ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 310 ฝันร้าย!
ตอนที่ 310 ฝันร้าย!
ติ๋งๆๆๆ…เสียงน้ำหยดดังติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยเสียงสะท้อนกลับมาจากความว่างเปล่าที่ดังไปทั่วไม่หยุด มีน้ำหยดหนึ่งร่วงลงบนหน้าผากของโจวเจ๋อ โจวเจ๋อค่อยๆ ลืมตาช้าๆ เขาตื่นขึ้นมาครั้งนี้ รู้สึกถึงความเย็นเยียบส่งผ่านมาจากร่างกายด้านล่างของตัวเอง ทำให้เขารู้สึกทรมานมาก
สัญชาตญาณบอกเขาว่า ครั้งนี้ตัวเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องนอน และการตื่นมาครั้งนี้จะไม่มีไป๋อิงอิงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายแน่นอน ใช่แล้ว บริเวณรอบๆ ทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยความอึดอัดสุดสายตา เหนือศีรษะของเขาปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆ และระยะห่างระหว่างฟ้ากับดินที่นี่ก็ถูกลากเข้ามาใกล้กันอย่างไร้ขอบเขต ทำให้ความรู้สึกอึดอัดยิ่งรุนแรงมากขึ้น มีพระจันทร์เลือดที่แตกหักอยู่ระหว่างช่วงรอยต่อของก้อนเมฆ มันไม่ได้ส่องแสงสว่างและไม่ได้เปล่งแสง แต่เหมือนดวงตาข้างหนึ่งมากกว่า ยืนอยู่ข้างบนจ้องมองทุกสิ่งข้างล่างด้วยอารมณ์ดูถูกเยาะเย้ยถากถาง
ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นนรก! โจวเจ๋อลุกนั่ง ทันใดนั้นเขารู้สึกร้อนอยู่บ้าง เป็นความร้อนอบอ้าวทำให้คนรู้สึกกระวนกระวายและทรมาน เหมือนโดนทิ้งใส่หลังรถบรรทุกที่ปิดสนิทในฤดูร้อน โจวเจ๋อยันฝ่ามือบนพื้นค่อยๆ ลุกขึ้น มองไปรอบๆ แล้วจึงพบว่ามีหลุมหลุมหนึ่งอยู่ข้างตัวเอง
หลุมไม่ใหญ่มาก มีขนาดเท่าสระน้ำเล็กๆ และไม่ลึกมากเหมือนกัน สูงประมาณคนสองคนเห็นจะได้ หลุมนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเหลืองอมน้ำตาลหนึ่งชั้นอย่างแน่นขนัด แต่ไม่มีพลังชีวิตแล้ว เหมือนเส้นผมของคนแก่ปลิวไปมาตามสายลมร้อนระอุ
โจวเจ๋อรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาจึงจำได้ ที่นี่คุ้นตามากจริงๆ เพราะเขาเคยมาสองสามครั้งแล้ว ที่นี่เดิมทีมีสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำที่เต็มอยู่ด้านในราวกับความคับแค้นใจของผู้ตาย กลายเป็นทิวทัศน์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของหยดน้ำเกาะหนาแน่นอยู่ริมทางเดินน้ำพุเหลือง
ส่วนลึกสุดของสระน้ำ น่าจะมีผีสาวไร้หน้าคนคุ้นเคยของโจวเจ๋อ เพียงแต่ฉากที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกเหมือน‘คนไปเมืองร้าง’ ไม่มีน้ำและผีสาวไร้หน้าก็ไม่อยู่แล้ว ดูเหมือนมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาแล้วตัดพลังชีวิตทุกอย่างในนี้ออกไป
นรกจะแห้งแล้งไหม คำถามนี้ผุดเข้ามาในหัวของโจวเจ๋อ เวลานี้น่าจะเป็นความฝัน ฝันว่ากลับมานรก โจวเจ๋อจำบุคคลมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของต่างประเทศที่ชื่อว่า ‘ดันเต’ ได้ เขาเคยฝันว่าได้ไปท่องนรก หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจึงเขียนหนังสือชื่อว่า ‘ดีวีนากอมเมเดีย’
โจวเจ๋อหลังจากเกิดใหม่ได้ไปหาหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะแล้วอ่านส่วนที่ไม่เคยอ่านอีกรอบอย่างตั้งใจ หลังจากอ่านจบแล้วโจวเจ๋อมั่นใจว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงคนนั้นได้ฝันจริงๆ แต่เป็นฝันกลางวัน นรกที่เขาบรรยายกับสิ่งที่โจวเจ๋อเห็นกับตาตัวเอง ไม่ใช่สถานที่เดียวกันอย่างสิ้นเชิง
โจวเจ๋อทอดมองไปไกลๆ ที่นั่นคือทางเดินน้ำพุเหลือง ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน ไม่ว่าเวลาไหนถนนเส้นนั้นมีแต่ภาพที่วุ่นวายเบียดเสียดกันตลอดไป เพราะคนตายตลอดเวลา ไม่ว่าวิธีการตายจะแปลกประหลาดหรือแตกต่างกันแค่ไหน แต่ที่พึ่งพิงสุดท้ายของคนตายก็คือที่นี่
และตอนที่ทอดสายตามองไป โจวเจ๋อกลับมองเห็นว่าทางเดินน้ำพุเหลืองถึงแม้จะยังเต็มแน่นเหมือนเดิม ทว่าคนพวกนั้นไม่ได้เดินต่อไปข้างหน้า แต่กลับยืนเรียงกันเป็นแถว เหมือนเด็กนักเรียนยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ
บนทางเดินน้ำพุเหลือง ถูกแบ่งช่องว่างหนึ่งแถว เหมือนกับทางด่วนพิเศษบนถนนยกระดับ หากมองจากมุมมองของโจวเจ๋อ เหล่าวิญญาณบนทางเดินน้ำพุเหลืองเหมือนกำลังเข้าร่วม ‘การขับร้องหมู่บทเพลงแห่งแม่น้ำเหลือง’ ขาดก็แต่คนร้องนำ
จากนั้นก็คือเสียงดังอื้ออึงเหมือนภูเขาคำรามทะเลบ้าคลั่ง “สายลมคำราม ม้าร้อง แม่น้ำเหลืองกำลังคำราม แม่น้ำเหลืองกำลังคำราม…” รู้สึกว่าหายใจลำบาก ถึงแม้อยู่ในนรกไม่ต้องหายใจเลยด้วยซ้ำ แต่คุณก็ยังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากทรวงอก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนมดตัวหนึ่งที่ถูกโยนทิ้งลงไปทอดในกระทะ หลังจากกระโดดโหยงๆ สองสามครั้งแล้วจึงไหม้สลายไป
โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าต่อ เขาเดินมาถึงริมทางเดินน้ำพุเหลืองอย่างช้าๆ จากนั้นจึงเดินขึ้นไปข้างบน ทำไมที่นี่ร้อนขนาดนี้ แล้วก็คนที่อยู่บนทางเดินน้ำพุเหลือง ทำไมถึงหยุดเดิน และในเวลานี้ โจวเจ๋อพลันได้ยินเสียงตะโกนมาแต่ไกล เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นกลุ่มคนกำลังพุ่งมาทางนี้ ถ้าหากพวกเขายังเป็นคนละนะ เพราะถึงแม้พวกเขาจะยังคงรูปร่างของมนุษย์อยู่ แต่ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาถูกทรมานด้วยการลงโทษที่ไม่อาจจินตนาการได้จนไม่เหลือสภาพคนแล้ว ซึ่งขั้นตอนการทารุณยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้
ตอนแรกที่ถังซือยังอยู่ในร้านหนังสือ โจวเจ๋อเคยถามถังซือว่า การทรมานในนรกกับในชีวิตจริงแตกต่างกันไหมเพราะถึงแม้จะเป็น ‘ผู้หลบหนี’ จากนรกเหมือนกัน แต่โจวเจ๋อยังอยู่แค่รอบนอกไม่ได้เข้าไปลึกมาก เขาอาศัยเล็บทำให้ได้ออกมาก่อน เพราะฉะนั้นความบ้าคลั่งของนรก เขาจึงไม่เคยเจอมาก่อน
ดังนั้นทุกครั้งที่ถังซือได้ยินคำว่า ‘นรก’ มักจะมีสีหน้าสั่นไหวเสมอ โจวเจ๋อจึงรู้สึกสงสัยอยากรู้เป็นอย่างมาก เนื่องจากยังไม่รู้ ดังนั้นจึงสงสัย สงสัยว่าน้องสาวที่แข็งแกร่งทำไมถึงกลัวคำนี้โดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
คำตอบของถังซือเรียบง่ายมาก และความหมายคร่าวๆ ก็คือ การทรมานในโลกมนุษย์ ต้องระวังอย่าทำให้คนตาย เพราะถ้าตายจากการลงโทษ อย่างนั้นทรมานต่อก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว แต่การทรมานของนรกไม่เหมือนกัน พวกเขารับรองว่ามีมากมายหลายวิธีที่จะไม่ทำให้วิญญาณของคุณแตกสลาย จากนั้นโดยหลักพื้นฐานนี้ การลงโทษทรมานต่างๆ จึงเหมือนเหล่านางฟ้าตัวน้อยที่สูญเสียการการผูกมัด เริ่มแสดงจินตนาการอันบ้าคลั่งของแรงงานจากนรกออกมา
สิ่งที่โจวเจ๋อเห็นว่ากำลังวิ่งมาทางตัวเอง ก็คือนักโทษกลุ่มหนึ่ง พวกเขากำลังวิ่ง พวกเขาวิ่งอย่างสับสน อาจจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องวิ่ง และไม่รู้ว่าตัวเองต้องวิ่งไปที่ไหนกันแน่ แต่พวกเขายังคงวิ่งต่อไป
บางทีสำหรับพวกเขาแล้ว ท่ามกลางชีวิตที่ทรมานชั่วนิจนิรันดร์ในนรกแบบนี้ ขั้นตอนการวิ่งนี้คือความสุขอย่างหนึ่ง
เนื่องจากการวิ่งมาของพวกเขา มีผลทำให้วิญญาณมากมายบนทางเดินน้ำพุเหลืองเกิดความผิดปกติเล็กน้อย เดิมทีพวกเขาเดินเขย่งปลายเท้าด้วยใบหน้าเย็นชา แต่เวลานี้กลับแสดงสีหน้าอื่นบนใบหน้าของพวกเขา
มนุษย์เต็มไปด้วยอารมณ์ และมดแมลงก็รู้จักเอาตัวรอดไปวันๆ อย่าว่าแต่คนเลย ตอนที่โจวเจ๋อคิดว่าผลที่เกิดจากการกระทบของแท่งโดมิโนกำลังจะเปิดออก ‘เพียะ!’ เสียงแส้ดังขึ้นเหมือนท้องฟ้าคำราม!
เหล่าวิญญาณที่ทำสีหน้าแปลกใจบนทางเดินน้ำพุเหลืองเมื่อครู่ได้เปลี่ยนเป็นความเย็นชาภายในพริบตาทันทีที่ได้ยินเสียง กระทั่งกลุ่มนักโทษกลุ่มนั้น มีสองสามคนที่กำลังวิ่งอยู่ได้หยุดวิ่ง ยืนนิ่งทื่ออยู่ริมทางเดิน แล้วกลับเข้าไปยืนในกองทัพใหญ่บนทางเดินน้ำพุเหลือง
แต่ก็ยังมีคนมากมายวิ่งต่อไป ถึงแม้พวกเขาตอนนี้จะทรมานมาก ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะสับสนมึนงง แต่พวกเขาก็เหมือนแมลงเม่าวิ่งไปข้างหน้าต่อ มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งอยู่หน้าสุด ในโลกแห่งความจริง ถ้าจะบรรยายความเปรี้ยวแซบนำสมัยของผู้หญิง คุณสามารถพูดได้ว่าเธอใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ปิดบังเนื้อหนังบางส่วนแบบลวกๆ แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีความนำสมัยยิ่งกว่า เพราะร่างกายของเธอแทบไม่มีชิ้นเนื้ออยู่เลย หน้าเหลือนิดเดียว หน้าอกห้อยเล็กน้อย เนื้อติดขาเป็นเส้นฝอย นำสมัยแบบสุดโต่งไปเลย
โจวเจ๋อยื่นมืออยากขวางเธอเมื่อรู้ตัว กระทั่งอยากจะใช้เล็บของตัวเอง แต่ในเวลานี้เสียงแส้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง โจวเจ๋อรู้สึกว่านิ้วของตัวเองชาทั้งสิบนิ้ว นิ้วทั้งสิบเชื่อมถึงหัวใจ ความเจ็บปวดทิ่มแทงหัวใจเขาทันที ทำให้เขายากที่จะทนได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาระวังตัวเล็กน้อย พวกนักโทษวิ่งผ่านหน้าโจวเจ๋อไปทีละคน โจวเจ๋อก้มหน้า พบว่าเล็บของตัวเองเต็มไปด้วยเลือด และที่เกินจริงมากกว่านั้นคือมีนักโทษบางคนวิ่งผ่านตัวของโจวเจ๋อไปโดยตรง ราวกับว่าโจวเจ๋อไม่มีตัวตนอยู่เลย
ใช่แล้ว เขาไม่ได้เป็นวิญญาณกลับมาจริงๆ นี่คือความฝันเท่านั้น หลังจากนักโทษวิ่งผ่านตัวเขาไปไม่รู้เท่าไรแล้วด้านหลังยังมีคนวิ่งตามมาอีกหนึ่งกลุ่ม พวกเขาใส่ชุดโบราณสีขาวดำ ถือโซ่และตรวนอยู่ในมือ นักโทษบางคนที่หยุดวิ่งถูกพวกเขาจับโดยตรง
สุดท้ายโจวเจ๋อเห็นผู้หญิงสวมมงกุฎหงส์คนหนึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน อายุราวสามสิบสี่สิบปีเห็นจะได้ แต่งหน้าหนาหนึ่งชั้น ยากที่ใครจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ แต่ในมือของเธอนั้นถือแส้หนังหนึ่งเส้น เป็นแส้หนังสีม่วงเส้นหนึ่ง ความยาวประมาณยี่สิบกว่าเมตร เวลาที่ถืออยู่ในมือเหมือนงูยักษ์กำลังฉวัดเฉวียนกลางอากาศ และบนแส้หนัง ถูกฝังด้วยหน้าคนแผดเสียงร้องโหยหวนมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนโดนกักขังอยู่ในบาปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดตลอดไป!
‘เพียะ!’ เสียงแส้หวดลงมา เหล่าวิญญาณบนทางเดินน้ำพุเหลืองเหมือนกลับสู่โหมดเดิม เริ่มเดินเขย่งปลายเท้าไปข้างหน้าอย่างเย็นชา เหมือนหมูและสุนัขที่ถูกเลี้ยงอยู่ในบ้าน
‘เพียะ!’ เสียงแส้ดังมาอีกครั้ง เกิดสายลมขึ้นรอบด้าน จากนั้นฝนตกลงมาห่าใหญ่ในชั่วพริบตา สระน้ำแห้งเหือดที่โจวเจ๋อเห็นก่อนหน้านั้นถูกเติมเต็มไปด้วยน้ำฝน ผู้หญิงสวมมุงกุฎหงส์หันมาทางตำแหน่งของโจวเจ๋ออย่างตั้งใจ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วชูแส้ในมือสูงขึ้นเมื่อรู้ตัว แล้วหวดลงมาที่โจวเจ๋อ!
ชั่วเวลาหนึ่ง โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนมีพลังอำนาจดั่งภูเขาคำรามทะเลคลั่งบดขยี้ตัวเอง เขารู้สึกเหมือนเรือเล็กที่อยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ สามารถอับปางลงได้ตลอดเวลา
‘เพียะ!’
…
‘เพียะ!’
โจวเจ๋อลุกพรวดขึ้นมานั่งบนเตียง ไป๋อิงอิงที่เพิ่งช่วยตบยุงให้โจวเจ๋อมองเขาด้วยความดีใจ แล้วพูดว่า “เถ้าแก่ ตื่นแล้วเหรอ!”
‘ฮู่ว…ฮู่ว…’ โจวเจ๋อหายใจหอบใหญ่ไม่ทันได้ตอบไป๋อิงอิง
“เถ้าแก่ เมื่อกี้ทำข้าตกใจหมดเลย เหงื่อไหลเยอะมาก ข้าจะช่วยท่านอาบน้ำนะเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงพูดแล้วจึงเดินเข้ามาเตรียมอุ้มเถ้าแก่ของตัวเองลงไปข้างล่าง เธอทำสิ่งเหล่านี้จนชินแล้ว โจวเจ๋อก็รู้สึกคุ้นชินแล้วเหมือนกัน แต่แล้วเวลานี้ประตูห้องนอนได้เปิดออกในทันใด สาวน้อยโลลิยืนอยู่หน้าประตูหายใจหอบฮัก
“เจ้าทำอะไร!” ไป๋อิงอิงมองสาวน้อยโลลิที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความไม่พอใจ คิดว่าเธอตั้งใจทำลายช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเองกับเถ้าแก่
“โจวเจ๋อ…โจวเจ๋อ…” สาวน้อยโลลิหายใจหอบพลางชูสมุดยมทูตของตัวเองขึ้นมา แล้วรีบพูดว่า “โจวเจ๋อ แย่แล้วนรก มีวิญญาณร้ายกลุ่มหนึ่ง…หนี..หนีออกมาแล้ว”
…………………………………………………………………………