท่านั้น แต่ถูกคนเดินผ่านไปมาหลายปี ดินโคลนพวกนั้นถูกเดินเหยียบจนเรียบแน่นไปแล้วขุดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
สวี่ชิงหล่างขุดไปเรื่อยๆ สองมือจับพลั่วหายใจหอบฮัก สำหรับเขาที่ปกติไม่ค่อยได้ทำงานหนักและเริ่มเข้าสู่โหมดบำรุงรักษาร่างกาย พอมาทำงานออกแรงแบบนี้จึงเหนื่อยไม่น้อย
“ฮื้อฮือๆๆ…” มีเสียงโหยหวนเบาๆ ดังมาจากไกลๆ เหมือนมีคนกำลังร้องไห้ แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่เหมือนเสียงร้องไห้ และมีทำนองสูงต่ำไพเราะน่าฟังอยู่บ้าง ตอนกลางคืนในหมู่บ้านเงียบมาก โดยเฉพาะเวลานี้แล้วจะมีเสียงอื่นมาจากที่ไหน
สวี่ชิงหล่างยื่นมือคลำหาเกราะหัวใจในกระเป๋า พูดจริงๆ นะ ตอนนี้ไม่มีเถ้าแก่โจวอยู่ข้างๆ สวี่ชิงหล่างรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย รู้สึกกระวนกระวายใจตลอด
เสียงโหยหวนดังจากไกลเข้ามาใกล้ สวี่ชิงหล่างหยิบพลั่วทันที ถึงแม้จะได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นสิ่งใดเลย ทว่าความรู้สึกอันตรายกลับรุนแรงมากขึ้น กระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีนของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮู่วๆ…ฮู่วๆ…” สูดหายใจลึกๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่หยุด สวี่ชิงหล่างใช้มือข้างหนึ่งถือพลั่ว มืออีกข้างหนึ่งถือเกราะหัวใจ
หรือว่าเถ้าแก่โจวตามผีดิบไม่ทัน ผีดิบตัวนั้นจึงย้อนกลับมาเล่นงานอีก บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดอย่างมาก เหงื่อเย็นของสวี่ชิงหล่างเริ่มหยดลงมา ภาวะชะงักงัน ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันยังคงดำเนินต่อไป หลังจากผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ในยามราตรีที่มืดมิด นกกาที่ซุกซนนอนไม่หลับบินผ่านศีรษะไป พร้อมกับส่งเสียงร้อง ‘กา…กา…กา…’ สายลมพัดมาระลอกหนึ่ง ใบไม้สองสามใบที่ร่วงลงมาจากต้นถูกพัดมาลอยวนอยู่ตรงหน้าเขา
สวี่ชิงหล่างกับอากาศเหมือนคุมเชิงกันยี่สิบนาที จากนั้นเสียงโหยหวนนั่นเริ่มลดต่ำลงช้าๆ สุดท้ายก็แทบจะสังเกตไม่เจอ หลังจากผ่านการตั้งใจฟังมาอย่างยาวนาน อย่างน้อยสวี่ชิงหล่างมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือไม่ใช่เสียงคนร้องไห้แน่นอน ตรงกันข้ามกลับเหมือนมีคนที่นอนไม่หลับกำลังเป่าขลุ่ยอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น
ใครมันว่างขนาดนี้! เมื่อระวังตัวได้สักพักหนึ่ง จนกระทั่งเสียงนั่นหายไปอย่างสิ้นเชิง สวี่ชิงหล่างจึงถอนหายใจยาวโล่งอก เลิกระวังตัว แล้วจึงขุดดินต่ออีกสักพักหนึ่ง เดิมทีอยากจะขุดให้ลึกกว่านี้ แต่ความเหนื่อยบุกโจมตีสวี่ชิงหล่างแล้ว จึงขุดให้ลึกพอประมาณก็พอแล้ว อย่างไรเสียหลังจากเรื่องนี้จบลงก็ต้องเผาเงินกระดาษเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายอยู่แล้ว ตอนนี้เอาศพลงไปฝังก่อนเพียงเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านพบในช่วงนี้เท่านั้น
เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ศพนั่นยังคงนอนอย่างนิ่งสงบมาก ตรงหน้าอกมีรอยบุ๋มลงไปชัดเจน รอบๆ รอยบุ๋มนี้มีรูเล็กๆ ห้ารู ผีดิบมีร่างกายที่แข็งมาก และในความเป็นจริงถ้าหากศพถูกรักษาอย่างดีหน่อย หลังจากที่ศพกลายสภาพเป็นผีดิบแล้วจะมี ‘ร่างกายที่แข็งแรง’ มากกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ และผีดิบที่เกิดมาจากความหดหู่และความแค้นจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ทว่าต่อให้มีร่างกายที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังถูกเล็บของโจวเจ๋อเจาะเป็นรูโบ๋
สวี่ชิงหล่างดื่มน้ำ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา เตรียมจะส่งข้อความหาโจวเจ๋อ ถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้วตามหาตาชุยเจอหรือเปล่า ไม่ใช่มัวแต่ต่อสู้กับห่านป่าแต่สุดท้ายถูกห่านป่าจิกตาบอดไปเสียล่ะ
ตัวของสวี่ชิงหล่างกับโจวเจ๋อคิดไม่ถึงว่า ตาชุยนิสัยเสียจะเล่นแผน ‘ลอบตีเฉินชาง’ ทำอะไรอย่างลับๆ เริ่มจากแสร้งทำเป็นนอนหลับแล้วใช้อะไรไม่รู้แอบตัดเชือก จากนั้นก็อาศัยตอนที่ผีดิบตัวนั้นโผล่ออกมาพาหลานสาวหนีไปที่ทางเดินใต้ดินตอนที่ตัวเขากับโจวเจ๋อพุ่งออกไปจากบ้าน
ทำไมตาเฒ่าต้องหนี เหตุผลง่ายมาก เพราะพวกเขาสองคนใช้หลานสาวของเขาเป็นเหยื่อล่อ ขณะเดียวกันโจวเจ๋อยังคิดว่า หลังจากจบเรื่องแล้วจะส่งหลานสาวของเขาลงนรกไปเกิดใหม่
จึงได้แต่พูดว่า ก่อนหน้านั้นโจวเจ๋อพูดถูกแล้ว คนที่มีเนตรหยินหยางแต่กำเนิด มีอายุมากถึงปูนนี้ หากไม่มีความสามารถอะไรหลบซ่อนอยู่บ้าง คนอื่นก็ยากที่จะเลื่อมใสศรัทธา
“ทำไมไม่มีสัญญาณ” สวี่ชิงหล่างเคาะโทรศัพท์ และในเวลานี้ ศพที่เดิมทีนอนตายนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นกลับลุกนั่งอย่างช้าๆ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ และไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวได้อย่างสิ้นเชิง สวี่ชิงหล่างยังคงเคาะโทรศัพท์ต่อ เขาพยายามจะติดต่อโจวเจ๋อโดยเร็ว แต่กลับมองข้ามสถานการณ์ด้านหลัง
จะพูดว่าสวี่ชิงหล่างประมาทเลินเล่อก็ไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงถึงแม้ตัวของโจวเจ๋อเองจะอยู่ที่นี่ก็ไม่คิดว่าศพเดินได้ที่ถูกเล็บของตัวเองแทงเข้าไปจะก่อเรื่องอะไรได้อีก แต่เขากลับลุกขึ้นมาและอ้าปากช้าๆ เผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมทั้งสองข้าง
“หืม” สวี่ชิงหล่างสูดลมหายใจลึกๆ ทำไมจู่ๆ จึงได้กลิ่นเหมือนกระเทียมดอง สงสัยจะเป็นเพราะเคยเป็นพ่อครัวมาก่อน สวี่ชิงหล่างจึงมีความไวต่อกลิ่นสูง ทำให้เขาหันไปมองข้างหลังเมื่อรู้ตัว จากนั้นสี่ตาพลันประสานกัน! ศพกระโจนเข้ามาอย่างแรง คมเขี้ยวทิ่มลงไปที่คอของสวี่ชิงหล่างโดยตรง
สวี่ชิงหล่างผลักและต่อยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่ไอ้หมอนี่กลับเหมือนหนอนตัวหนึ่ง เกาะติดสวี่ชิงหล่างไม่ยอมปล่อย สวี่ชิงหล่างอดทนความเจ็บปวดบริเวณลำคอ หยิบเกราะหัวใจที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเองออกมา แล้วพูดเสียงต่ำว่า “สวรรค์และโลกไร้ขอบเขต ใจลึกล้ำคือธรรมะ!” คลื่นสีฟ้าหนึ่งชั้นลอยกระเพื่อมอยู่บนเกราะหัวใจ วินาทีต่อมา สวี่ชิงหล่างทุบเกราะหัวใจไปที่ตัวของไอ้หมอนี่โดยตรง
ร่างกายของไอ้หมอนี่ดิ้นไม่หยุด เหมือนจะทรมานมาก แต่ก็ยังกัดสวี่ชิงหล่างไม่ปล่อย สองมือสองเท้าเริ่มคลานขึ้นมาเหมือนปลาหมึกตัวหนึ่ง เหมือนฉู่ป้าหวังขึ้นสายธนู[1]!
เสียงดัง ‘พลั่ก’ สวี่ชิงหล่างถูกอีกฝ่ายกดลงไปบนพื้น ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นและเลื้อยขยุกขยิกไม่หยุด กดสวี่ชิงหล่างไว้กับพื้นแล้วถูไถไปมาอย่างเต็มที่!
ความขยะแขยง ความสะอิดสะเอียด ความทรมาน ความเจ็บปวด เจ็บ…สวี่ชิงหล่างรู้ดี นอกจากโจวเจ๋อจะสามารถโผล่มาทันในช่วงเวลาที่คับขันเหมือนตำรวจในภาพยนตร์ฮ่องกงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าวันนี้ตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นี่แหงแก๋
แต่ไอ้สิ่งนี้ทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว ทำไมถึงลุกขึ้นมาได้อีก อ้อใช่ เสียงขลุ่ย! จะต้องเกี่ยวข้องกับเสียงขลุ่ยแน่นอน! แต่เวลานี้จะคิดถึงเสียงขลุ่ยก็คงไม่ทันแล้ว และไม่มีความหมายอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงหล่างรู้สึกว่าหมู่บ้านที่ตัวเองเกิดทำไมถึงดูแปลกหน้าและน่ากลัวมาก ราวกับว่ามีม่านหนึ่งชั้นคอยปิดบังอยู่ข้างบน และจริงๆ แล้วเขาไม่เคยเดินเข้าไปอย่างจริงๆ จังๆ สองมือพยายามดิ้นรนสุดขีด สวี่ชิงหล่างแตะไปโดนส่วนที่บุ๋มลงไป นั่นเป็นตำแหน่งที่ก่อนหน้านี้ถูกเจาะทุละด้วยเล็บของโจวเจ๋อ
“สวรรค์และโลกไร้ขอบเขต ใจลึกล้ำคือธรรมะ!” สวี่ชิงหล่างท่องคาถาอีกเป็นครั้งสุดท้าย กัดฟันแล้วใช้เกราะหัวใจของตัวเองยัดเข้าไปในหน้าอกของศพเดินได้ที่มีบาดแผลโดยตรง
‘ฉ่าๆๆๆๆๆๆ…’ เริ่มมีควันสีดำพุ่งออกมาไม่หยุดจากตา หู จมูก และปากของศพเดินได้ เขากระโดดออกมาจากตัวของสวี่ชิงหล่าง จากนั้นล้มกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างบ้าคลั่ง เหมือนแมลงที่โดนน้ำยาฆ่าเชื้อ กำลังดิ้นเฮือกสุดท้าย เกราะหัวใจส่องแสงสีฟ้าออกมาจากร่างกายของศพอย่างต่อเนื่อง แผดเผาอีกฝ่ายไม่หยุด จนถึงตอนท้ายศพนั่นจึงล้มลงไปนอนนิ่งบนพื้นอีกครั้ง และศพของเขาก็เริ่มเนาเปื่อยอย่างช้าๆ ละลายกลายเป็นกองน้ำหนอง คราบน้ำถูกดูดซึมลงดินในไม่ช้า เหลือเพียงรอยคนที่ชัดเจนอยู่บนพื้น
สวี่ชิงหล่างที่นึกถึงยาละลายซากศพของเหวยเสี่ยวเป่าก่อนหน้านี้ คราวนี้สมดั่งใจปรารถนาแล้ว สวี่ชิงหล่างโน้มตัวใช้แขนเสื้อห่อมือของตัวเองเปิดสิ่งของสีดำปี๋ที่อยู่ตรงกลางรอยคน นี่คือเกราะหัวใจของเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นถ่านดำไปแล้ว
เขาสวี่ชิงหล่างมีทรัพย์สมบัติน้อย วิชาอาคมก็รู้ครึ่งๆ กลางๆ และเครื่องรางขนาดเล็กนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งของเพียงไม่กี่ชิ้นที่เขาสามารถนำออกมาโชว์ได้ ทว่าตอนนี้กลับพังหมดแล้ว แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด สวี่ชิงหล่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เดินมาตรงหน้ากระจกที่แตกในห้องรับแขก หลังจากเปิดไฟฉายในโทรศัพท์แล้ว จึงส่องไปที่คอของตัวเอง
ภายในกระจก ตรงคอด้านซ้ายของเขามีรอยเขี้ยวหนึ่งคู่ชัดเจนมาก และเลือดเนื้อที่อยู่บริเวณโดยรอบก็ถูกกัดจนเละน่าดู แต่กลับไม่มีเลือดสดไหลออกมา ตรงกันข้ามกลับมีเม็ดเล็กๆ สีดำหมุนวนอยู่ในนั้นไม่หยุด ดูแล้วน่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก
สวี่ชิงหล่างใช้มือที่สั่นสะท้านลูบแผลของตัวเองเบาๆ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา…
…………………………………………………………………………
[1] ฉู่ป้าหวังขึ้นสายธนู หมายถึง ขืนใจ