ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 309 หงุดหงิดแล้ว!
ตอนที่ 309 หงุดหงิดแล้ว!
“โว้ ตื่นแล้ว ตื่นแล้วจริงๆ แม่เจ้า!!!”
นักพรตเฒ่ามองสวี่ชิงหล่างด้วยความประหลาดใจ เขาเพิ่งจะเห็นนิ้วมือของสวี่ชิงหล่างกระตุก จากนั้นส่วนหนึ่งของร่างกายเอียงเล็กน้อย “เหล่าสวี่ รีบตื่นขึ้นมาเร็วๆ เริ่มสงครามวังหลังของเจ้าเถอะ!” นักพรตเฒ่าช่วยตะโกนเพิ่มเชื้อไฟอีกแรง!
ทันใดนั้นร่างกายของสวี่ชิงหล่างกระตุกเป็นพักๆ เขาเอียงตัวเมื่อรู้สึกตัวแล้วอาเจียนแห้งๆ ลงข้างเตียง
นักพรตเฒ่าเคลียร์เสื้อผ้าสกปรกของตัวเองออกจากอ่างพลาสติก นำอ่างพลาสติกมารองข้างล่างให้เขา แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหลังของสวี่ชิงหล่าง “ตื่นแล้วก็ดี ตื่นแล้วก็ดี”
สวี่ชิงหล่างอาเจียนแห้งสักพักหนึ่งแต่ไม่มีอะไรออกมา ถ้าหากโจวเจ๋ออยู่ตรงนี้ น่าจะมองออกว่ามีสาเหตุจากการนอนสลบเป็นระยะเวลานาน เป็นผลทำให้ความสามารถบางส่วนของร่างกายอยู่ในสภาพพักตัวชั่วขณะ สภาพการอาเจียนแห้งแบบนี้คล้ายรถที่จอดไว้ในที่ที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วเป็นเวลานานเริ่มกลับมาอุ่นเครื่องอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เหล่าสวี่แค่สลบ เป็นการปิดตัวเองที่เป็นผลมาจาก ‘ไข้ใจ’ ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์ผัก’ และในความเป็นจริง ความน่าจะเป็นของการฟื้นขึ้นมาของมนุษย์ผักส่วนใหญ่ต่ำมาก และถึงแม้จะโชคดีตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้ โดยทั่วไปจะต้องอยู่ในสภาพที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับการฟื้นของมนุษย์ผักแล้วยังสามารถจดจำเรื่องราวใช้ชีวิตมีความรักอย่าง ‘สุขใจ’ ต่อไปได้ เรื่องแบบนั้น โดยทั่วไปแล้วมีแต่ในละครหรือนิยายรักเท่านั้น หลังจากอาเจียนสักพักหนึ่งแล้ว สวี่ชิงหล่างจึงลืมตา มองนักพรตเฒ่ากับสาวน้อยโลลิที่อยู่ข้างกายตัวเองหนึ่งที จากนั้นจึงเอียงศีรษะล้มตัวนอนหลับอีกครั้ง
การนอนหลับครั้งนี้ เป็นการพักผ่อนของร่างกาย เพราะคนได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว “เจ้ารอก่อน ข้าจะไปต้มน้ำซุปมาให้เจ้าดื่มบำรุงร่างกาย” นักพรตเฒ่าวิ่งออกไปด้วยความดีใจ สาวน้อยโลลิเหลือบตามองสวี่ชิงหล่างที่นอนหายใจกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ แล้วจึงเบ้ปาก บ่นพึมพำ “ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันก็คงไม่มาอยู่รวมกัน”
เหล่าสวี่ฟื้นแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างหนึ่ง นักพรตเฒ่าคอยดูแลไม่ห่าง หลังจากให้เหล่าสวี่กินอะไรนิดหน่อยแล้วนอนหลับต่อ ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็มีเวลาไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนักพรตสะอาดเดินลงมาข้างล่าง กลับไปนั่งที่เคาน์เตอร์ของตัวเอง
เหล้าเหลืองเก่าหนึ่งจอกกับเต้าหู้ทรงเครื่องซ้อนกันหนึ่งชั้น วางหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับอยู่ด้านหน้าพลางจิบเหล้าเหลืองเล็กน้อย จากนั้นหยิบเต้าหู้ทรงเครื่องใส่ปาก ฮัมเพลงพื้นบ้าน อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเล็ก เลียนแบบเถ้าแก่ แอบใช้เวลาพักผ่อนครึ่งวัน
ส่วนตู้กระจกขนาดใหญ่ใบนั้นก็วางอยู่ข้างตัวของนักพรตเฒ่า ป้องกันยุงและแมลงกัดต่อย เมื่อก่อนมีแต่เถ้าแก่ที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ นักพรตเฒ่าจึงลองดูบ้าง
ปกติแล้วตอนกลางวันมีลูกค้าน้อยมาก บางครั้งนักพรตเฒ่าก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งวันไม่มีอะไรทำ แต่ครั้งนี้พอกำลังจะเคลิ้ม กลับมีคนสามคนเดินเข้ามาในร้าน
นักพรตเฒ่ายักไหล่อย่างจนใจ จากนั้นเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ทั้งสามคน อยากดื่มอะไรครับ”
“ขอชาหลงจิ่งหนึ่งกาครับ” ผู้ที่มาเป็นเด็กหนุ่มสองคนบวกกับชายชราที่อายุมากกว่านักพรตเฒ่าอีกหนึ่งคน
“ได้เลย เชิญนั่งตรงนี้ รอเดี๋ยวนะ” นักพรตเฒ่าเดินไปข้างหลังเพื่อชงน้ำชา
เด็กหนุ่มทั้งสองคนประคองชายชราแล้วเลือกนั่งลงตรงที่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์มากเท่าไร ชายชรามีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ถือไม้เท้า ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวขาดเป็นรู นั่งลงด้วยการประคองอย่างใส่ใจจากคนข้างๆ
เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งลงตรงข้ามเขา คนหนึ่งถือปากกาบันทึกเสียง อีกคนหนึ่งถือสมุด เตรียมตัวบันทึกอะไรอยู่ตลอดเวลา
“อ้อ สัมภาษณ์เหรอ” นักพรตเฒ่ายกกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเดินเข้ามา แล้ววางข้างๆ เพื่อสะดวกในการรินน้ำชา
“ขอบคุณครับ” มีเด็กหนุ่มหนึ่งคนในนั้นขานรับ แล้วชี้ไปที่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าพลางพูดว่า “ทหารเก่าที่ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่นครับ”
“โอ้ว พี่ชาย นับถือๆ!” นักพรตเฒ่าชูนิ้วโป้งให้ชายชราที่อยู่ตรงหน้า ชายชรานั่งอยู่ตรงนั้นได้แต่พยักหน้าอย่างสำรวม ฟันของเขาเหลือไม่กี่ซี่แล้ว เวลาพูดจาน่าจะลำบากอยู่บ้าง หูก็ไม่ค่อยได้ยิน
หรือจะพูดไม่เพราะเลยก็คือ อายุปูนนี้ ถือว่าก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลงศพแล้ว นักพรตเฒ่าแอบเศร้าใจแล้วพูดตามตรงว่า “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ข้าเลี้ยงน้ำชาทั้งสามคนเอง เดี๋ยวข้าจะไปเอาของกินเล่นมาให้พวกเจ้า”
“ขอบคุณครับเถ้าแก่” เด็กหนุ่มทั้งสองคนขอบคุณนักพรตเฒ่า
“ไม่ต้องเกรงใจๆ สมควรอยู่แล้ว” ปกติคนขี้งกอย่างนักพรตเฒ่านานๆ จะใจกว้างกับเขาสักครั้ง เขาเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์หยิบของจำพวกผลไม้อบแห้งสองสามชนิดและเมล็ดแตงใส่จานแล้วยกมาเสิร์ฟ หลังจากวางจานแล้วนักพรตเฒ่าเดินไปไม่ไกลมาก แล้วตัวเองก็หยิบเมล็ดแตงกำหนึ่งมายืนพิงเคาน์เตอร์แทะเมล็ดแตงและคอยฟังไปด้วย
นักพรตเฒ่าเป็นคนที่เกิดในยุคสร้างประเทศสองปีนั้น ไม่เคยรบมาก่อน แต่เขามีความเคยชินแบบนี้ คือชอบฟังคนอื่นเล่าเรื่อง หลายปีก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วมีนักเล่านิทานอยู่ไม่น้อย ต่อมาภายหลังจึงค่อยๆ สาบสูญไป
“คุณตาครับ ตอนนี้พวกเราจะเริ่มแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มถาม ชายชราพยักหน้า แล้วการสัมภาษณ์จึงเริ่มขึ้น เด็กหนุ่มทั้งสองน่าจะเป็นนักข่าวของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่ไหนสักแห่ง กำลังทำคอลัมน์สัมภาษณ์ทหารเก่าที่ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
ประโยคแรกที่ชายชราพูด ได้ทำให้นักพรตเฒ่าตื่นเต้นทันที และถึงแม้ว่าชายชราจะพูดช้ามาก ไม่ค่อยชัดเจน แต่สำเนียงส่านซีเหนือ ทำให้นักพรตเฒ่ารู้สึกเหมือนเจอญาติสนิทจริงๆ แม่งเอ๊ย คนบ้านเดียวกัน!
นักพรตเฒ่าลังเลว่าจะเอาขนมไปให้พวกเขาดีไหม เพราะเขาจะจ่ายเงินพวกนี้เอง ของส่วนรวมก็ต้องเป็นของส่วนรวม ของตัวเองก็เป็นของตัวเอง เขานักพรตเฒ่าไม่แย่ถึงขั้นต้องขโมยของเพื่อเอาเปรียบเถ้าแก่โจว
อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่โจวจนขนาดนี้ ดูจากท่าทางตอนจับเหรียญเงินไม่ปล่อยของเถ้าแก่เมื่อวานแล้ว นักพรตเฒ่ารู้สึกสงสารอยู่ในใจ อยากได้เงินมากแค่ไหนกัน
การสัมภาษณ์ชายชรายังคงดำเนินต่อไป เขาพูดช้ามาก แต่ชัดเจนเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนซ้อมทุกอย่างมาจากในหัวแล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเคยสัมภาษณ์มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่นานนัก จะพูดอย่างไรดีล่ะ คงคุ้นชินแล้ว
“เพราะว่าตอนนั้นไปเป็นทหาร ดังนั้นรู้สึกว่าไม่ได้เงยหน้าขึ้นนานมากแล้ว ผมเองจึงเคยชินกับการพูดน้อยอย่างช้าๆ” ชายชราบรรยายมาถึงตอนนี้ นักข่าวหนุ่มจึงพูดทันที “ลำบากคุณแล้วครับ คุณเจี่ย” นักข่าวอีกคนหนึ่งได้ยกกาน้ำชามารินให้ชายชราต่อ แล้วนำมาวางตรงหน้าชายชรา
นักพรตเฒ่าแทะเมล็ดแตงดูอยู่ข้างๆ ฟังอย่างสนุกสนาน เรื่องราวมากมายในยุคนั้น ยากที่จะเล่าได้อย่างชัดเจนแต่อย่างน้อยความนิยมของสังคมในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขความผิดพลาด ความรู้ของผู้คนไม่ได้ถูกจำกัดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ขอเพียงเป็นคนที่เคยเสียเลือดเพื่อชาติ แท้จริงแล้วไม่ต้องคำนึงถึงฐานะ และไม่ต้องกังวลเรื่องศีลธรรมส่วนตัวอะไร ตัวของพวกเขาก็สมควรได้รับการเคารพเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนนั้นที่เข้าร่วมเป็นทหาร จริงๆ แล้วเพื่อกินข้าวให้อิ่มท้อง ตอนนั้นอายุยังน้อย ร่วมเป็นทหารตอนอายุสิบสี่ปีจึงไม่มีความรู้อะไร และไม่เข้าใจหลักการยิ่งใหญ่อะไรหรอก มีหลักการมากมายที่เพิ่งได้รู้ได้เข้าใจในภายหลัง ตอนแรกที่ผมออกรบ รู้สึกภูมิใจมาก ยิงสู้รบกัน ล้มลุกคลุกคลาน จนถึงปี 45 กองทหารได้ปักหลักอยู่ที่มณฑลส่านซี
ตอนนั้นผมอยู่ในกองทัพที่หนึ่ง หมวดที่สอง กองร้อยที่สาม กองพันที่สาม มีครูฝึกทหารเก้าสิบนาย ผู้บัญชากองทัพสามสิบนาย ผู้บังคับบัญชาหูจงหนาน ผู้บัญชาการกองหลู่ฉงอี้ ครูฝึกทหารหวังฮุ่ยหมิน หัวหน้ากองร้อยเกาซู่ซวิน ผู้บังคับกองร้อยแซ่เฉิน หัวหน้าหมวดแซ่หลิว ผมจำได้แม่นยำ สามารถจำชื่อประจำกองของกองทัพตอนนั้นได้ไปจนตาย ตอนนั้นหัวหน้าบังคับให้พวกเราจำให้ขึ้นใจ บอกว่าวันหลังถึงแม้ต้องรบจนตัวตาย พอลงนรกไปแล้ว พวกเราจะได้รวมตัวกันลงไปสู้กับทหารญี่ปุ่นต่อในนรก”
นักข่าวทั้งสองคนบันทึกอย่างอดทน สิ่งเหล่านี้ได้ลงหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นาน จุดประสงค์คือเรียกร้องให้สังคมใส่ใจและปกป้องรักษาทหารเก่าที่ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเหล่านี้ โดยเฉพาะกองทัพแห่งชาติ
ลำพังแค่ดูสภาพตอนนี้ของนักข่าวทั้งสองคนที่ตาแดงน้ำตาคลอเบ้า ก็รู้ว่าหลังจากที่ได้เห็นบทความนี้ จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเสียน้ำตาให้กับบทความนี้แน่นอน ทุกคนจะต้องซาบซึ้งใจกับทหารเก่าที่ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่นคนนี้ขณะเดียวกันก็จะด่า…
นักพรตเฒ่าขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ ไม่ใช่สิ ปี 45 ตอนนั้นเกาซู่ซวินเป็นหัวหน้ากองร้อย ทำไมนักพรตเฒ่าจำได้ว่าปี 40เกาซู่ซวินเป็นผู้บัญชาการกองล่ะ และเกาก็เป็นทหารเก่าของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือของเฝิงอวี้เสียง แล้วจะมาเป็นลูกน้องของหูจงหนานได้อย่างไร จากนั้นจึงมองชายชราอีกที อ้อ น่าจะจำผิด อย่างไรก็ตามเขาอายุมากแล้วจึงเป็นเรื่องปกติ
นักพรตเฒ่าไม่พูดอะไรแล้วแทะเมล็ดแตงต่อ
“กองทหารเคลื่อนย้ายไปที่เมืองฮั่นจง มณฑลส่านซี จากนั้นก็อยู่ที่เขตป้าเฉียว เว่ยหนานในนครซีอาน คอยสู้รบกับทหารญี่ปุ่นอยู่ในสองสามเขตนี้ ผมลืมชื่อประจำกองกำลังทหารของหทารญี่ปุ่นไปแล้ว จำได้เพียงปืนของพวกเขาดีกว่าของพวกเราเยอะมาก พวกเขาใช้ปืนไรเฟิลประเภทสามแปด กองทหารของพวกเราใช้ปืนหูเป่ย
การสู้รบดุเดือดมาก คนของพวกเราบาดเจ็บและตายมากกว่าทหารญี่ปุ่น เนื่องจากตอนนั้นผมอายุน้อย พวกสหายร่วมรบจึงดูแลผมมาก มีครั้งหนึ่งที่สู้รบกับทหารญี่ปุ่นระเบิดของศัตรูได้ระเบิดโดนขาของผม ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ็บ เลือดไหลเต็มกางเกง รองเท้ามีแต่เลือด สหายร่วมรบของผมช่วยพาผมไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามของสนามรบ…
…
หลังจากสู้กับทหารญี่ปุ่นจบแล้ว ก็ถึงสงครามปลดแอก ผู้บังคับกองร้อยของพวกเราพาพวกเราก่อการจลาจล เพราะคนจีนไม่ตีคนจีนด้วยกันเอง…”
นักข่าวคนหนึ่งหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตา ส่วนนักข่าวอีกคนหนึ่งสะอื้นไห้ “คนจีนไม่ตีคนจีนด้วยกัน ดี พูดได้ดีมาก ลำบากคุณแล้ว คุณเจี่ยครับ หลายปีที่ผ่านมานี้ ความลำบาก การไม่ได้รับความเป็นธรรมของคุณ จะได้รับการตอบแทนครับ นี่เป็นค่าตอบแทนการสัมภาษณ์ของพวกเราในครั้งนี้ ขอให้คุณรับเอาไว้ ปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น ประเทศชาติและประชาชนจะไม่ลืมคุณ สังคมก็จะไม่ลืมคุณเช่นกัน พวกเราจะช่วยประกาศสนับสนุนคุณครับ…”
“เดี๋ยวก่อนๆ!!!” นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ทนฟังต่อไม่ได้แล้ว รีบเดินมาข้างหน้าทันที เคาะโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดดุว่า“พวกคุณพูดไร้สาระอะไรกัน!”
“เถ้าแก่ คุณหมายความว่ายังไง” นักข่าวหนุ่มขมวดคิ้วมองเถ้าแก่
นักพรตเฒ่าไม่สนใจนักข่าวทั้งสองคน แต่ชี้ไปที่ซองแดงหนาที่ชายชราเพิ่งรับไปเมื่อครู่หลังจากเล่าเรื่องเสร็จแล้วด่าว่า “ยิ่งพูดยิ่งไร้สาระ! เรื่องที่พวกเราคนถงกวนภูมิใจมากที่สุดก็คือ ไม่ว่าทหารญี่ปุ่นจะเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดยังไง แต่ก็ไม่ยอมให้ทหารญี่ปุ่นข้ามเมืองเฟิงหลิงตู้ได้! แต่เจ้าดันไปรบที่ป้าเฉียวเว่ยหนาน เหี้Xย่ามึงตาย เจ้ากลับไปถามคนญี่ปุ่นไปว่าตอนนั้นพวกเขาผ่านด่านหันกู่กวนไปได้ไหม!”
พูดจบ นักพรตเฒ่าจึงชี้ไปที่นักข่าวหนุ่มทั้งสองที่ยังอยู่ในสภาพ ‘ซาบซึ้งประเทศจีน’ “พวกเจ้าสองคนสมองมีปัญหาเหรอ จ้างคนโกหกมาสัมภาษณ์ แล้วยังร้องไห้โฮอีก สมองมีแต่ขี้เลื่อยเหรอไง”
…………………………………………………………………………