ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 276 ความยุ่งเหยิงที่โรงพยาบาล
ตอนที่ 276 ความยุ่งเหยิงที่โรงพยาบาล
“ตรวจร่างกายให้ละเอียด ตรวจทุกอย่างที่สามารถตรวจได้ จากนั้นรายงานผลการตรวจให้ผมทราบด้วย” โจวเจ๋อพูด
“ได้ค่ะ” หมอหลินตอบรับ “วางใจเถอะค่ะ ถ้ามีปัญหาละก็ คุณจะทราบทันที ดื่มชาไหมคะ”
“ครับ”
จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของหมอหลิน ที่นี่คงจะเป็นพื้นที่พักผ่อนของเธอ การตกแต่งเรียบง่าย แต่ก็ยังเข้ากับบุคลิกสบายๆ ของเธออีกด้วย
หมอหลินชงชาแล้วยกมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง
“ครั้งที่แล้วคุณบอกว่าจะส่งเอกสารข้อตกลงการหย่ามาให้ผมอีกครั้ง” โจวเจ๋อพูด
“อืม”
“ผมยังไม่ได้รับ”
“ฉันยังไม่ได้ส่งค่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้าและนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามโต๊ะทำงาน
“เป็นยังไงบ้างคะ สนใจกลับมาทำงานเก่าที่นี่ไหมคะ” หมอหลินชี้ที่นี่และพูดขึ้น
โรงพยาบาลแห่งนี้ล้วนเป็นของครอบครัวเธอ
“มันน่าดึงดูดใจมากทีเดียว” โจวเจ๋อจิบชาไปสองอึก “แต่ผมขี้เกียจจนชินแล้ว กลัวว่าจะไม่ชินกับชีวิตที่ต้องทำงานเหมือนเมื่อก่อนน่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนคุณอารมณ์ดีก็มา ตอนที่คุณอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ต้องมาค่ะ”
โจวเจ๋อเลียริมฝีปาก หวั่นไหวนิดหน่อยนะเนี่ย
ในโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาจะไม่เจอพวกคร่ำครึที่เอาแต่อิจฉาคนเก่ง และก็จะไม่เจอเพื่อนร่วมงานที่คอยขัดแข้งขัดขาเขา และยิ่งไม่มีคู่แข่งที่คอยจะใส่ร้ายเขาลับหลังอีกด้วย
คุณสามารถเพลิดเพลินกับอิสระทุกอย่างนี้ได้ และสามารถใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้อำนวยการก็คือภรรยาของเขาเอง
แต่โจวเจ๋อก็ยังไม่ตอบตกลงไปทันที บอกตามตรง เขาทำใจทิ้งร้านหนังสือไม่ลง ตัดใจทิ้งความรู้สึก บรรยากาศ และเพื่อนร่วมงานของร้านหนังสือไม่ลง เขาทำใจทิ้งอิงอิงไม่ได้
เป็นไปได้ไหมว่าจะให้อิงอิงไปสอบใบประกอบวิชาชีพพยาบาลมาทำงานทางการแพทย์กับเขาด้วยน่ะ
แน่นอนว่า เหตุผลนี้จะบอกหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ เถ้าแก่โจวคนฉลาดก็ยังพอรู้ขอบเขตอยู่บ้าง
“ที่จริง มันไม่เหมาะสมใช่ไหม” โจวเจ๋อชี้ตัวเอง
เขาในชาติที่แล้ว เป็นศัลยแพทย์ที่อายุน้อยที่สุดและโดดเด่นที่สุดในทงเฉิง แต่ตัวตนของสวีเล่อในชาตินี้เป็นอะไรเสียที่ไหน หากเขาไปหยิบมีดผ่าตัด อาจเกิดปัญหาขึ้นมากมายก็เป็นได้
“เหอะๆ ถ้าคุณยินดีละก็ ช่วงนี้ฉันกำลังคิดจะลงทุนร้านขายยาบางแห่ง ฉันกำลังวางแผนเซ้งตึกข้างๆ ร้านหนังสือของคุณเอาไว้ทำร้านขายยาน่ะ จนถึงตอนนั้นคุณก็ทุบให้ทะลุเชื่อมกับร้านหนังสือของคุณเลย ตอนที่คุณว่างๆ ก็ไปนั่งเล่นที่นั่นได้
ในร้านขายยาบางแห่งก็มีหมอเท้าเปล่า[1]ประจำอยู่ ตรวจโรคเล็กๆ น้อยๆ และจ่ายยามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร อีกอย่างฉันเชื่อในความสามารถของคุณ คงไม่ทำลายชื่อเสียงหรอกค่ะ”
โจวเจ๋อดื่มชาต่อ ไม่อยากถกปัญหาพวกนี้แล้ว เขากลัวว่าตัวเองจะทนไม่ไหว
“หมอหลินคะ แผนกฉุกเฉินค่ะ!”
ในเวลานี้ พยาบาลนางหนึ่งวิ่งตะโกนเข้ามา หมอหลินรีบลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทำงานไปทันที
โจวเจ๋อวางถ้วยชาลงและเดินออกมาอย่างอ้อยอิ่ง บังเอิญเจอไป๋อิงอิงที่เพิ่งหาที่นี่เจอจนได้
“เถ้าแก่ รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปเยอะเลย” อิงอิงพูดขึ้น
“เมื่อกี้ไปทำอะไรมาน่ะ”
“เถ้าแก่ เมื่อก่อนเธอไม่ได้พูดจาเก่งถึงขนาดนี้นี่นา” อิงอิงไม่ตอบ พยายามเนียนๆ ผ่านไป
“คนเราน่ะ มันเปลี่ยนไปตลอดละนะ” โจวเจ๋อพูด
“งั้นเถ้าแก่ยังชอบเธออยู่ไหมเจ้าคะ” อิงอิงถาม
อิงอิงอยากบอกเหลือเกินว่านางเหนื่อยมาก สู้กับผู้ชายแล้ว ยังมีเจ้าตัวเล็กมาอีก ปรากฏว่าที่นี่ จู่ๆ ดันมีภรรยาเก่าเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว!
ในฐานะที่นางมีสถานะเป็นสาวใช้แล้วคิดอยากจะไต่เต้าขึ้นไปตำแหน่งสูงนั้น ศึกในวังหลวงนี้ยากยิ่งนัก!
“ระหว่างผมกับเธอไม่มีอะไรสักหน่อย อีกอย่างนะ หากตัวตนของผมเข้าไปพัวพันกับเธอมากไป ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเธอ”
“ที่ว่าไม่มีอะไรหมายถึงอะไรเจ้าคะ”
“มีอะไรอยู่ในสมองของคุณบ้างเนี่ย” โจวเจ๋อเอื้อมมือไปเขกหัวเกาลัดของอิงอิง
“แต่ว่าในตอนนั้นฮูหยินกับนักปราชญ์ท่านนั้นก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน แล้วทำไมพวกเขาถึงอยู่ด้วยกันจนตายได้เจ้าคะ”
“ระหว่างชายและหญิงมันไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์แบบนั้นซะหน่อย ยังมีการชื่นชมซึ่งกันและกันทางจิตวิญ…”
จู่ๆ โจวเจ๋อก็ชะงักคำพูด เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน ตอนแรกแม่นางไป๋กับนักปราชญ์ท่านนั้นไม่ได้มีอะไรในกอไผ่อย่างนั้นเหรอ นั่นไม่เท่ากับว่าร่างกายนี้ของอิงอิงนั้น นางยัง?
“อิงอิง หรือว่าคุณยัง…”
โจวเจ๋อยังไม่ทันจะได้ถามในเรื่องนี้ ที่ห้องฉุกเฉินด้านนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
เกิดปัญหาอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ
โจวเจ๋อรีบเดินเข้าไปทันที นี่เป็นสัญชาตญาณในวิชาชีพ กระทั่งสามารถบอกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบโต้แบบมีเงื่อนไข อีกทั้งที่นี่ยังเป็นโรงพยาบาลอีกด้วย ทำให้โจวเจ๋อจู่ๆ ก็ลืมความจริงไปว่าเขาไม่ใช่ตัวตนเดิมในชาติก่อนได้ง่ายๆ
เมื่อผลักประตูห้องฉุกเฉิน โจวเจ๋อก็มองเห็นชายชราคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง เครื่องมอนิเตอร์รอบๆ แสดงให้เห็นว่าชายชราค่อยๆ สูญเสียสัญญาณชีพ
“ชาร์จ หลบไป”
หมอหลินกำลังเตรียมกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า แต่หลังจากกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ชายชราก็ยังไม่ตอบสนอง
“คุณเป็นใครคะ คุณไม่ควรอยู่ตรงนี้นะคะ” พยาบาลสาวคนหนึ่งเห็นโจวเจ๋อ
“ให้เขาอยู่ที่นี่” หมอหลินพูดขึ้น เธอคือผู้อำนวยการ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้าต่อต้านเธอ
โจวเจ๋อเดินมาข้างๆ หมอหลิน
“ช่วยฉัน” หมอหลินบอกโจวเจ๋อ
“หัวใจวายเฉียบพลันเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ใช่ค่ะ”
“คุณทำต่อไป สังเกตอัตราความถี่ด้วย” โจวเจ๋อไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการช่วยชีวิตโดยพลการแต่อย่างใด ตอนนี้หมอหลินก็ทำได้ดีมากอยู่แล้ว เขาจะเข้าร่วมหรือไม่นั้น จริงๆ แล้วมีค่าเท่ากัน
อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันนี้สูงมาก อีกทั้งผู้ป่วยก็อายุมากแล้ว อันที่จริงสำหรับแพทย์ฉุกเฉินส่วนใหญ่แล้ว ทำเท่าที่ทำได้จะช่วยชีวิตกลับมาได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิตแล้ว
การยื้อชีวิตยังคงดำเนินต่อไป แต่ผลที่ได้ไม่ดีนัก
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก
ในเวลานี้เอง เขามองเห็นแสงสีเทาค่อยๆ ลอยสูงขึ้นมาจากร่างของชายชรา ดวงวิญญาณหลุดออกมาแล้ว ช่วยชีวิตไม่ทันอย่างนั้นเหรอ
เมื่อก่อนตอนที่โจวเจ๋อเป็นหมอนั้น ไม่มี ‘สูตรโกง’ แบบนี้ ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นดวงวิญญาณแล้ว ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วรู้ดีว่า เพียงแค่วิญญาณออกจากร่าง ก็หมายความว่าการยื้อชีวิตนั้นถือได้ว่าล้มเหลว
มองดูหมอหลินที่ยังคงวุ่นอยู่กับการยื้อชีวิตและไม่ยอมแพ้ มองดูเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มากมายรอบตัวยังคงทำการช่วยชีวิตอย่างจริงจัง
โจวเจ๋อเม้มริมฝีปาก เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าดวงวิญญาณนี้
ก็เหมือนกับที่เขาช่วยชีวิตสาวน้อยโลลิจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในตอนแรก นำดวงวิญญาณของเขามาและยัดกลับเข้าไป
แม้ว่าโจวเจ๋อจะต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดมากจากการสะท้อนกลับ แต่การที่จะให้เขานั่งอยู่ที่นี่ มองดูผู้ป่วยรายนี้ตายไปแบบนี้ มันฝืนใจเขาเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะตอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน โดยเฉพาะคนในที่นี้ยังสวมใส่ชุดกาวน์สีขาวอยู่
โจวเจ๋อในตอนแรกก็เคยประสบกับความสิ้นหวังจากการช่วยชีวิตที่ล้มเหลวแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสิ้นหวังประเภทนี้ แม้แต่แพทย์อาวุโสยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงหนึ่งสัปดาห์จึงจะหลุดพ้นออกมาได้
คุณทุ่มเททุกอย่าง พยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับยังช่วยชีวิตผู้ป่วยไม่สำเร็จ ความรู้สึกพ่ายแพ้แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้
เมื่อฝ่ามือสัมผัสเขา แต่ดวงวิญญาณกลับเริ่มบิดเบี้ยว
หากบอกว่าตอนแรกที่โจวเจ๋อคว้าดวงวิญญาณของสาวน้อยโลลิคล้ายกับจับท่อนไม้ อย่างนั้นตอนนี้เมื่อเขาคว้าดวงวิญญาณของชายชรา มันกลับเหมือนการคว้าโคลนที่เฉอะแฉะ
อายุขัยหมดแล้วเหรอ
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังคงใช้มือคว้าเอาไว้อย่างไม่ยินยอม
ฉากที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ได้ปรากฎขึ้นในห้องฉุกเฉิน
ตอนที่ทุกคนกำลังพยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ ชายที่ผู้อำนวยการอนุญาตให้เข้ามาเป็นกรณีพิเศษคนนี้ กำลังร่ายรำอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ
หรือว่าจะเป็นคนที่ผู้อำนวยการเชิญมาระบำเทพ
เราเป็นบุคลากรทางการแพทย์นะเว้ย จะใช้วิธีนี้ช่วยรักษาชีวิตคนไข้ได้ยังไง!
แต่ทุกคนยำเกรงสถานะของผู้อำนวยการ อีกอย่าง ความเป็นมืออาชีพและระดับความสามารถของหมอหลินที่แสดงออกมาในอดีตนั้น ทำให้ทุกคนไม่ค่อยอยากเชื่อว่าหมอหลินจะเชิญคนมาระบำเทพเพื่อช่วยรักษาและช่วยชีวิตคนไข้
ดังนั้น บรรยากาศในห้องฉุกเฉินยังคงน่าอึดอัดอย่างนี้ต่อไป จนกระทั่ง โจวเจ๋อไม่สามารถช่วยได้แล้วจริงๆ เพราะเขาเห็นวิญญาณของชายชราบิดเบี้ยวและทรมานในกำมือของเขา
กระทั่งกำลังอ้อนวอนขอให้ตัวเองปล่อยเขาไป เขาเจ็บปวดมากเกินไป เขายอมจากไปและลงนรกกลับชาติไปเกิดอย่างสงบ ไม่อยากจะแบกรับความทุกข์ทรมานแบบนี้อีกแล้ว
โจวเจ๋อลดแขนลง รู้สึกสลดใจเล็กน้อย เขาไม่สามารถนำคนที่สิ้นอายุขัยไปแล้วกลับคืนมาได้สินะ
อันที่จริง ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อเคยลองใช้วิธีนี้เพื่อช่วยชีวิตคนมาก่อน หลังจากช่วยชีวิตคนแล้วเขาจะประสบกับความทรมานอย่างแน่นอน มันจะเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสาหัสจนเกินไป และไม่ถึงขั้นกล้ามเนื้อและกระดูกเสียหาย
บางครั้งโจวเจ๋อเองก็คิดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนความเป็นความตายของคนคนหนึ่งไป ทำไมราคาค่างวดถึงได้น้อยนัก
ต่อมา โจวเจ๋อถึงได้เข้าใจแล้ว
ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยสองรายเป็นโรคและมีอาการเดียวกัน
คนหนึ่งได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเขารอดชีวิตมาได้
คนหนึ่งได้รับน้ำเกลือในโรงพยาบาลขนาดเล็กในชนบทของจีน เขาเสียชีวิตแล้ว
ความแตกต่างของทรัพยากรทางการแพทย์ทำให้คนคนหนึ่งรอดชีวิตและอีกคนกลับเสียชีวิต นี่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อย่างนั้นเหรอ
ยมทูตใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองในการยัดดวงวิญญาณกลับเข้าร่าง เป็นการเพิ่มอัตราการยื้อชีวิตให้สำเร็จ อันที่จริงก็ใช้กับเหตุผลคล้ายการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ชั้นสูงนั่นแหละ แน่นอนว่า ยมทูตมีลักษณะพิเศษเฉพาะของตัวเอง และเป็นเรื่องปกติที่จะต้องรับผลสะท้อนกลับ แต่คนที่สิ้นอายุขัยเหล่านั้นมันหมดหนทางจริงๆ แม้แต่ยมทูตก็ช่วยอะไรไม่ได้
การยื้อชีวิตล้มเหลว ทุกคนในห้องฉุกเฉินต่างมีสีหน้าผิดหวัง
“แจ้งญาติคนไข้เถอะ แล้วค่อยเตรียมรายงานการช่วยเหลือและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ดีๆ” หลินหวั่นชิวเอ่ยกำชับ
“รับทราบ”
จากนั้น หลินหวั่นชิวมองโจวเจ๋อ “ขอโทษค่ะ”
การเอ่ยขอโทษนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของโจวเจ๋อ
“เกรงใจไปแล้ว”
และก็เกรงใจมากด้วย
โจวเจ๋อและหลินหวั่นชิวเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยกัน พอออกมาก็พบกับกลุ่มคนมุงกันอยู่ด้านนอก
หญิงชราผมหงอกที่ยืนค้ำไม้เท้าอยู่ด้านหน้าสุด เธอมีรูปร่างเตี้ย แต่แต่งตัวดูดีมีสง่าราศี ด้านหลังของเธอ มีทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่เฒ่าจำนวนหนึ่งยืนอยู่ รวมๆ แล้วมีห้าสิบกว่าคนเห็นจะได้
โจวเจ๋อมองอย่างอึ้งๆ หมอหลินเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์แล้วเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
อีกฝ่ายน่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด เวลานี้สีหน้าของคนในครอบครัวเหล่านี้เคร่งขรึมและเศร้าหมอง หลายคนกำลังกำหมัดแน่น
โจวเจ๋อก้าวไปข้างหน้า และบดบังหมอหลินให้อยู่ข้างหลังตัวเอง
หญิงชราสะอึกสะอื้นและถามขึ้น “ตาเฒ่า จากไปแล้วจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ”
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ เราทำเต็มที่แล้ว” หมอหลินที่ยืนอยู่หลังโจวเจ๋อตอบกลับไป
หญิงชราพยักหน้า “ไปจนได้สินะ”
ต่อจากนั้น หญิงชราก็ก้าวมาข้างหน้า โค้งคำนับแพทย์และพยาบาลทุกคนที่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“ขอบคุณพวกคุณที่พยาพยามช่วยชีวิต รบกวนพวกคุณแล้ว ทุกคนลำบากแล้ว”
บรรดาลูกหลานที่อยู่ด้านหลังหญิงชราก็โค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน และกล่าวกับแพทย์และพยาบาลทุกคนที่นี่อย่างเคร่งขรึม
“ลำบากพวกคุณแล้ว ขอบคุณมาก”
……………………………………………………..
[1] หมอเท้าเปล่า หมายถึง เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน