ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 27 งานเลี้ยง
ตอนที่ 27 งานเลี้ยง
เด็กหนุ่มส่งอาหารยืนอยู่ที่เดิม มองโจวเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างหลังที่ถูกกั้นด้วยเคาน์เตอร์คิดเงิน
“ไม่ต้องกลัว ในร้านไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด ผมเองก็ไม่ได้มีปากกาบันทึกเสียง” โจวเจ๋อบิดขี้เกียจ “แน่นอนว่าที่ผมพูดแบบนี้คุณจะต้องไม่เชื่อแน่นอน เหอะ แล้วแต่คุณก็แล้วกัน”
“ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร” เด็กหนุ่มส่งอาหารใจเย็นมาก
คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ จะต้องใจเย็นมากอยู่แล้ว
ทางตำรวจตอนนี้ยังหาคนวางเพลิงไม่ได้ นี่คือความสามารถของเขา แน่นอนว่า ณ ที่นี้ คือคำที่มีความหมายเชิงลบ
“ผมมั่นใจว่าไฟนั่น คุณเป็นคนวางเพลิง” โจวเจ๋อแบมือ เขาแค่เล่าความจริง เป็นความจริงที่ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งอย่างสิ้นเชิง
“คุณเมาแล้ว” เด็กหนุ่มส่งอาหารเอ่ย
“ไม่ได้เมา”
โจวเจ๋อหัวเราะ
“แค่อาศัยไอ้นี่ คุณก็พูดว่าผมเป็นคนวางเพลิง คุณเก่งกว่าตำรวจอีกเหรอ” เด็กหนุ่มส่งอาหารเริ่มมีสีหน้าตึงเครียด แต่เขายังคงพยายามอดกลั้นอยู่
“อืม…แน่นอนว่าผมไม่ได้เก่งกว่าตำรวจ แต่ผมไม่ได้ตาบอด ส่วนที่ผมบอกว่าอิงจากข้อมูลนั่น ก็เลยคิดว่าคุณเป็นคนลอบวางเพลิง ขอโทษ แต่เป็นคุณจริงๆ”
ผมก็แค่ยืนยันให้ได้ก่อน หลังจากที่คุณเป็นคนวางเพลิง แล้วค่อยหาหลักฐานออกมา เพื่อสัมผัสความรู้สึกของโคนันยอดนักสืบ
โจวเจ๋อชี้ไปที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มส่งอาหาร
เด็กหนุ่มส่งอาหารรีบหันไปทันที เขาคิดว่าตรงนั้นมีตำรวจยืนอยู่ แต่ไม่มีใครสักคน และก็ไม่มีเสียงไซเรน
และศูนย์การค้าที่ใกล้ม้วยมรณาแห่งนี้ แถมยังเป็นเวลาดึกดื่น ไม่มีคนเดินผ่านมาสักคน
“พวกเขา เดินตามคุณเข้ามา” โจวเจ๋อกล่าว
“ใคร” เด็กหนุ่มส่งอาหารขมวดคิ้ว
“หกคนที่ตายในโรงภาพยนตร์ พวกเขาเดินตามคุณเข้ามา จากนั้นผมแค่มอง ก็ ‘อ๋อ’ ทันที ที่แท้ฆาตกรก็คือคุณ เรื่องนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว ยกเว้นตัวตลกที่เกลียดผมสุดจิตสุดใจที่ยืนอยู่ข้างหลังของผม คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าคนที่ถูกฆ่าตายจะจำฆาตกรไม่ได้ใช่ไหมเล่า”
โจวเจ๋อค่อยๆ ลุกขึ้น มองเด็กหนุ่มส่งอาหารที่อยู่ข้างหน้า
“ทำเป็นลิงหลอกเจ้า!” เด็กหนุ่มส่งอาหารเกือบจะเริ่มตวาด ไม่รู้ว่าทำไม เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของตัวเองที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาจากบนใบหน้า
“ไม่ต้องตื่นเต้น พวกเขาทำร้ายคุณไม่ได้”
โจวเจ๋อเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ พร้อมกับถือถุงพลาสติกอยู่ในมือ
ถุงพลาสติกใส่ข้าวกล่องกล่องเล็กและยังมีผักดองเล็กน้อย
ในสายตาของโจวเจ๋อ ทั้งหมดหกคนต่างนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติก มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง หนึ่งในนั้นมีคนแก่สองคน
พวกเขานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบ เงียบมาก ไม่มีเสียงดังเลยสักนิด
ต่อหน้าทุกคน โจวเจ๋อวางข้าวหนึ่งชาม แล้ววางผักดองไว้บนข้าว จากนั้นใช้ตะเกียบแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งปักลงไปบนข้าวให้ตั้งขึ้นมา
จากนั้นโจวเจ๋อก็หยิบเหล้าขาวราคาไม่ถึงสิบหยวนออกมา รินใส่แก้วพลาสติกที่อยู่ตรงตู้กดน้ำ แล้ววางหนึ่งแก้วต่อหน้าทุกคน
“พวกพี่ทั้งหลาย ผมเองก็ไม่ง่ายเหมือนกัน เปิดร้านหนังสือแห่งนี้ขาดทุนตลอด จึงมีแต่ของพวกนี้ต้อนรับทุกคนอย่าโกรธที่ผมงกนะครับ พวกคุณก็ตายไปแล้ว แต่ผมยังต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่างไรก็ตามครอบครัวของพวกคุณจะต้องเซ่นไหว้ให้พวกคุณแน่นอน ของผมมีให้เท่านี้ก็คงไม่แย่ ใช่ไหมครับ”
โจวเจ๋อโน้มตัว เหมือนกำลังพูดทักทายกับลูกค้าเป็นปกติ
อืม ตัวตลกไร้สมองที่อยู่ข้างหลัง โจวเจ๋อไม่ได้เหลือข้าวให้เขาสักชุด
“แม่งสมองของคุณมีปัญหาใช่ไหม!” เด็กหนุ่มส่งอาหารทนไม่ไหว “เหอะ ผมควรจะอัดคลิปของคุณจริงๆ แล้วอัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต ให้เพื่อนๆ ได้เห็นนิสัยของคุณ!”
“คุณกล้าเหรอ” โจวเจ๋อหันมา “พูดเหมือนว่าคุณกล้าจริง คุณเพิ่งจะไลฟ์สดได้สองสามวัน ก็ต้องเศร้าเสียแล้ว”
ใช่แล้ว ตำรวจตอนนี้ยังหาตัวผู้ลอบวางเพลิงไม่เจอเพราะมีหลายสาเหตุ แต่ถ้าหากทำให้ตำรวจมีผู้ต้องสงสัยที่สำคัญแล้วสืบต่อไป ผู้ลอบวางเพลิงก็ยากที่จะซ่อนตัวอีก
“ผมต้องไปแล้ว สมองของคุณมีปัญหา”
เด็กหนุ่มส่งอาหารเปลี่ยนสีหน้าเป็นมิตรเหมือนก่อนหน้านั้น เขาสามารถนำความนิยมของตัวเองเปลี่ยนมาอยู่บนหน้าจอการไลฟ์สดได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็ยังได้รับรายได้มหาศาล ไม่ใช่เพราะเขาเป็น ‘ฮีโร่’ เท่านั้น แต่ยังมีแผนการตลาดของเขาเอง
เขาเป็นคนติดดินมาก ในขณะเดียวกันได้สร้างภาพลักษณ์เดิมไว้ดีแล้ว และด้วยพื้นฐานนี้ การไลฟ์สดส่งอาหารดิลิเวอรี เดิมทีเป็นงานที่ลำบากและน่าเบื่อแต่กลับทำให้คนดูกันอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน
เขารู้ตัวดี เขาลนลาน เขาตกใจ ดังนั้น เขาอยากออกไป หนีไปจากร้านหนังสือแห่งนี้
เขาเสียใจที่มาที่นี่ในวันนี้ เสียใจเป็นอย่างมาก
โจวเจ๋อไม่เข้าไปขัดขวางเขา เพียงแต่ตอนที่เด็กหนุ่มส่งอาหารยื่นมือเตรียมจะผลักประตูร้านหนังสือออกไป
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา แล้วเอ่ยว่า “เที่ยงคืนแล้ว”
“ติ๊ง!”
ในร้านไม่มีนาฬิกาแขวนผนัง แต่เวลานี้ เด็กหนุ่มส่งอาหารกลับได้ยินเสียงนาฬิกาดัง
เขาใช้แรงผลักประตู แต่ประตูไม่ขยับเลยสักนิดเดียว เขาโกรธแล้ว มองดูที่ล็อกประตูด้านล่าง ประตูไม่ได้ล็อกและไม่มีสิ่งใดขวางทาง แต่ประตูกลับเปิดไม่ออก
เด็กหนุ่มส่งอาหารเริ่มถีบประตูเหมือนคนบ้า ทว่าประตูกลับขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
และสิ่งที่เขามองไม่เห็นก็คือ แต่เดิมหกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ทั้งหมดได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
เจ็ดวันวิญญาณกลับมาหา
กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา
พวกเขามาที่นี่ ติดตามศัตรูของตัวเอง
และตอนนี้ พวกเขากำลังจ้องมองศัตรูคู่อาฆาตของตัวเองตาเขม็ง
รู้ทั้งรู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นคนลอบวางเพลิงพวกเขาแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นฮีโร่
“ข้าเรียกเจ้าแต่เจ้าไม่ช่วยข้า!”
เสียงตวาดทุ้มต่ำดังมาจากข้างหลังของโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อกำลังเป่าเล็บของตัวเองเวลานี้อยู่พอดี จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างฉับพลัน เล็บมือทั้งห้าของมือขวา งอกยาวในพริบตา ทะลุผ่านแสงสีดำผิดปกติที่กระจายออกมา อากาศสีดำเป็นสายหมุนวนเป็นเกลียวรอบปลายนิ้ว แฝงไปด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัว
และในเวลาเดียวกัน ไอหมอกสีดำพลันกลิ้งไปมาอยู่ในนัยน์ตาของโจวเจ๋อ
“ซือๆๆ…อาๆๆๆๆ!!!”
ผู้ชายชุดสูทไม่ง่ายเลยกว่าจะกลายร่างเป็นผีร้ายได้ ถูกมือของโจวเจ๋อจับไปที่ไหล่โดยตรง จากนั้นก็เริ่มสั่นไปทั้งตัว อากาศสีดำที่ปลายนิ้วของโจวเจ๋อดุจดังมีดเล็กที่เฉียบคมทิ่มทะลุร่างกายของเขาไม่หยุด ควันเขียวเป็นสายลอยขึ้นไปจากกลางกะโหลกศีรษะของผู้ชายชุดสูทสีดำ
“ผมเข้าใจคุณ แต่คุณทำให้ผมต้องขยะแขยงมาก”
โจวเจ๋อเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ดังนั้น คุณจงไปเถอะ”
โจวเจ๋อออกแรงที่นิ้วมืออีกครั้ง
ผู้ชายชุดสูทร้องโหยหวนพร้อมกับเผยสีหน้าอ้อนวอน เขาหวังว่าโจวเจ๋อจะปล่อยตัวเอง เขาได้กลายเป็นผีร้ายไปแล้ว ถ้าหากต้อง ‘ตาย’ อีกครั้ง ก็เท่ากับจิตวิญญาณแตกสลาย ไม่มีแม้แต่โอกาสเข้าไปในนรก
แต่โจวเจ๋อไม่ได้ยั้งมือ สายตายังคงเย็นชาเหมือนเดิม
หลังจากรอให้กายร่างของผู้ชายชุดสูทสีดำสลายและระเหยจนหมดสิ้น
เขาถึงได้ชักฝ่ามือของตัวเองกลับมา เขายังมองเห็นเศษธุลีอยู่ตรงกลางฝ่ามือของตัวเองอยู่บ้าง
“ฟู่…”
โจวเจ๋อเป่าลมที่ฝ่ามือครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงตบมือแปะๆ
ตอนที่หมุนตัวกลับมา โจวเจ๋อต้องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถึงทำให้รูปแบบของร้านหนังสือเกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่นี่ก็เป็นความบังเอิญบางอย่างเท่านั้น
หลังจากลูกค้าทั้งหกคนนั้น เข้ามานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ เนื้อตัวก็เริ่มมีหมอกสีดำผุดออกมา นี่คือแนวโน้มของการกลายร่างเป็นผีร้าย
และเด็กหนุ่มส่งอาหารคนนั้นก็ยังใช้กำปั้นของตัวเองชกไปที่กำแพงและใช้เท้าของตัวเองถีบไม่หยุด
พอเงยหน้ามอง กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนอง สามารถพูดได้ว่าอาจจะเป็นภาพที่อยู่ตรงหน้ากระมัง
ผู้ประสบภัยทั้งหกคนนี้ ตอนแรกก็ตื่นตระหนกทำตัวไม่ถูกอยู่ท่ามกลางเพลิงไหม้ที่ลุกลามและควันหนาเตอะ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ สุดท้ายจึงหนีไม่รอด แล้วตายอยู่ในนั้นอย่างน่าอนาถ
“ทุกท่าน ช่วยไว้หน้าผมเถอะ พวกคุณอย่าเพิ่งรีบร้อนกลายเป็นผีร้าย”
โจวเจ๋อเข้ามาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วยกมือทำเป็นสัญญาณให้กับทั้งหกคนนี้
“มา ผ่อนคลายหน่อย ยิ้มให้ผมดูหน่อยได้ไหม”
โจวเจ๋ออยากจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ถ้าหากพวกเขากลายร่างเป็นผีร้าย ก็ไม่สามารถกลับชาติมาเกิดได้หลังจากแก้แค้น หลังจากสูญเสียความยึดติดอย่างสิ้นเชิง ก็จะสลายไปตามสายลม
นี่คือจุดจบที่น่าเวทนาที่สุด
โจวเจ๋อรู้สึกว่า นี่ไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
ผู้ลอบวางเพลิงทำร้ายพวกเขาจนเสียชีวิต ถูกแยกจากครอบครัวเพื่อนรักและญาติสนิทของตัวเองด้วยโลกของหยินและหยาง ลูกๆ ของพวกคุณต้องสูญเสียพ่อหรือแม่ พ่อแม่ของพวกคุณต้องสูญเสียลูก
ไม่จำเป็นต้องผลักตัวเองตกลงสู่เหวลึกเหมือนฆาตกรคนนี้
เพียงแต่คำพูดของโจวเจ๋อไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
สีหน้าของทั้งหกคนยังคงเย็นชาเหมือนเดิม และหมอกสีดำที่อยู่บนร่างก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น หางตาและขอบปากเริ่มมีรอยสีดำแยกออกมา
กำลังจะกลายร่างเป็นผู้ชายชุดสูทสีดำตัวตลกที่พุ่งมาหาตัวเองเมื่อครู่ในไม่ช้า
“ในเมื่อพวกคุณไม่ยิ้มให้ผม ถ้าอย่างนั้นผมจะยิ้มให้พวกคุณเอง”
โจวเจ๋อแสยะยิ้มที่น่าเกลียดออกมา
หมดกัน สร้างกรรมแท้ๆ
ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว
โจวเจ๋อรู้ดี ว่าตัวเองสามารถกำจัดผีร้ายเหล่านี้ให้วิญญาณแตกสลายได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่นตัวตลกที่อยู่ข้างกายตัวเองมาหนึ่งสัปดาห์ กว่าจะเล่นซีดีจบและเตรียมตัวปล่อยท่าไม้ตายกลับโดนตบจนตายด้วยฝ่ามือของตัวเอง
ทว่าสั่งให้ตัวเองโปรดสัตว์ผีเหล่านี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร และตัวของโจวเจ๋อก็เป็นผีอยู่แล้ว จึงไม่สะดวกทำเรื่องพวกนี้ ก็เหมือนสั่งให้เตียวหุยไปสอดด้ายเข้าเข็ม
“ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง!”
เสียงดังทรงพลังดังมาจากนอกร้าน ต่อจากนั้นประตูร้านหนังสือได้ถูกคนผลักออก สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามาข้างในพร้อมกับถือถ้วยกระเบื้องขนาดเล็กอยู่ในมือ โดยมีข้าวสารอยู่ในถ้วย และปักธูปหอมสามแท่งในขณะเดียวกัน
“ไป!”
แล้วธูปหอมทั้งสามแท่งก็เผาไหม้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ข้าวสารที่อยู่ในชามจากสีขาวสุกใสได้เปลี่ยนเป็นสีดำ แล้วหมอกสีดำที่อยู่บนตัวของทั้งหกคนนั้นก็เริ่มจางลงในเวลานี้ สุดท้ายใบหน้าของพวกเขาจากเย็นชาเศร้าหมองในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความสงบสุข
ทั้งหกคนได้นั่งลงอย่างช้าๆ นั่งลงตรงหน้าชามข้าวของตนเอง
“สวี่ชิงหล่าง!” โจวเจ๋อชี้หน้าแล้วตะโกนเรียกชื่อเขา
ด้วยความตื่นเต้น
ด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
ตื่นเต้นยิ่งกว่าได้เห็นหมอหลินอาบน้ำเสร็จ
พอคิดว่าตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเองกินอาหารอย่างยากลำบากแค่ไหน
แล้วจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร!
ส่วนการแสดงออกเมื่อครู่ของสวี่ชิงหล่าง โจวเจ๋อไม่รู้สึกแปลกใจอะไร อันที่จริงก่อนหน้านั้นทุกคนต่างก็รู้แต่ไม่พูดเท่านั้นเอง
สวี่ชิงหล่างทำตาเหลือกขาวใส่โจวเจ๋อหนึ่งที ทันใดนั้น อารมณ์ก็เปี่ยมไปด้วยความสุนทรีย์ เหมือนดั่งดอกตู้เจวียนที่เบ่งบานอยู่บนภูเขา
แต่ขณะเดียวกันก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“คุณจัดงานเลี้ยงเที่ยงคืนวันตรุษจีนหรือไง”
“ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน” โจวเจ๋อจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สวี่ชิงหล่างฟังคร่าวๆ
สวี่ชิงหล่างพยักหน้าเพื่อแสดงว่าตัวเองรู้แล้ว จากนั้นจึงประสานมือแล้วพูดกับทั้งหกคนว่า
“ทุกท่าน เจ็ดวันแรกวิญญาณต้องกลับบ้าน พวกคุณกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวคนรักและญาติของตัวเองเถอะพวกเขาน่าจะกำลังรอพวกคุณอยู่ เรื่องที่นี่ ผมจะจัดการให้พวกคุณเอง”
ทั้งหกคนได้ยินดังนั้น จึงเดินทะลุผ่านกระจกออกไปอย่างเงียบๆ
สายตาของโจวเจ๋อกลับมองไปที่ชามที่ใส่ ‘ข้าวสารสีดำ’ ชามนั้น
“ของพวกนี้ทำไมถึงไม่มีผลกระทบกับผม”
สวี่ชิงหล่างกระตุกมุมปาก พยายามฝืนทนอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะต่อสู้สามร้อยเพลงรบกับโจวเจ๋อ
แล้วทำเสียงฮึดฮัดเอ่ยว่า “คุณไม่เหมือนกัน”
เขายังโกรธอยู่ และมีความคิดเห็นต่อโจวเจ๋อที่ยังไม่สมดุลพอ แต่เนื่องจากบุคลิกหน้าตารวมถึงน้ำเสียงของเขาทำให้ประโยค ‘คุณไม่เหมือนกัน’ แฝงไปด้วยความขุ่นเคืองของแม่หญิงอย่างสุดซึ้ง
ต่อจากนั้น สวี่ชิงหล่างมองไปที่เด็กหนุ่มส่งอาหารที่สลบ นอนขดตัวอยู่ตรงมุมนั้น “จะจัดการเขายังไง”
ขณะที่พูด สวี่ชิงหล่างได้ทำท่ามือเป็นรูปสันดาบ
โจวเจ๋อส่ายหน้า เอ่ยว่า “ส่งให้ตำรวจเถอะ”
…………………………………………………………………………