ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 295 มีวุ้นเย็นขาย
ตอนที่ 295 มีวุ้นเย็นขาย
นักพรตเฒ่าปฏิเสธการช่วยเหลือของออตเตเซน เพราะนักพรตเฒ่ารู้สึกว่าออตเตเซนมีการกระทำที่แปลก ที่นี่เป็นถิ่นของคนจีน คนจีนทำของหายในพื้นที่ของตัวเอง แล้วตำรวจของพวกเราจะไม่ตั้งใจหาเหรอ ต้องให้ชาวต่างชาติอย่างเจ้าเข้ามายุ่งใช่ไหม หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นชาวต่างชาติทำของหล่นหายแล้วตำรวจจะใส่ใจมากกว่าคนในประเทศตัวเองทำของหายใช่ไหม หลักการอะไรของเจ้า! ข้าต้องระวัง ข้าจะไม่หลงกลเด็ดขาด!
นักพรตเฒ่ากลอกตาใส่ออตเตเซนหนึ่งทีด้วยท่าทางที่ไม่แคร์ จากนั้นจึงวิ่งไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด้วยตัวเอง
ออตเตเซนยักไหล่อย่างเก้อเขิน เมื่อเห็นโจวเจ๋อมองเขา เขาจึงได้แต่พูดอย่างจนใจ “ผมแค่อยากช่วยเท่านั้น”
“ขอบคุณ” โจวเจ๋อตอบ
“คุณเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ใช่ไหมครับ” ออตเตเซนนั่งลงข้างโจวเจ๋อ
“ครับ”
“ผมมีความฝันมาตลอดว่าอยากเปิดร้านหนังสือของตัวเอง และอยากจะเหมือนคุณ ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ในเมืองช่างวิเศษสวยงามจริงๆ”
“คุณลองดูก็ได้” ถ้าหากคุณไม่กลัวขาดทุน
ออตเตเซนเห็นโจวเจ๋อแสดงท่าทีเย็นชากับตัวเอง จึงรีบพูดว่า “ผมชอบวัฒนธรรมจีนของพวกคุณมาก”
“พูดแบบนี้เหมือนคนอังกฤษพูดเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศเวลาที่เจอกัน”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ไร้สาระ”
“ผมชอบวัฒนธรรมจีนจริงๆ ผมไม่เหมือนคนอื่น” ออตเตเซนพูดเน้น ขณะเดียวกันเขาก็ลุกขึ้น หยิบหนังสือเรียนภาษาจีนเล่มหนึ่งของนักเรียนมัธยมที่อยู่โต๊ะข้างๆ แล้วเปิดอ่านให้โจวเจ๋อฟัง “ถ้าข้าโกรธ ก็จะมีคนตายสองคน เลือดกระเด็นไกลห้าก้าว คนใต้หล้าต้องใส่ชุดไว้ทุกข์ ซึ่งก็คือวันนี้” ออตเตเซนอ่านออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ขณะเดียวกันก็กล่าวกับโจวเจ๋อว่า “ความหมายพวกนี้ผมก็เข้าใจ และผมยังนับถือตัวเอกอย่างถังจูเป็นอย่างมากที่มีนิสัยไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจใดๆ เหมือนตอนที่บรรพบุรุษของพวกเราโจมตีต่อสู้กับคลื่นลมในตอนนั้น”
ชาวไอซ์แลนด์เชื่อว่าตัวเองเป็นคนรุ่นหลังของชาวไวกิง ซึ่งก็คือโจรสลัดนั่นเอง และที่ออตเตเซนเพิ่งจะอ่านไปจริงๆ แล้วเป็นตอนหนึ่งของ ‘ภารกิจของถังจู’ บทความนี้ถูกนำมาใช้ในการเรียนการสอนหลายแห่ง หลายคนที่เรียนหนังสือจะถูกคุณครูสั่งให้ท่อง เนื้อหาประมาณว่าจิ๋นซีฮ่องเต้บังคับถังจู ถังจูจึงชักดาบออกมาแล้วพูดกับจิ๋นซีฮ่องเต้ว่าถ้าบังคับข้าข้าจะฟันเจ้าให้ตาย จิ๋นซีฮ่องเต้จึงยอมอ่อนข้อให้พูดหนึ่งประโยคว่า ‘หอมจริง’
โจวเจ๋อจุดบุหรี่อีกหนึ่งมวน แล้วพ่นควันออกมา อืม ไม่ต้องสนใจเขา
“คุณครับ คุณคิดว่าผมไม่รู้วัฒนธรรมจีนใช่ไหม”
โจวเจ๋อส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ถ้าหากคุณเข้าใจจริงๆ น่าจะรู้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก”
“เรื่องโกหก? มันมาจาก ‘ยุทธศิลป์ยุครณรัฐ[1]’ นะครับ”
“เป็นเรื่องโกหกจริงๆ ลองใช้สมองที่ชาญฉลาดของคุณคิดดูสิ ตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้เรียกถังจูไปเข้าเฝ้า จะเป็นไปได้เหรอที่ถังจูจะถือดาบเล่มยาวเข้าไปในท้องพระโรง อีกทั้งก่อนหน้านั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับบทเรียนจากจิงเคอลอบสังหารพระองค์แล้ว และถังจูตอนนั้นก็อายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว”
“…” ออตเตเซน
โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ในมือ พูดจริงๆ นะ ตอนที่ตัวเองเรียนหนังสือแล้วท่องบทความพวกนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็ยังต้องท่อง ถ้าตอบผิดตอนสอบต้องโดนหักคะแนน
ออตเตเซนคืนหนังสือกลับไป แล้วนั่งลงที่เดิม จากนั้นบิเต้าหู้ปรุงรสใส่เข้าปากแล้วครุ่นคิด
พอถึงตอนบ่าย นักเรียนมัธยมเหล่านั้นกลับไปแล้ว ออตเตเซนก็เดินไปจ่ายเงินกับอิงอิงแล้วจากไปภายใต้สายตาที่จดจ้องของโจวเจ๋อ
“คนต่างชาติมีเงินเยอะใช่ไหม ชุดอาหารราคาแปดร้อยแปดสิบแปดหยวนยังขายออกไปได้จริงๆ” ไป๋อิงอิงรู้สึกทึ่งเล็กน้อย เพราะเต้าหู้ปรุงรส ขนมโก๋ชั้น และเหล้าเหลืองพวกนี้หากอยู่ในยุคของเธอก็ไม่ใช่ของหายากอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยุคปัจจุบัน
“ไม่ว่าของอะไร พอเพิ่มความโดดเด่นของพื้นเมืองเข้าไปก็จะมีราคาแล้ว อย่างนี้เรียกว่าการเพิ่มคุณค่าทางวัฒนธรรม”
โจวเจ๋อจำได้ว่าชาติที่แล้วตอนที่ตัวเองเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยมีเพื่อนร่วมหอที่มาจากเมืองเสฉวน เขาเอามาพูดสนุกกับทุกคนว่า ที่หมู่บ้านของพวกเขาสั่งตัดชุดชาวพื้นเมืองล็อตหนึ่งแบบที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพื่อใช้พัฒนากิจการการท่องเที่ยว เวลาที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา แม่ของเขาจะไปเรียกพวกน้าๆ เข้ามาบอกว่า ‘นักท่องเที่ยวมาแล้ว ใส่ชุดไปหลอกเงินกันเร็ว!’
จากนั้นทุกคนจึงใส่ชุดที่สั่งตัดพวกนั้นแล้วไปที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
จากนั้นโจวเจ๋อจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ใกล้จะพลบค่ำแล้ว อากาศร้อนข้างนอกเริ่มลดลง เถ้าแก่โจวจึงเดินออกมาหน้าร้านแล้วนั่งลงยองๆ ริมทางเท้าเพื่อสูบบุหรี่
นักพรตเฒ่าวิ่งกลับมาด้วยความดีใจ พลางชูโทรศัพท์ในมือให้สูงขึ้น
“หาเจอแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“อืม หาเจอแล้ว ตำรวจที่สถานีตำรวจไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ช่วยข้ายืนยันตัวผู้ต้องสงสัย จากนั้นจึงส่งเจ้าหน้าที่ออกไปเกือบครึ่งโรงพักเพื่อช่วยตามหาให้ข้า หาอยู่นานครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็จับหัวขโมยได้แล้วจึงหยิบโทรศัพท์กลับมาให้ข้า หัวขโมยก็โดนจับแล้วเช่นกัน ตำรวจมีจิตใจรักประชาชนจริงๆ บริการประชาชนอย่างจริงใจ!”
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า
“วันพรุ่งนี้ข้าจะเอาธงที่ระลึกไปส่ง” นักพรตเฒ่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ได้”
“เถ้าแก่ เจ้ากินวุ้นเย็นไหม”
นักพรตเฒ่าชี้ไปที่ร้านข้างทางที่อยู่ตรงข้ามถนน ก่อนหน้านั้นโจวเจ๋อไม่ได้สังเกตว่ามีร้านแผงลอยอยู่ร้านหนึ่งตามหลักแล้วพื้นที่แถบนี้ไม่อนุญาตให้ตั้งร้านค้า คาดว่าคนนั้นคงจะขายไม่เป็นหลักแหล่ง เป็นร้านขายวุ้นเย็นของกินเล่นเมืองเสฉวน ถือว่าเป็นของดีดับร้อนในช่วงฤดูร้อนได้ดี
“ผมขอหนึ่งชุด ไม่ต้องใส่อะไรเพิ่ม” ขณะที่พูดโจวเจ๋อก็หยิบน้ำดอกพลับพลึงแดงของตัวเองออกมาดื่มไปหนึ่งที
“ได้เลย!” นักพรตเฒ่าซื้อวุ้นเย็นมาสองถ้วย นั่งลงยองๆ ริมทางเท้ากับเถ้าแก่ของตัวเองแล้วเริ่มกิน
ของโจวเจ๋อเป็นวุ้นเย็นรสบ๊วย สดชื่นมาก ส่วนของนักพรตเฒ่าราดด้วยน้ำตาลทรายแดง ถั่วลิสง และอื่นๆ อีกมากมายดูแล้วน่ากินเป็นอย่างมาก
ขณะที่กินไปเรื่อยๆ มีรถตู้สีดำคันหนึ่งขับเข้ามา โดยที่ฝั่งของโจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าเขียนว่า ‘บังคบใช้กฎหมาย’ อีกด้านหนึ่งหากเป็นไปตามที่คิดก็คือ ‘เทศกิจ’ สองคำนี้
เมื่อจอดรถแล้วมีเทศกิจสี่ห้าคนเดินลงมา ในนั้นมีสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ตอนนั้นโจวเจ๋อสั่งให้นักพรตเฒ่าไปกวาดถนนเพื่อให้เมืองสะอาด นักพรตเฒ่าได้ถูกเทศกิจสองคนนั้นส่งกลับมา
และสองคนนั้นก็เห็นพวกเขาสองคนกำลังกินวุ้นเย็นอยู่ตรงนั้นด้วยกันแล้ว มีคนหนึ่งโบกมือทักทาย “อ้าว สองพ่อลูกกำลังกินเหมือนกันเหรอ!”
‘พรวด!’ นักพรตเฒ่าตกใจพ่นวุ้นเย็นออกมาโดยตรง เนื่องจากพ่นออกมาเร็วไป จึงพ่นออกมาทางรูจมูกด้วย และบนนั้นยังมีเศษถั่วลิสงติดอยู่ไม่น้อย
โจวเจ๋อกลับไม่พูดอะไร แล้วตักขึ้นมากินต่อ เทศกิจเหล่านั้นเดินไปพูดอะไรไม่รู้กับร้านข้างทาง เจ้าของร้านเป็นคุณยายผมขาวโพลน ขณะที่สนทนากันไปมา คุณยายก็ทำวุ้นเย็นต่อ เทศกิจเหล่านั้นถืออยู่ในมือหลายกล่อง เมื่อพวกเขาจ่ายเงินแล้ว คุณยายที่ขายวุ้นเย็นหมดแล้วจึงเข็นรถขายของออกไปอย่างเชื่อฟัง นอกจากนี้ยังรับรองว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มาขายที่นี่อีก
จากนั้นคนอื่นอีกสองสามคนจึงถือวุ้นเย็นขึ้นรถแล้วขับออกไป คาดว่าคงจะเอาวุ้นเย็นไปแบ่งให้เพื่อนร่วมงานที่โรงพัก
หนุ่มเทศกิจที่ทักทายนักพรตเฒ่าก่อนหน้านั้นเดินเข้ามาพร้อมกับถือวุ้นเย็นอยู่ในมือ เขานั่งลงยองๆ ริมทางเท้าเหมือนกันแล้วเริ่มกิน หลังจากที่เขานั่งลงยองๆ นักพรตเฒ่ารู้สึกทำตัวไม่ถูก กลัวว่าพ่อหนุ่มซื่อตรงคนนี้จะพูดจา ‘น่าสะพรึงกลัว’ ทำร้ายตัวเองอีก
“วุ้นเย็นนี้ กินไม่ชินเลยจริงๆ” หนุ่มเทศกิจกินไปสองสามคำแล้วจึงพูดด้วยความจนใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องการให้คุณยายคนนั้นเก็บร้านไวๆ พวกเขาคงไม่ต้องซื้อของที่เหลือ จะว่าแพงก็ไม่แพง แต่กินไม่ถนัดไม่จริงๆ
วุ้นเย็นค่อนข้างเป็นที่นิยมในเมืองเสฉวน แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ค่อยถูกปากคนเมืองทงเฉิงเท่าไร โดยเฉพาะการใส่เครื่องปรุงและท็อปปิ้งมากมายบนนั้น แต่กลับทำให้โจวเจ๋อกินอย่างสบายใจ
“อร่อยไม่เท่าก๋วยเตี๋ยวเย็นของพวกเราที่นี่” หนุ่มเทศกิจพูด
โจวเจ๋อพยักหน้า เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ชาติที่แล้วตอนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเขาถูกแบ่งให้ไปอยู่กับทีมแพทย์กลุ่มเล็กๆ ไปช่วยรักษาที่ซีชวนหนึ่งเดือน แต่กินอาหารที่นั่นไม่ถูกปาก ตัวเองจึงลำบากเล็กน้อย
โจวเจ๋อยังจำได้ดีว่า ตอนนั้นหมอหนุ่มเพื่อนร่วมงานของตัวเองตั้งใจไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเย็นที่ร้านริมทางกลับมากินกับโจวเจ๋อ
ตอนแรกโจวเจ๋อปฏิเสธ เพราะก๋วยเตี๋ยวเย็นในท้องถิ่นนั้นถูกหั่นเป็นเส้น แล้วใส่พริก ใส่น้ำส้มสายชู และกระเทียมลงไป กลิ่นที่ผสมรวมกันทำให้เขารับไม่ได้จริงๆ
แต่หมอหนุ่มคนนั้นได้ขอกระเทียมสองสามกลีบกับซีอิ๊วมานิดหน่อย ทุบกระเทียมให้แหลกแล้วใส่ซีอิ๊วลงไปก๋วยเตี๋ยวเย็นถูกตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเท่าไพ่นกกระจอก ตอนนั้นโจวเจ๋อถือจานกินดื่มกับเขาจนถึงดึกดื่นค่อนคืน โจวเจ๋อไม่เคยลืมรสชาตินั้นเลย
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ หมอที่กินก๋วยเตี๋ยวเย็นกับตัวเองในตอนแรกเนื่องจากการสัมผัสเชื้อระหว่างการรักษาขณะที่ช่วยรักษาผู้ป่วยรายหนึ่ง อีกฝ่ายได้ปิดบังโรคที่แท้จริงของตัวเอง เป็นผลทำให้เขาติดเชื้อไปด้วย ซึ่งตอนนั้นเขาได้แจกการ์ดแต่งงานไปแล้ว แต่เขาทนไม่ไหว สามารถพูดได้ว่าเขาอ่อนแอ และสามารถพูดได้ว่าเขาเข้มแข็งไม่พอ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย จบชีวิตของตัวเอง เฮ้อ
“เถ้าแก่ๆ”
ขณะที่โจวเจ๋อกำลังนั่งยองๆ ตกอยู่ในภวังค์ นักพรตเฒ่าได้ยื่นมือมา ‘จิ้ม’ ไปที่ไหล่ของโจวเจ๋อเบาๆ
“มีอะไร” โจวเจ๋อได้สติกลับมา
“เอ่อ เมื่อกี้เถ้าแก่ได้ยินไม่ชัดเจน หนุ่มคนนี้บอกว่าอยากจะเชิญข้าไปทำพิธีที่บ้านของเขา”
โจวเจ๋อมองหนุ่มเทศกิจคนนั้นอย่างแปลกใจ
“แม่ของผมเป็นคนขอ ไม่ใช่ผมครับ ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่แม่ของผมเป็นคนชนบท อยากขอพรเพื่อความสงบสุข อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันตายสิบปีของพ่อผมแล้วครับ”
“อ้อ” โจวเจ๋อหันไปมองนักพรตเฒ่า “คุณก็ไปสิ”
“ไม่ใช่ เถ้าแก่ ข้าอยากให้เจ้าไปกับข้าด้วย”
“พ่อลูกร่วมกันออกรบด้วยกันไง” หนุ่มเทศกิจหัวเราะ
“แม่มึงอย่าพูดแบบนี้ได้ไหม!” นักพรตเฒ่าลุกขึ้นตะคอกใส่หนุ่มเทศกิจ เย็xแม่ เจ้าอยากลงนรกไปเจอพ่อของเจ้าหรือไง!
เทศกิจหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ และในขณะเดียวกัน นักพรตเฒ่ายื่นมือไปข้างหลังเพื่อบอกเป็นนัยให้โจวเจ๋อมองด้านหลังของเทศกิจหนุ่ม
เมื่อโจวเจ๋อหันไปมองก็พบว่า นักพรตเฒ่าแปะยันต์กระดาษไว้ที่หลังของเทศกิจหนุ่มคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ตาแก่คนนี้ติดนิสัยไม่ว่าไปที่ไหนก็ชอบแปะยันต์กระดาษไปทั่วแล้วใช่ไหม ยันต์กระดาษที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษถูกแปะมั่วซั่วไปทั่วเหมือนกอเอี๊ยะหนังสุนัขตามเสาไฟฟ้า
คราวที่แล้วติดบนชักโครก คราวนี้ติดคนที่เดินผ่านไปมา แต่โจวเจ๋อกลับมองเห็นในสิ่งที่นักพรตเฒ่าอยากให้เขาเห็น กระดาษยันต์ที่ติดอยู่ด้านหลังเทศกิจหนุ่มคนนี้ มีรอยฝ่ามือสีดำอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา…
…………………………………………………………………………
[1]ยุทธศิลป์ยุครณรัฐ เขียนโดย หลิวเซี่ยง ขุนนางสมัยราชวงศ์ฮั่น ว่าด้วยกลยุทธ์การรบของรัฐต่างๆ ในยุคที่แผ่นดินจีนแตกออกเป็นนานารัฐ สู้รับกันพัลวัน