ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 30 เสียงดัง ฟิ้ว
“ทำเกินไปไหม”
คำถามนี้ โจวเจ๋อไม่อาจตอบได้ ไม่ว่าสาวน้อยโลลิจะพูดจริงหรือพูดเล่น เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะถามในเชิงลึก
รู้สึกจนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่คือความจริง
ถึงแม้จะฟังสาวน้อยโลลิพูดถึง ‘คนประเภทเดียวกัน’ ที่อยู่เมืองหรงเฉิง มีความทะเยอทะยาน เป็นแค่ผีแต่อยากสถาปนาตนเป็นผู้พิพากษาในโลกมนุษย์
โจวเจ๋ออิจฉามากและเลื่อมใสยิ่งนัก แต่จุดจบของเขา ช่างน่าเวทนายิ่ง
คุณไม่ต้นทุนและไม่มีกำลังที่จะยืนแถวเดียวกับอีกฝ่าย แม้แต่สิทธิ์ในการพูดก็ไม่มี ไฉนเลยจะมีสิทธิ์ถาม
“น่าเบื่อ” สาวน้อยโลลิส่ายหน้า แต่ก็หัวเราะอีก “แต่นี่คือส่วนที่ข้าชื่นชมเจ้า”
สาวน้อยโลลิสองมือประคองหนังสือ เหมือนกำลังจะนอนหลับ แล้วพูดพึมพำว่า
“เจ้าเป็นคนที่รู้จักประมาณตนมากที่สุดที่ข้าเคยเจอ”
“…” โจวเจ๋อ
นี่คือคำชมหรือคำด่ากันแน่
“ข้าจะไปแล้ว” สาวน้อยโลลิง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ และเหนื่อยมาก
“ผมยังมีอีกหนึ่งคำถาม นอกจากกินข้าวนอนหลับแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงได้เหรอครับ” นี่คือคำถามที่โจวเจ๋ออยากจะถามมากที่สุดและเป็นปัญหาที่อยากจะแก้ไขอย่างเร่งด่วน
การยืมซากคืนชีพ นอกจากสองปัญหานี้ ที่เหลือเขาสามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมได้อย่างสิ้นเชิง
“คอมพิวเตอร์ที่ประกอบเองเรื่องความเสถียร ก็ดีไม่เท่าของแท้ที่มากับตัวเครื่อง” สาวน้อยโลลิส่ายหน้าอย่างหมดแรง “เรื่องการนอนหลับน่ะหรือ นอกจากข้างกายของเจ้าจะมีสัตว์เลี้ยงที่มาจากแดนนรก แล้วให้สัตว์ตัวนี้สร้างสนามแม่เหล็กให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับยมโลก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสิ้นเชิง เดิมทีเจ้าเป็นคนของนรก วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ก็คือการผิดดินฟ้าอากาศ และเป็นการอยู่ผิดที่ผิดทางที่รุนแรงที่สุด แต่เจ้ายังมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง และอาศัยความพิเศษนี้แก้ปัญหาได้บ้าง หากเป็นคนอื่น ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสิ้นเชิง ไม่นอนหลับนานครึ่งปี เหมือนถูกบีบคั้นจนแทบบ้าหรือโดนบีบคั้นจนตาย! ดังนั้น นับว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว”
สาวน้อยโลลิหัวเราะ ‘เหอะๆ’ อย่างหมดแรง “ถ้าหากข้าไม่กลับไปล่ะก็ เจ้าก็นอนกอดข้าได้นะ”
“…” โจวเจ๋อ
“ส่วนเรื่องกินข้าว จนถึงป่านนี้ข้าก็ยังไม่ชินอาหารของโลกมนุษย์”
พอพูดเรื่องพวกนี้จบ
สาวน้อยโลลิก็เอียงศีรษะไปด้านข้าง แล้วจึงผล็อยหลับไป โจวเจ๋อยื่นมือไปประคองสาวน้อยโลลิเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ ร่างกายเป็นปกติ เขาจึงถอนหายใจโล่งอกทันที
โจวเจ๋อเคยเป็นหมอมาก่อน ดังนั้นจึงพอมองออกว่าเด็กสาวไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของหวังเคอ แล้วตัวเองจะปล่อยให้เธอเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร
เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อผิดหวังอยู่บ้างก็คือ ฉากการกลับไปของสาวน้อยโลลิธรรมดาเกินไป
“มันน่าจะมีเสียง ‘ฟิ้ว’ มุดลงใต้ดินหน่อยไม่ใช่เหรอ นอนหลับไปเลยแบบนี้ก็ถือว่ากลับไปแล้วเรอะ” โจวเจ๋อพูดพึมพำกับตัวเอง
ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่น่าดู เหมือนกับตอนที่วาดอักขระโบราณกลางฝ่ามือให้ตัวเอง
ไม่มีพิธีรีตองเลยสักนิด ไม่มีระดับเลย
สาวน้อยโลลิที่อยู่ในอ้อมอกลืมตาขึ้นทันที แล้วเอ่ยว่า “ได้”
โจวเจ๋อตกตะลึง แกล้งนอนหลับหรือ!
วินาทีต่อมา
พลังหยินกลุ่มหนึ่งที่หนาแน่น กลายเป็นหยดน้ำทะลักออกมาจากกายของสาวน้อยโลลิ ร้านหนังสือของโจวเจ๋อถึงแม้จะเปิดแอร์ไว้ แต่อุณหภูมิก็ลดลงฮวบฮาบภายในพริบตา
ประตูปิดอยู่ แต่ภายในกลับมีลมพัดเย็นเป็นระลอก พร้อมกับเสียงเปิดหน้าหนังสือ
เงาที่ทรงพลังมีพลานุภาพปกคลุมไปทั่วบริเวณนี้ ราวกับการฟื้นคืนชีพของสัตว์ร้าย พร้อมกับพลังอำนาจที่มีเพียงผีเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้
เล็บของโจวเจ๋อหลังจากได้รับการกระตุ้นก็งอกออกมาอีกครั้ง รู้สึกถึงเลือดลมพลุ่งพล่านตามร่างกาย ราวกับว่าพลังภายในร่างของเขาก็เหมือนจะตอบสนองกับอีกฝ่าย
จากนั้นก็มีเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ จริงๆ
พลังหยินทั้งหมดไหลลงสู่ใต้ดินในทันทีทันใด
ชั่วพริบตาเดียว เมฆหมอกจางหายไป
อุณหภูมิกลับเพิ่มขึ้น แสงแดดส่องประกาย
ช่วงที่มึนงงอยู่นั้น เหมือนจะขานรับประโยคนั้นจริงๆ
เหมือนกับนกที่กรูเข้ามากินอาหารจนหมดแล้วก็บินหนีไป!
…
เวลาพลบค่ำ สวี่ชิงหล่างเอาข้าวเย็นมาส่ง น้ำบ๊วยหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นน้ำมะระแทน
“น้ำบ๊วยหมดแล้ว ใช้น้ำมะระแทนแก้ขัดไปก่อน”
สวี่ชิงหล่างพูดอย่าเกรงใจเล็กน้อย ตอนกลางวัน เขาเห็นสาวน้อยโลลิแล้วตกใจทำตัวไม่ถูก
อันที่จริง ตัวเขาก็เข้าใจดี เขาเป็นคนขี้ขลาดมาก และไร้ประโยชน์มากเช่นกัน
ตอนแรกที่พ่อแม่ของตัวเองถูกสาวน้อยโลลิจับไป เขาไม่กล้ามาคิดบัญชีกับสาวน้อยโลลิ และยิ่งไม่กล้าต่อต้านจึงเป็นได้แค่คนอ่อนแอคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ตรงนั้น
นอกจากนี้เขายังพาลโกรธโจวเจ๋อเพราะเรื่องนี้ และอยากจะใส่ยาพิษลงในอาหารให้โจวเจ๋อ
ตอนนี้สวี่ชิงหล่างคิดได้แล้ว ขี้ขลาดก็ขี้ขลาดไป เขาเนื่องจากการเปลี่ยนสภาพของร่างกายจึงเป็นหนุ่มน้อยที่มีเนตรหยินหยาง แต่ถ้าให้เขาเผชิญหน้ากับยมทูตแห่งนรก เขาไม่กล้าเลยจริงๆ
ในความเป็นจริงนั้น สาวน้อยโลลิสามารถลงโทษตัวเอง ที่กักวิญญาณของพ่อแม่ตัวเองโดยพลการได้ โดยดูดเอาพลังชีวิตของตน กระทั่งจับวิญญาณของตนลงกลับไปที่นรกภูมิ
แต่เธอกลับมองตัวเองไม่สำคัญ
และตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์กระโดดโลดเต้น
คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน การกระทำของตัวเองก่อนหน้า คือการฝ่าฝืนกฎสวรรค์อย่างแท้จริง
โจวเจ๋อกินข้าวเสร็จ ก็หยิบเงินหนึ่งพันหยวนมาวางตรงหน้าสวี่ชิงหล่าง
“เงินค่าข้าวคราวก่อน บวกกับหลังจากวันนี้ พอใช้หมดแล้วก็ค่อยบอกผม”
“โอ๊ะ มีเงินแล้วเหรอ” สวี่ชิงหล่างเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมาในที่สุด จากนั้นก็ผลักเงินกลับไปตรงหน้าของโจวเจ๋อแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ชีวิตไม่ง่าย ไม่ต้องใช้เงินมือเติบ และต้องดูแลครอบครัวอีก”
“…” โจวเจ๋อ
“ผมเป็นผู้ชายที่มีห้องชุดกว่ายี่สิบห้อง ไม่สนใจเงินเล็กน้อยของคุณหรอก”
“…” โจวเจ๋อ
โจวเจ๋ออยากจะพูดว่า เขาไม่ช้าก็จะมีเงินแล้ว ขอแค่ตัวเองทำเงินจากคนตายได้มากขึ้น จากนั้นก็ไปเผาเงินกระดาษเล่นที่หน้าร้าน แล้วก็จะมีไอ้โง่วิ่งมาที่หน้าร้านของตัวเองแล้วโปรยเงินเหมือนเด็กลูกเศรษฐีมีเงิน
แต่โจวเจ๋อลองคิดดูอีกที
ตัวเองหากต้องเผาเงินกระดาษหนึ่งคันรถ ก็เผาห้องชุดยี่สิบห้องออกมาไม่ได้ใช่ไหม
เว้นเสียแต่ว่ามีรถขนเงินหุ้มเกราะมาเกิดอุบัติเหตุที่หน้าร้านของตัวเอง…
“ผมคิดว่าจะย้ายร้าน คุณล่ะ” สวี่ชิงหล่างเอ่ยพูดกะทันหัน
“ย้ายไปที่ไหน”
“ย้ายไปที่นั่นน่าจะดีกว่าที่นี่” สวี่ชิงหล่างยิ้ม “ผมกะว่าจะย้านร้านก๋วยเตี๋ยวไปอยู่ในอำเภอ ร้านอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ได้รับความนิยมสูงมาก”
“ของผมค่อยว่ากัน” โจวเจ๋อพูดปัดแบบขอไปที
“อืม ผมกลับก่อนนะ”
สวี่ชิงหล่างเก็บชามและตะเกียบ จากนั้นจึงเดินออกไปจากร้านผีนี้
ส่วนโจวเจ๋อก็ตัดเล็บพลางมองสัญลักษณ์ที่อยู่กลางฝ่ามือของตัวเองไปด้วย ตอนเย็นยังไม่มีลูกค้า โจวเจ๋อรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง เมื่อก่อนมองไม่เห็นความหวัง ใช้ชีวิตให้รอดไปวันๆ ตอนนี้ตัวเองสามารถมองเห็นประกายแห่งความหวังแล้ว ความคิดที่จะเป็นฝ่ายรุกก่อนจึงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
ทำไม ยังไม่มีลูกค้าอีก
ไหนบอกว่าเราเป็นหลอดไฟไงเล่า สามารถส่องสว่างให้ดวงตาผี ของพวกเขาได้ไม่ใช่เหรอ
มาสิ หรือว่าสว่างมากจนหลงทาง
“ครืด…”
ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามา
คนหนึ่งเป็นหญิงสาว อายุพอๆ กับโจวเจ๋อ (สวีเล่อ) อีกคนหนึ่งอายุห้าสิบปีเห็นจะได้ เหมือนเป็นแม่ลูกกัน
หญิงสาวคนนั้น โจวเจ๋อรู้จัก
นี่คือลูกค้าคนแรกนับตั้งแต่ที่เขาเปิดร้าน จำได้ว่าตอนนั้นเธอจะจูงสุนัขคอร์กี้ตัวหนึ่งเข้ามาด้วย หลังจากนั่งอ่านหนังสือสักพักหนึ่งก็ทิ้งเงินหนึ่งร้อยหยวนให้เขา และเป็นรายได้ก้อนแรกของตัวเอง
เพียงแต่ ครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้พาสุนัขคอร์กี้มาด้วย แต่พาแม่ของตัวเองเข้ามา
“เฮ้อ นั่งตรงนี้ก่อน ระวังนะ ดูว่ามีอะไรสกปรกหรือเปล่า” สุภาพสตรีพูดกับหญิงสาว
หญิงสาวโน้มตัวหยิบกระดาษทิชชูออกมา แล้วเช็ดที่เก้าอี้พลาสติก จากนั้นจึงนั่งลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“หยิบหนังสือมาอ่านเถอะ ลูกจ๋า ไม่มีปัญหายุ่งยากอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ข้ามผ่านไม่ได้เหมือนกัน ปล่อยวางหน่อย” สุภาพสตรีพลางพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ
“เฮ้อ” หญิงสาวถอนหายใจ และยังคงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเดิม เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฟังเลย
“ลูกรัก หยิบหนังสือมาอ่านเถอะ อ่านหนังสือ แล้วจะได้ลืมเวลา” สุภาพสตรีนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ลูกสาว แล้วพูดเกลี้ยกล่อมต่อ ด้วยท่าทางของพ่อแม่สงสารลูกยิ่งนัก
โจวเจ๋อกำลังตัดเล็บจึงไม่สนใจ
เวลานี้ หญิงสาวมองมาที่โจวเจ๋อแล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่”
หญิงสาวตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทางน่ารัก ดูเหมือนคนอกหัก และอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด
“คุณถือเถ้าแก่ใช่ไหมคะ” สุภาพสตรีมองโจวเจ๋อ ด้วยท่าทางเหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกๆ
“มีอะไรครับ” โจวเจ๋อถาม
“คุณมีความคิดยังไงบ้างคะ” สุภาพสตรีเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ลูกแม่ อย่าไปสนใจเขา”
หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เอ่ยปาก
“เบบี้หายไปค่ะ”
เบบี้น่าจะเป็นชื่อของสุนัขคอร์กี้ตัวนั้น
“หายไปเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ค่ะ หายไปแล้ว” หญิงสาวตาแดง ดูเหมือนว่าพอคิดถึงสุนัขของตัวเอง แล้วน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา “ตอนที่ฉันทำความสะอาดห้อง มันแอบวิ่งออกไปจากบ้าน โดยที่ฉันไม่ได้สังเกต”
“หายไปก็คือหายไป ซื้อตัวใหม่ก็ได้แล้ว จะร้องไห้ทำไม” สุภาพสตรีโน้มน้าวอีก
โจวเจ๋อลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปหา
“คุณจะทำอะไร” สุภาพสตรีชี้ไปที่โจวเจ๋อ
“หาเจออยู่แล้วครับ” โจวเจ๋อไม่สนใจสุภาพสตรีคนนั้น แล้วพูดปลอบใจหญิงสาว
“ค่ะ”
หญิงสาวร้องไห้ จากนั้นจึงยื่นแขนโอบไหล่ของโจวเจ๋อ
“คุณมันเลว สุนัขของเธอหายไป ไม่ใช่ผู้ชายหายไปเสียหน่อย แล้วคุณเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย!” สุภาพสตรีอยากจะเข้ามาตีโจวเจ๋อ
“ที่นี่ คุณมีสิทธิ์พูดเหรอครับ”
นัยน์ตาของโจวเจ๋อมีประกายสีดำปรากฏขึ้นมา
สุภาพสตรีตกใจกรีดร้องนอนขดตัวอยู่บนพื้นทันที และไม่กล้าเสียงดังอีก
“เป็นอะไรคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง เธอไม่รู้ว่าโจวเจ๋อเมื่อครู่กำลังพูดกับใคร
โจวเจ๋อปล่อยหญิงสาว ตอนที่คนเรารู้สึกแย่ที่สุด ก็คือเวลาที่ดวงประทีปทั้งสามในกายอ่อนแอที่สุด ดังนั้นจึงถูกสิ่งที่ไม่ดีติดตัวได้ง่าย
โชคดีที่ สุภาพสตรีคนนี้อาจจะเหงามานานเกินไป และชอบพูดบ่นไปเรื่อย แต่นิสัยถือว่าไม่แย่นัก
“ฉันจะโพสต์ประกาศตามหาสุนัขในอินเทอร์เน็ต ฉันอยากหามันให้เจอค่ะ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมา ยื่นรูปสุนัขให้โจวเจ๋อดู
“เถ้าแก่ คุณเคยเห็นมันไหมคะ”
โจวเจ๋อยิ้มเจื่อนๆ กิจการของเขาซบเซาขนาดนี้ คนก็ไม่ค่อยมา ไม่ต้องพูดถึงสุนัขเลย
แต่สุภาพสตรีที่ตกใจล้มลงไปกับพื้นเมื่อครู่เวลานี้กลับตะโกนออกมา
“สุนัขตัวนี้ฉันเคยเห็น ฉันเห็นสุนัขตัวนี้ มันอยู่ในเขตหมู่บ้านของฉัน
ตอนที่สามีของฉันกับนางแพศยากำลังทำอะไรกันอยู่ ฉันนั่งอยู่ที่บ้านต่อไม่ไหวจริงๆ จึงออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน และเห็นคนเดินจูงสุนัขตัวนี้!”
…………………………………………………………………………