ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 282 ดินแดนแห่งภาพลวงตา
ตอนที่ 282 ดินแดนแห่งภาพลวงตา
ร่างกายของโจวเจ๋อเริ่มผ่อนคลายจากความตึงเครียดอย่างช้าๆ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากไหลย้อยลงมาไม่หยุด
คนที่เคยฉีดยาชาครึ่งตัวน่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน นั่นคือส่วนที่คุณถูกผ่าตัดได้ไร้ความรู้สึกไปแล้ว ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ตอนที่แพทย์ลงมีดบนตัวของคุณ คุณจะรู้สึกได้รางๆ ไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันแปลกๆ และไม่สบายตัวเท่าไร
โจวเจ๋อค่อยๆ ใจเย็นลง
แม้หญิงสาวคนนั้นยังคงโอบกอดเขาและเรียกเขาว่า ‘สามี’
แม้เด็กทั้งสองคนจะผ่าอกคว้านท้องของเขาอยู่ก็ตาม แต่ก็ช่างมันเถอะ พวกเขายังหยิบและเลือกกันอยู่
สำหรับเรื่องที่คล้ายกับภาพลวงตา โจวเจ๋อเคยตั้งใจคุยกับสาวน้อยโลลิมาก่อน สาวน้อยโลลิเคยบอกว่า ภาพลวงตาเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับต่ำมาก ระดับสูงกว่านั้นเรียกว่าค่ายกล เมื่อเจอเข้ากับภาพลวงตา ต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
มีเพียงเวลาที่คนสงบลงเท่านั้น ดวงตาจึงจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างแท้จริง และท่ามกลางภาพลวงตา มันจะออกแบบฉากที่หลากหลายมากระตุ้นให้คุณเกิดอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ
ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือภรรยาหรือพ่อแม่ของคุณที่เสียชีวิตไปแล้ว ให้ภรรยาหรือพ่อแม่ของคุณปรากฏตัวและตะโกนเรียกคุณ หรือไม่คุณก็เพิ่งจะพบเจอกับความพ่ายแพ้บางอย่าง แล้วให้คุณได้พบเจอกับสถานการณ์นั้นอีกครั้ง
สาวน้อยโลลิยังบอกว่า ในนรกยังมีชั้นพิเศษของนรกโดยเฉพาะ การลงโทษในนั้นจะปล่อยให้คนบาปกลับมาเกิดในวันที่ตัวเองเจ็บปวดและวันที่ไม่อยากจดจำมากที่สุดอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่มีจุดจบ
เริ่มจากสูดหายใจเข้าลึกๆ จนถึงจังหวะที่ถอนหายใจออกอย่างช้าๆ
โจวเจ๋อลืมหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังตัวเอง และลืมเด็กทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองไป
เขาเริ่มหลุดพ้นออกมาทีละน้อย
เถ้าแก่โจวเจอภาพลวงตามาหลายครั้งหลายคราแล้ว ตัวเขาเองยังมีสมุดหยินหยางอีกต่างหาก นั่นถึงจะเป็นจุดสุดยอดของศิลปะแห่งภาพลวงตา
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ได้เจอมากๆ เข้า ก็จะชินชาและนิ่งไปเอง
โจวเจ๋อลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินออกมาอย่างช้าๆ เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งถูกหญิงสาวคนหนึ่งกอดไว้ และเด็กทั้งสองคนกำลังรุมทึ้งสิ่งที่อยู่ในท้องของเขา ชายคนนั้นดูแปลกหน้า โจวเจ๋อไม่เคยเจอและดูไม่เหมือนตัวเขาด้วย
พื้นหลังรอบๆ กลับทำให้ภาพลวงตาที่ปรากฏดูหยาบๆ ลวกๆ ดูคล้ายกับ ‘ป่าไม้’ ที่นำกระดานวาดภาพมาทำในละครเวทีเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ต่างเป็นตัวผู้ชมเองที่ต้องมโนเพิ่มเข้าไปกันเอง
โจวเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม และมองอย่างตั้งใจอยู่พักหนึ่ง
มองดูการเคลื่อนไหว อารมณ์ ท่าที และพฤติกรรมของพวกเขา
อย่าให้พูดเลย รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียว
แต่ภาพลวงตานี้ค่อนข้างพิเศษ มีมุมมองของ ‘บุคคลที่สาม’ ให้ด้วยจริงๆ หลังจากดูไปสักพักก็พบว่ามันน่าเบื่อแล้ว โจวเจ๋อจึงถอยหลังก้าวหนึ่งและหาวไปหนึ่งที ใช้เล็บขีดข่วนที่ประตูด้านข้างเบาๆ จนทำให้เกิดเสียงทุ้มต่ำ แล้วเสียงก็เริ่มทวีความดังและแสบแก้วหูมากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงนี้คล้ายกับมีดแหลมคมเล่มแล้วเล่มเล่าเริ่มทิ่มแทงทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว จนท้ายที่สุด ภาพและฉากหลังที่อยู่ตรงหน้าเริ่มบิดเบี้ยวและมลายหายไป
มีกลิ่นขี้เถ้าธูปลอยตลบอบอวลในอากาศ
โจวเจ๋อบิดขี้เกียจทีหนึ่งและก้มหน้ามองท้องของตัวเอง แน่นอนว่ามันไม่บุบสลาย
เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง จางเยี่ยนเฟิงกำลังขี่บนตัวนักพรตเฒ่าที่อยู่บนพื้น คล้ายกับกำลังควบม้า
นักพรตเฒ่าถูกกดทับร่าง มุมปากเริ่มพ่นฟองฟอดสีขาวออกมาแล้ว
โจวเจ๋อเดินเข้าไปใช้เล็บจิ้มจางเยี่ยนเฟิงเบาๆ จางเยี่ยนเฟิงตัวสั่นไปทั้งตัว สีหน้ารักใคร่เอ็นดูแบบนั้นที่อยู่บนใบหน้าของเขาค่อยๆ เลือนหายไป เขาสะบัดหัว เมื่อเห็นคนอยู่ใต้ตัวเขาก็รีบผุดลุกขึ้นทันใด
หลังจากนั้นก็วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า[1] โจวเจ๋อจิ้มนักพรตเฒ่าอีกคน นักพรตเฒ่าลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง เมื่อเห็นจางเยี่ยนเฟิงก็ตัวสั่นระริก เมื่อเขาเห็นโจวเจ๋อก็ซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“เถ้าแก่…”
ข้าน้อยโดนขี่หลัง ข้าน้อยน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน
“ผมขอโทษครับ พี่ชาย”
จางเยี่ยนเฟิงก็รู้สึกเกรงใจมากเช่นกัน และช่วยพยุงนักพรตเฒ่าขึ้น
โชคดีที่จางเยี่ยนเฟิงกำลังขี่ม้าหมุนอยู่ ไม่ได้ควบม้าอยู่บนทุ่งหญ้าจริงๆ หากว่าเป็นอย่างหลังละก็ นักพรตเฒ่าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่นั้น ก็คงจะบอกได้ยากแล้วละ
ทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง
นักพรตเฒ่าได้รับความเจ็บปวดทางกายอย่างมาก อันที่จริงสภาพจิตใจของเขายังปกติดี ปัญหาไม่ใหญ่สักเท่าไร ติดตามเถ้าแก่ผีมาแล้วตั้งสองคน เจออุปสรรคมาเยอะแล้ว
ตรงกันข้ามกับจางเยี่ยนเฟิงที่ยังดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง อันที่จริงสำหรับเขานั้น เวลาที่เขาประสบพบเจอทั้งหมดในวันนี้ เท่ากับว่าได้ต่อยอดจากพื้นฐานของเรื่องโซ่ตรวนก่อนหน้านี้ ทำให้ทัศคติสามประการ[2]ของเขาถูกทำลายลงอีกครั้ง
โจวเจ๋อมองมือขวาของตัวเอง
มือ เป็นเงาร่างงานศิลปะของเขา โดยเฉพาะเล็บทั้งห้านิ้วนั้น ต่อให้เป็นช่างผู้ชำนาญในร้านทำเล็บที่ผีมือดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถแต่งออกมาเป็นความรู้สึกแบบนี้ได้
ตรงปลายเล็บมีมวลหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งล้อมรอบอยู่ โจวเจ๋อพลิกฝ่ามือคว่ำลงและใช้เล็บจิกแทงลงไปบนพื้น
หมอกสีดำเริ่มกระจายไปทุกสารทิศ นี่คือวิธีการตามล่าหาผีของโจวเจ๋อ
มีผีบางตนสันทัดในการซ่อนตัวมาก แม้จะเป็นยมทูตก็ยากที่จะหาเจอได้ วิธีนี้ใช้ได้ผลกับภูตผีแม้กระทั่งปีศาจ ล้วนแล้วแต่ใช้ได้ผลอย่างยิ่ง
แต่ทว่า ครั้งนี้ดูเหมือนจะทำงานไม่ได้ผล มวลหมอกสีดำยังลอยว่อนอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามันกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศแล้ว แต่เพียงไม่นานมันก็วนกลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่โจวเจ๋อเริ่มใช้เล็บตามหาผี นักพรตเฒ่าก็ทำท่าทางตั้งหลักเตรียมพร้อม ครั้งนี้เขาสาบานได้ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะกระโจนเข้าหาตัวเถ้าแก่ของเขาทันที จะตีเขาให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ตำรวจคนนั้นอุ้มเขาออกไปอีกแล้ว
เขาเชี่ยวชาญการจับอาชญากร แต่ถ้าเรื่องจับผีละก็ เถ้าแก่ของเขายังน่าเชื่อถือกว่า
โจวเจ๋อส่ายหน้า เก็บเล็บของตัวเองกลับไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย ถูฝ่ามือซ้ายเข้ากับฝ่ามือขวาเบาๆ และพูดขึ้น
“บ้านหลังนี้ ไม่มีปัญหา”
ใช่แล้ว ถ้าหากมีตัวอะไรอยู่ในนี้ละก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตอบสนองอะไรเลย
“อะไร เถ้าแก่ เจ้าคงไม่ได้ไข้ขึ้นหรอกใช่ไหม ไม่มีปัญหาเหรอ ไม่มีปัญหางั้นก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา”
โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวนแล้วพ่นควันออกมา “ผมเคยผ่านฉากนั้นมาด้วย น่ากลัวนิดหน่อย”
“มันไม่นิดแล้วนะ”
ขณะที่พูดนักพรตเฒ่าก็พลางเหลือบมองจางเยี่ยนเฟิงด้วยความความคับแค้นใจอย่างยิ่ง
ร่างกายแก่ชราของตัวเองนี้เกือบโดนเขาทับจนตายไปแล้ว
“น่ากลัวน่ะก็น่ากลัว แปลกน่ะก็แปลกอยู่หรอก แต่ในความเป็นจริง ผมไม่สังเกตเห็นถึงพลังวิญญาณและไม่มีกลิ่นอายปีศาจใดๆ ด้วย”
“งั้นมันคืออะไร”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” โจวยักไหล่ “มีเรื่องเหนือธรรมชาติบนโลกใบนี้ตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่แน่ว่าบ้านพักหลังนี้อาจจะมีสาเหตุอะไรอื่นๆ ถึงได้สร้างปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นมาก็ได้”
จางเยี่ยนเฟิงก้มหน้าลงเงียบๆ พลางเอื้อมมือไปขยี้ผมของตัวเอง
“ผมเห็นม้าหมุน ผมเห็นน้องสาวของผมและลูกทั้งสองคนของเธอด้วย”
“ข้าก็เห็นแล้ว” นักพรตเฒ่าพูดเสริม “ใช่แล้ว ยังมีเจ้าสุนัขอลาสกาตัวมหึมาอีกหนึ่งตัว!”
“อืม ความจริงแล้วถึงแม้ผมจะไม่เห็นม้าหมุนก็ตาม แต่ผมก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเลี้ยงลูกสองคนจริงๆ แต่ผมก็ไม่เห็นสุนัขอะไร”
“สุนัขเหรอ”
ตอนที่นักพรตเฒ่าเอ่ยถึงสุนัขในตอนแรกนั้น จางเยี่ยนเฟิงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ พอโจวเจ๋อเอ่ยถึงสุนัขอีกครั้ง ในที่สุดจางเยี่ยนเฟิงก็ได้สติกลับมา คล้ายกับนึกอะไรออก พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดอัลบั้มภาพ ชี้ไปที่รูปภาพและถามนักพรตเฒ่า
“ใช่สุนัขตัวนี้หรือเปล่า”
นักพรตเฒ่าชะโงกหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ แล้วส่ายหน้า “นี่มันเจ้าอลาสกาตัวเล็ก ที่ผมเจอน่ะตัวมันใหญ่บิ๊กเบิ้ม”
“ใหญ่บิ๊กเบิ้มเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงหรี่ตา
โจวเจ๋อก็ตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน “ความหมายคือ สองฉากที่เราเห็นและสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ในความเป็นจริง ตุ๊กตาผ้าน่ะสมัยก่อนในบ้านต้องมีอยู่แน่นอน สุนัขเป็นตอนมันเล็กๆ แต่มันก็เป็นสุนัขเหมือนกัน และก็เป็นพันธุ์อลาสกาด้วย
ส่วนม้าหมุน อันที่จริงตอนที่พวกคุณเข้ามาน่าจะไม่เห็น แต่ตรงริมแปลงเพาะดอกไม้หน้าประตูฝั่งนั้นมีม้าหมุนขนาดเล็กอยู่ แต่ต้องใช้คนผลักเอานะ ของเล่นขนาดเล็กที่เด็กสามารถเข้าไปนั่งเล่นได้ เทียบไม่ได้กับที่สวนสนุก แต่มันมีอยู่จริงๆ ทุกสิ่งที่ปรากฏในฉาก ล้วนแต่มาจากชีวิตจริงทั้งนั้น”
“เถ้าแก่ เจ้านึกอะไรออกเหรอ พูดมาเลยเถอะ”
“ปัญหาก็คือผมยังคิดอะไรไม่ออก”
โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่และพูดขึ้นอย่างจนปัญญานิดหน่อย
“ยุ่งยากจริงๆ ผมละอยากจะโน้มน้าวอิงอิงให้ขายบ้านหลังนี้ทิ้งไปซะ ถ้าเข้ามาอยู่ได้วุ่นวายมากแหงๆ”
“มันเป็นความฝันใช่ไหม” จู่ๆ จางเยี่ยนเฟิงก็พูดขึ้น “เพราะความฝันคือการสะท้อนความจริง”
“ความฝันเหรอ” โจวเจ๋อยิ้มๆ “ไม่ใช่ความฝัน”
เป็นไปไม่ได้ที่ภาพลวงตาระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินนี่จะทำให้เขานอนหลับได้สำเร็จ นอกเสียจากจะมีไป๋อิงอิงอยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นต่อให้ตัวเขาเถ้าแก่โจวกรอกยานอนหลับอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ใม่อาจนอนหลับได้อยู่ดี หากนอนไม่หลับละก็อย่าไปเอ่ยถึงเรื่องฝันเลย
“ไม่ใช่ความฝัน แต่ก็เป็นการสะท้อนความจริง งั้นมันจะเป็นอะไรได้ล่ะ”
จางเยี่ยนเฟิงยังคงพึมพำกับตัวเอง
“ข้าว่านะพี่ชาย แต่ละคนเก่งด้านที่ไม่เหมือนกัน เจ้าอย่ามาร่วมวงอีกเลยนะ เรื่องนี้มันยิ่งทวีความอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปเจ้าก็อย่ามาคนเดียวอีก ถึงอย่างไรบ้านหลังนี้ก็ขายให้เถ้าแก่ของข้าไปแล้ว ถูกไหม”
คำพูดของนักพรตเฒ่าเป็นความหวังดี
แม้ว่าเมื่อกี้จางเยี่ยนเฟิงเกือบจะพาเขาไปให้เจ้าแม่กวนอิมนั่งประทับในดอกบัวจนตาย แต่นักพรตเฒ่าก็คิดว่าเขาเป็นตำรวจที่ดี ในฐานะประชาชนธรรมดา ตำรวจดีๆ ยังเป็นที่รักของทุกคน
ในจังหวะนี้เอง โทรศัพท์ของโจวเจ๋อดังขึ้น กลับเป็นสายของไป๋อิงอิง
“ฮัลโหล”
“แงๆๆ เถ้าแก่ท่านอยู่ไหนเจ้าคะ
“กำลังสืบสวนคดีกับตำรวจอยู่น่ะสิ”
“อ้อ ลำบากเถ้าแก่แล้วเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอะไร”
“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ วันนี้ข้ากำลังจัดการทรัพย์สิน…ไม่สิ ตอนที่ทำความสะอาดบ้านนั้นดันไปเจอเข้ากับแฟ้มคดีที่เถ้าแก่บอกให้ข้าซ่อนเอาไว้ให้พ้นสายตาของท่าน”
“อ้อ” โจวเจ๋อตอบรับ “ทำไมเหรอ”
เดิมทีโจวเจ๋อนึกว่าไป๋อิงอิงจะพูดถึงสถานที่ที่เกิดเหตุฆาตกรรมในแฟ้มคดีซึ่งก็คือบ้านที่นางเพิ่งซื้อมา แต่โจวเจ๋อคิดผิดแล้ว
ไป๋อิงอิงไม่มีความคิดในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง นางซื้อบ้านเอาไว้เยอะเกินไป นางจำได้แค่จำนวนตัวเลขเท่านั้น ถ้าไม่ตรวจสอบใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ คงไม่รู้ว่าตัวเองซื้อบ้านไว้ที่ไหนด้วยซ้ำ
“เถ้าแก่ ข้ารู้จักผู้ตายในแฟ้มคดีนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
“รู้จักเหรอ” โจวเจ๋อขมวดคิ้ว
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าเห็นเธอทุกวันตอนทำความสะอาดร้านหนังสือน่ะเจ้าค่ะ”
เธออยู่ในร้านหนังสืออย่างนั้นเหรอ
“หมายความยังไงกันแน่”
ถ้าวิญญาณของหญิงสาวอยู่ในร้านหนังสือ อย่างนั้นโจวเจ๋อตาบอดไปแล้วเหรอ จะมองไม่เห็นได้อย่างไร
“อยู่ในร้านหนังสือจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าปัดกวาดชั้นหนังสืออยู่ทุกวัน วางไว้ในแถวนวนิยายสยองขวัญและระทึกขวัญ ข้าเคยเห็นชื่อของเธอด้วยนะเจ้าคะ เธอชื่อว่าจางเถียนเชวียน นามปากกาตลกกว่าอีก มีชื่อว่าห้องส่วนตัวของสะใภ้รอง เถ้าแก่ ทุกวันตอนข้าทำความสะอาดเมื่อเห็นหนังสือเล่มนี้ทีไร ข้าหัวเราะจนปวดท้องทุกที”
“ห้องส่วนตัวของสะใภ้รองคือนะ…” โจวเจ๋อมองจางเยี่ยนเฟิง “ไม่สิ จางเถียนเชวียนคือ…”
“คือชื่อน้องสาวของผม”
โจวเจ๋อพยักหน้าและถามขึ้น “อิงอิง หนังสือของเธอมีชื่อว่าอะไร”
ก่อนหน้านี้จางเยี่ยนเฟิงเคยบอก น้องสาวของเขามักจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกและเขียนนิยาย แต่โจวไม่คิดว่าจะได้ตีพิมพ์จริงๆ
“ชื่อหนังสือน่ะเหรอ ชื่อว่า ‘ฉันรักบ้านของฉัน’ แต่ว่าชื่อหนังสือที่ตีพิมพ์ใช้รูปแบบตัวอักษรสีเลือดเจ้าค่ะ”
เป็นตายอยู่ที่โชคชะตา ร่ำรวยมีวาสนาขึ้นอยู่กับสวรรค์!
การตอบสนองที่ดีที่สุดต่อคนที่ทำร้ายคุณ ไม่ใช่ไปทะเลาะกับเขา และไม่ใช่ไปร้องห่มร้องไห้งอแง แต่ให้เขาเบิกตามองคุณที่มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเต็มสองตา
เป็นตายอยู่ที่โชคชะตา ร่ำรวยมีวาสนาขึ้นอยู่กับสวรรค์!
……………………………………………………….
[1] วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า หมายถึง การลอกแบบ หรือการเลียนแบบ
[2] ทัศนคติสามประการ คือ ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อคุณค่า