ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 287 ปากกา!
ตอนที่ 287 ปากกา!
โจวเจ๋อไม่ค่อยกินพวกปิ้งย่าง ตอนเป็นเด็กอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่ได้มีเงื่อนไขนี้ หลังจากโตไปเป็นนายแพทย์จึงรู้สึกว่าพวกปิ้งย่างมันไม่สะอาดก็เลยไม่กิน
แต่ในเวลานี้ โจวเจ๋อกลับรู้สึกคิดถึงกลิ่นรมควันไฟในแผงขายอาหารปิ้งย่างเป็นอย่างมาก รวมถึงเครื่องปรุงรสที่เข้มข้นจนกลบกลิ่นเน่าเสียของอาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กระดูกนี้ไม่อร่อยเลยจริงๆ
เมื่อก่อนเคยเห็นสุนัขตัวใหญ่แทะกระดูก เห็นๆ กันอยู่ว่ามันไม่มีเนื้อแล้วมันก็แข็งโป๊ก แต่สุนัขก็ชอบพุ่งเข้าไปหาและแทะเอาๆ
ตอนนี้โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับกระดูกที่อยู่ตรงหน้าเขา ท่าทางไม่สุภาพเล็กน้อยและฉากก็ค่อนข้างน่ากลัว คนหนึ่งนอนทับอยู่บนร่างของอีกคนหนึ่งพร้อมกับกัดแทะร่างของเขา
หญิงสาวใต้ร่างไม่สามารถพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนหยัดได้อีก ทำได้เพียงนอนคว่ำอยู่บนชักโครก ผลของความพยายามทุกครั้งคือหลังจากฝืนตัวตั้งตรงได้ครู่เดียวก็ทรุดตัวลงไปอีกครั้ง
โจวเจ๋อเป็นหมอคนหนึ่ง ดังนั้นจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของกระดูกมนุษย์ดี
ดังนั้น แม้ว่าจะแทะเป็นเวลานานก็กินไปได้เพียงไม่กี่ท่อนเท่านั้น แต่โจวเจ๋อกลับมีทางเลือกของเขาเอง เขารู้ว่ากระดูกท่อนไหนสำคัญที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ เขารู้ดี ดังนั้นเป้าหมายของเขาจึงชัดเจนมาก ผลลัพธ์ก็เหนือกว่ามากเช่นกัน
เมื่อเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น หลังจากกระดูกท่อนนี้ถูกเขากัดจนหัก เถ้าแก่โจวจำต้องคลานออกมาจากตัวของหญิงสาว และใช้มือนวดแก้มของตัวเองอย่างแรง
บ้าเอ๊ย ทั้งเมื่อยและปวดมาก มีเศษกระดูกหลงเหลืออยู่ในช่องปากไม่น้อย อยากบ้วนออกมา แต่พอนึกถึงความลำบากของตัวเองเมื่อกี้นี้แล้วก็กลืนลงไปหมดเลย
ความรู้สึกแบบนี้ คล้ายกับย่าหวังและอาหลี่ข้างบ้านที่เชื่องมงายว่าเหล้ายาดองสามารถต้านสารพัดโรค
แต่ว่า สิ่งที่แปลกก็คือ ตอนที่กลืนกระดูกนี้กลับไม่มีอาการคลื่นเหียนที่เคยมีแบบนั้นเลย กลืนลงไปก็แค่กลืนลงไปเท่านั้น
โจวเจ๋อส่ายหัวอย่างจนใจเล็กน้อย
มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว นักพรตเฒ่ากับสวี่ชิงหล่างและสาวน้อยโลลิ พวกเขากำลังกินข้าวอยู่ ส่วนตัวเขานั้นถือกระดูกในมือนั่งแทะอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ข้างๆ
ภาพนี้ทั้งงดงามและขัดหูขัดตาเกินไปด้วย
หญิงสาวนอนอยู่บนพื้นและยังกระตุกอย่างต่อเนื่อง มือทั้งสองข้างยังคงจับมีดทำครัวไว้แน่น แต่เธอลุกไม่ขึ้นแล้ว ลุกไม่ไหวและได้สูญเสียท่าทีคุกคามเกือบทั้งหมดไป นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอคลานหรือเคลื่อนไหวไปบนพื้นหรือผนังเหมือนแมงมุม โจวเจ๋อจึงเปลี่ยนท่าทางให้เธอสักหน่อย ให้ตัวของเธอไปติดอยู่ระหว่างชักโครกกับผนัง
หญิงสาวยังคงน้ำลายไหล เธอไม่เคยปิดซ่อนความหิวกระหายที่มีต่อโจวเจ๋อมาตั้งแต่แรก
โจวเจ๋อโค้งตัวให้เธอหนึ่งครั้ง ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาและเดินไปตรงอ่างล้างหน้า แล้วเริ่มล้างมืออย่างพิถีพิถัน ราวกับว่าเขาเพิ่งจะทำการผ่าตัดครั้งใหญ่เสร็จสิ้น
น่าเสียดายที่บ้านหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่มานานแล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้ามีแปรงสีฟันละก็ โจวเจ๋อก็ไม่รังเกียจที่จะแปรงฟันด้วย กระทั่งอาบน้ำสักรอบก็ยังได้
คนในกระจกยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขามองโจวเจ๋ออย่างสงบนิ่งมาก
ถ้าไม่มีกำลังใจที่เด็กโตคนนี้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ถ้ามีแค่คุณละก็ไม่ตายก็ถือว่าโชคดีไป
“เฮ้” โจวเจ๋อตะโกน “ข้างล่างนั่นจะเอายังไง”
ที่นี่มันคือสถานที่บ้าอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ ตอนนี้โจวเจ๋อก็ยังคงสับสน
ไม่มีตรรกะ ไม่มีเรื่องเวรกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะอธิบายไม่ได้ และทำให้คนรู้สึกสับสนคิดอะไรไม่ออก
โจวเจ๋อในกระจกเอื้อมมือไปลูบบนกระจก ราวกับต้องการเขียนอะไรบางอย่าง
แต่ทว่า ตอนที่เขากำลังเริ่มเขียนตัวอักษรอยู่นั้น กระจกกลับเริ่มแตกร้าวขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพข้างในกำลังบิดเบี้ยว โจวเจ๋อในกระจกขมวดคิ้วราวกับไม่ได้ดั่งใจเล็กน้อย เขียนอะไรไม่ได้เลย คำใบ้ที่ชัดเจนทั้งหมดล้วนถูกขัดขวาง ถูกลบล้าง
สำหรับผู้อ่านแล้ว สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในขณะที่กำลังอ่านหนังสือที่สนใจอยู่ นั่นคือการสปอยล์
เพราะมันทำให้ความคาดหวังของผู้คนที่มีต่อหนังสือ ต่อเรื่องราว ต่อเนื้อเรื่องลดลงไปมาก จนสูญเสียแรงกระตุ้นในการอ่าน
“อย่าเขียนเลย ถ้าคุณเขียนอีกผมกลัวคุณจะพังทลายเสียก่อน” โจวเจ๋อผายมือส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายหยุดทำ
แม้ว่าเถ้าแก่โจวจะมีแผนการอยู่ในใจเสมอ นั่นก็คือหากวันใดจิตสำนึกในร่างของเขานึกอยากฆ่าตัวตายขึ้นมา นั่นก็คงจะมีความสุขมาก หากมันสามารถสำนึกได้ด้วยมโนธรรมว่ามันควรจะทิ้งพลังเอาไว้ให้เขาก่อนฆ่าตัวตายไป นั่นก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ในเวลานี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะติดอยู่ในกระจกก็ตาม โจวเจ๋อก็ยังไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายในตอนนี้ ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนก็กลายเป็นตั๊กแตนบนเชือกป่านเส้นเดียวกันแล้ว
โจวเจ๋อในกระจกไม่ขยับตัวแล้ว ราวกับกำลังครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ยื่นนิ้วชี้ไปทางโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อยื่นมือออกมาชี้ตัวเอง
หมายถึงฉันเหรอ
โจวเจ๋อในกระจกส่ายหน้า
โจวเจ๋อถอยหลังไปให้พ้นทาง เขาเห็นว่าคนในกระจกยังคงจิ้มอยู่ตรงนั้น เขากำลังชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง และทิศทางนั้นก็คือคำบอกใบ้
ไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ แต่สามารถเตือนอ้อมๆ ได้ มันคือปมที่ซ่อนไว้
โจวเจ๋อมองตามทิศทางที่คนในกระจกชี้ไป และพบว่าหมายถึงปีศาจกระดูกขาวที่ถูกเขายัดให้อยู่ระหว่างชักโครกกับผนังอย่างยากลำบาก
“เธอเหรอ”
โจวเจ๋อในกระจกพยักหน้าและส่ายหน้าอีกครั้ง
“อยู่บนตัวเธองั้นเหรอ”
โจวเจ๋อเดินมาข้างๆ หญิงสาว หญิงสาวมองโจวเจ๋อที่กลับมาอีกครั้ง อดฉีกยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ และน้ำลายก็ไหลยืดออกมามากยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก
“เริ่มกิน…เริ่มกิน…เริ่มกินได้…”
โจวเจ๋อกลืนน้ำลาย หันกลับไปมองกระจก แล้วหันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง
สุดท้าย เขายื่นมือชี้ไปที่หัวของหญิงสาว
คนในกระจกส่ายหน้า
เขายื่นมือชี้ไปที่ไหล่ขวาของหญิงสาว
คนในกระจกส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง
เขายื่นมือชี้ไปที่คอของหญิงสาว
คนในกระจกยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น…
…
จนกระทั่งโจวเจ๋อชี้ไปตรงตำแหน่งนั้น
คนในกระจกลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า
โจวเจ๋อหลุดหัวเราะออกมา และชี้คนที่อยู่ข้างในนั้น “แกบ้าไปแล้วใช่ไหม”
คนในกระจกพาลโกรธขึ้นทันควัน เริ่มคุ้มคลั่ง เริ่มดิ้นรน เริ่มคำราม เริ่มก่นด่า!
เขาเหมือนหมาแก่ที่สติฟั่นเฟือน เพียงแค่ไปกระตุ้นมันนิดหน่อย ก็เหมือนจะบ้าไปเลย โชคดีที่ตอนนี้เขาออกมาไม่ได้ เขาด่าอะไรมาโจวเจ๋อก็ไม่ได้ยิน โจวเจ๋อถือว่าเขากำลังแสดงตลกเงียบของแชปลินอยู่ตรงนั้นคนเดียว
จากนั้น โจวเจ๋อมองมาทางหญิงสาวอีกครั้ง และมองไปยังตำแหน่งนั้นอีกครั้ง
สรุปว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
มีภาพยนตร์ซีรีส์อยู่ชุดหนึ่งได้รับความนิยมในวงการมาโดยตลอด มีชื่อว่า ‘ลูกบาศก์มรณะ’
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด มีเพียงปล่อยให้คุณสนุกไปกับขั้นตอนสุดแสนระทึกนี้เท่านั้น
จริงๆ แล้ว สาเหตุเริ่มต้นของเรื่องนี้ ก็ยังเป็นเพราะนักพรตเฒ่าที่มาเข้าห้องน้ำที่นี่ ไม่สิ การเข้าห้องน้ำไม่ใช่สาเหตุหลัก เป็นเพราะความอุตริของชายชราคนนั้น เข้าห้องน้ำแล้วยังเอายันต์ของขลังในเป้ากางเกงแผ่นหนึ่งออกไปแปะลงบนฝาชักโครก
ยันต์ไปกระตุ้นสิ่งที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น หรือจะบอกว่า ยันต์ไปกระตุ้นส่วนควบคุมกลไกลเข้าก็ได้
…
“เถ้าแก่ เถ้าแก่เจ้าคะ”
ไป๋อิงอิงค้นหาทุกที่ในบ้าน นางหาตั้งแต่ชั้นหนึ่งยันชั้นสอง และจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่ง เถ้าแก่ไม่อยู่ ไม่ใช่แค่เถ้าแก่ไม่อยู่เท่านั้น แม้แต่หญิงสาวคนนั้นและเด็กทั้งสองคนก็หายไปแล้ว บ้านพักทั้งหลังเหลือนางอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ศพที่ไร้หัวยังนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาอย่างนั้นและไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
“เถ้าแก่ ท่านไปอยู่ที่ไหนเจ้าคะ อย่าทำให้อิงอิงกลัวสิ”
อิงอิงทำหน้ามุ่ยและมองไปรอบๆ บ้าน
“บ้านเฮงซวย อย่าให้รู้นะว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร ไม่งั้นแม่จะจับกินทั้งเป็นเลยนี่!”
“…” บ้านหลังนี้
ไป๋อิงอิงไม่ยอมแพ้ เริ่มหาอีกรอบ ครั้งนี้หาให้ละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น ทั้งใต้เตียง ในตู้ เปิดฝาชักโครกออกดู ในนั้นก็หาเถ้าแก่ไม่เจอ แต่ไป๋อิงอิงแน่ใจว่าที่อยู่ที่เถ้าแก่ให้มาคือที่นี่ อีกทั้งเพิ่งเกิดเรื่องแปลกประหลาดที่นี่อีกด้วย
ไป๋อิงอิงเดินไปข้างๆ โซฟาและนั่งลง มีกองหนังสือนวนิยายอยู่บนโต๊ะตรงหน้านาง
เล่มที่อยู่ด้านบนสุดคือ ‘ผีเศรษฐีนี’ เล่มนั้น นางหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาและวางลงไป
ส่วนเล่มที่สองคือ ‘ผีอาฆาตในห้องส่วนตัว’ พื้นหลังบนหน้าปกยังเป็นห้องนั่งเล่นของบ้าน เด็กสาวในชุดกระโปรงนั่งโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ชีวิตชีวาอยู่บนโซฟา ข้างๆ เธอยังมีศพไร้หัวอยู่
บทนำเขียนเอาไว้ว่า ผีอาฆาตขี้เหงาตนหนึ่ง เพราะว่าน่าเบื่อจนเกินไป ดังนั้นจึงมักจะหาศพที่ต่างกันมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อฆ่าเวลาที่น่าเบื่อและเปล่าเปลี่ยวนี้
ไป๋อิงอิงผงะศีรษะไปข้างหลังเล็กน้อย และเผยสีหน้ารังเกียจออกมา จากนั้นก็ชูนิ้วกลางไปทางชั้นสอง!
คิดว่าข้าโง่หรือ ถึงได้เยาะเย้ยข้าเช่นนี้!
‘ตุ้บ!’
หนังสือเล่มนี้ถูกไป๋อิงอิงโยนออกไปทันที หนังสือเล่มต่อไปก็คือ ‘คนสองหน้า’ เล่มนั้น เป็นหนังสือเล่มที่นางเกือบจะทำหายบนแท็กซี่ก่อนหน้านี้
จุดไต้ตำตอ ก่อนหน้านี้ไป๋อิงอิงก็ไม่เคยดูปกหนังสืออย่างละเอียดมาก่อน สำหรับเรื่องย่อคร่าวๆ นั้น ถูกโชเฟอร์คนนั้นอ่านออกเสียงมาก่อนแล้ว
ในเวลานี้ดูหน้าปกอีกครั้ง มันเป็นกระจกบานใหญ่ มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ในกระจก และมีอีกคนยืนอยู่นอกกระจก ไม่สิ ยังมีหญิงสาวที่ถูกแยกชิ้นส่วนนอนขาไขว้กันอยู่ตรงมุมนั้นกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
“เอ๊ะ…”
ไป๋อิงอิงร้องอุทานออกมา คนในภาพประกอบบนหน้าปก ทำไมดูคล้ายกับเถ้าแก่ล่ะเนี่ย เหมือนวันนี้เถ้าแก่จะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ออกไปข้างนอกด้วยสิ
เมื่อดูอย่างละเอียด ไป๋อิงอิงพบว่าคนในกระจกกำลังชี้ไปด้านนอก ชี้ไปทิศทางหนึ่ง ราวกับเขากำลังบอกใบ้ข้อมูลบางอย่างกับตัวเองที่อยู่ข้างนอกกระจก
เนื้อหาหลักของหนังสือ ‘คนสองหน้า’ เล่มนี้ จริงๆ แล้วคือวิญญาณสองดวงในร่างเดียวกันที่มีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน แต่เมื่อพวกเขาแยกจากกัน จู่ๆ กลับนึกถึงความดีงามของอีกฝ่ายขึ้นมา จนในตอนสุดท้ายหลังจากผ่านความยากลำบากร่วมกันมาแล้วทุกรูปแบบ ในที่สุดพวกเขาก็ได้หวนกลับมารวมกันอีกครั้งพร้อมกับเรื่องราวความรักอันน่าระทึกใจ
ถือว่านักเขียนที่มีนามปากกาว่า ‘ห้องส่วนตัวของสะใภ้รอง’ และมีชื่อจริงว่าจางเถียนเชวียน เขียนนวนิยายเพื่อตอบสนองกระแสนิยมในตลาดอย่างแนวชายรักชาย
ไป๋อิงอิงเอาเล็บของตัวเองวางลงไปบนแขนของคนในกระจก และไล้ลงตามแขนของเขาไปตามนิ้วจนสุดทาง เล็บไล้ผ่านกระจก ไล้ผ่านไปครึ่งหน้าปก จนสุดท้ายไล้ไปทางหญิงสาวคนนั้น จากนั้นลึกลงไปอีก
ไป๋อิงอิงอ้าปากค้าง นางตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อ๊ะ ดูเหมือนนางจะเจอเข้ากับเบาะแสลับบางอย่าง
มันคือปากกา!
ปากกา
ถ้าหาปากกาเจอก็จะสามารถตามหาเถ้าแก่จนเจอได้!
…………………………………………………………..