ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 313 ไม่มีคนรับสาย
ตอนที่ 313 ไม่มีคนรับสาย
เดิมทีมาจับผี แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายกลายเป็นจับหนู ถึงแม้ในใจจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ทุกคนก็เริ่มต้นค้นหาทั้งในกล่องและตู้ ส่วนศพที่น่าสงสารนั่นถูกทิ้งไว้ชั่วคราวอยู่ตรงนั้นไม่มีใครสนใจ และตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจด้วย
รอให้จัดการธุระเสร็จแล้วค่อยโทรหาจางเยี่ยนเฟิง สั่งให้เขามาจัดการจะดีที่สุด อย่างไรก็ตามแบกศพไปเผาทิ้งเป็นงานที่ยุ่งยากมากอย่างหนึ่ง
ทุกคนในร้านหนังสือมาช่วยกันจับผี ไม่ได้มาเป็นทีมจัดเก็บเพื่อหารายได้เสริม พวกเขาหาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลย ที่นี่สะอาดมากจนน่าขนลุก แม้แต่ขี้หนูก็ไม่มี
“เถ้าแก่ อย่างนั้นพวกเราเผาบ้านหลังนี้ดีไหม” นักพรตเฒ่าออกข้อเสนอ จุดไฟเผาจะได้สิ้นเรื่อง หนูตัวนั้นไม่ว่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็จะถูกเผาตาย
โจวเจ๋อส่ายหน้า หากสามารถจับเป็นได้ทางที่ดีจับเป็นแล้วส่งลงนรก แบบนี้จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทันใดนั้นโจวเจ๋อยื่นมือขวาของตัวเองออกไป ควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นไปจากปลายนิ้ว จากนั้นใช้เล็บแทงเข้าไปในพื้น ควันสีดำเริ่มตลบอบอวลไปทั่ว ลอยไปหาสาวน้อยโลลิ ลอยไปหาไป๋อิงอิง ลอยไปหาเจ้าลิงที่อยู่บนตัวของนักพรตเฒ่า แล้วมีอีกสายหนึ่งที่ลอยไปหาศพผู้หญิงนั่น ลอยวนอยู่รอบตัวเธอ รูม่านตาของโจวเจ๋อหดตัวทันที อยู่ข้างในศพนั่น!
‘จี๊ดๆ!’ ท้องของศพถูกเจาะเป็นรู หนูขนาดใหญ่ลอดออกมาจากตรงนั้น หนูมีขนสีแดง โดยเฉพาะดวงตานั่น มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองเปล่งประกายเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหมายความว่ามันมีความคิด มันมีสติปัญญาเกินหนูที่แท้จริงแล้ว น่าจะเป็นความซวยของสหายคนนี้ แน่นอนว่าต้องดูโชคด้วยเหมือนกัน เพราะวิญญาณที่หนีมาจากนรกมักจะเจอเหตุการณ์ที่น่าอับอายอยู่บ้าง นั่นก็คือวิญญาณจะสูญเสียพลังไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่หาร่างสิงที่เหมาะสม ก็จะมลายหายไปจากโลกมนุษย์
ตอนนั้นโจวเจ๋อเจอสวีเล่อพอดี และไอ้สวีเล่อก็เพิ่งถูกคนทุบตาย โจวเจ๋อจึงอาศัยจังหวะเข้าไป ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้น่าจะเลือกเข้าไปสิงหนูริมถนน เธอคงอยากหาร่างที่เหมาะสมเหมือนกัน แต่โชคไม่ดี ทำอะไรไม่ได้
‘จี๊ดๆ!’
ทุกคนในร้านหนังสือล้อมเป็นวงกลม เจ้าหนูก็ไม่กล้าวู่วาม แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของสาวน้อยโลลิพลันเปลี่ยนไปแล้วพูดว่า “ระวัง มีเวทมนต์”
‘วืด!’ นักพรตเฒ่าล้มลงไปกองกับพื้นโดยตรง สีหน้าเหม่อลอยเห็นได้ชัดว่าโดนมนต์สะกดแล้ว
สาวน้อยโลลิทำสีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้จะไม่เป็นอะไร แต่ได้ย้ายสายตามองไปทางอื่นแล้ว ไม่กล้าสบตากับหนูตัวนี้ เธอต้องการเวลาที่มั่นคง ไป๋อิงอิงหลับตาปี๋ยืนอยู่กับที่
เจ้าลิงกระโดดไปบนไหล่ของนักพรตเฒ่า ใช้อุ้งมือเล็กของมันเคาะศีรษะของนักพรตเฒ่า เมื่อเห็นว่านักพรตเฒ่ายังแน่นิ่ง หลังจากมองไปรอบๆ แล้วจึงกระโดดไปที่ไหล่ของโจวเจ๋อ ชี้ไปที่เจ้าหนูตัวนั้นแล้วคำรามใส่มัน
สายตาของหนูจ้องมองโจวเจ๋อตาไม่กะพริบ มันไม่สามารถกล่อมประสาทเจ้าลิงได้ แต่คนนี้…มันตกใจที่พบว่ามันสะกดเขาไม่ได้เช่นกัน
โจวเจ๋อเอียงหน้าผากเล็กน้อย สะบัดมือขวาแล้วเล็บจึงงอกยาวออกมา สำหรับเถ้าแก่โจว สิ่งที่ตัวเองต้องเจอบ่อยๆ หลังจากเกิดใหม่ก็คือเจอภาพลวงตาติดต่อกัน
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร หลังจากคุณเจอมาเยอะแล้ว จะรู้สึกเฉยกับมัน นับประสาอะไรกับภาพลลวงตาฝีมือกระจอกของเจ้าหนูตัวนี้ เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมาก่อนหน้านั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
โจวเจ๋อเป็นฝ่ายเดินเข้าไป ร่างของเจ้าหนูเริ่มสั่น เธอกลัวแล้ว เธอกำลังหวาดกลัว
‘ฟุบ!’ แต่วินาทีต่อมา เธอกระโดดพรวดไปข้างหน้า พยายามจะหาช่องมุดลงไป
‘เจี๊ยกๆๆ!’ แต่เจ้าลิงเร็วกว่า กระโดดออกจากไหล่ของโจวเจ๋อแล้วคว้าหางของเจ้าหนูในชั่วพริบตา นอกจากนี้ยังทุ่มมันลงพื้นอย่างแรง!
‘ปัง!’ อย่ามองว่าเจ้าลิงอยู่ในร้านหนังสือทั้งวันเอาแต่กินดื่มขายความน่ารักเวลาไลฟ์สดกับนักพรตเฒ่าเท่านั้น แต่มันเป็นปีศาจลิงกลับชาติมาเกิด ศักยภาพแฝงในตัวมีไม่จำกัด ดังนั้นจัดการเจ้าหนูที่โดนผีสิงตัวหนึ่งจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของมัน
เจ้าหนูที่โดนทุ่มลงพื้นกำลังจะลุกขึ้น เล็บทั้งห้ากลับทิ่มเข้ามา โดยไม่ทิ่มมันโดยตรง แต่หนีบมันไว้อย่างแน่น จับได้แล้ว!
…
ระหว่างทางกลับนักพรตเฒ่ายังขับรถเหมือนเดิม เขามองเจ้าหนูที่โดนจับใส่ขวดแก้ววางอยู่ตรงหน้าสาวน้อยโลลิเป็นพักๆ ด้วยความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
เมื่อครู่เขาโดนสะกดจิตโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเถ้าแก่อยู่ด้วย เขาอาจจะโดนเจ้าหนูจัดการไปแล้ว
สาวน้อยโลลิกลับจับขวดแก้วกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข กลิ้งเจ้าหนูที่อยู่ข้างในกลับหัวกลับหางพลิกไปมาไม่หยุดดูเหมือนเธอจะสนุกอย่างยิ่งที่ได้ออกล่าสิ่งแปลกใหม่
เจ้าลิงยังนั่งอยู่บนไหล่ของโจวเจ๋อ ร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ’ ไม่หยุด เหมือนกำลังโม้ว่าตัวเองเมื่อก่อนเก่งแค่ไหน แต่ไม่มีใครสนใจมัน
“จับได้แล้วหนึ่งตัว งั้นกลับไปที่ร้านหนังสือส่งมันลงนรกไปก่อน แล้วค่อยไปจับอีกหนึ่งตัว” โจวเจ๋อกล่าว
เพื่อความปลอดภัย ต้องจัดการทีละคน ยังดีกว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำไม่ได้อะไรเลย
สาวน้อยโลลิพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ จากนั้นเธอจึงหยิบสมุดยมทูตออกมาดู แล้วจึงเบิกตาโพลง แสดงความตกใจออกมาทางสีหน้า
“เป็นอะไร” โจวเจ๋อถาม
“ผีร้ายผู้ชายที่อยู่หรูเกาก่อนหน้านั้นย้ายตำแหน่งแล้ว”
“ไปไหนแล้ว”
“เขตฉงชวน…ถนนหนานต้า!” เป็นสถานที่ที่คุ้นหูมาก โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าตัวสั่นทันที แม่งเอ๊ย ร้านหนังสืออยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ!
จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า อย่างเช่นผีร้ายผู้ชายตัวนี้ชาติที่แล้วเป็นคนทงเฉิง หลังจากหนีรอดจากนรกจึงอยากกลับมาเดินเล่นย้อนวันวานที่ถนนหนานต้าใจกลางเมืองทงเฉิง แต่เรื่องราวไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น
“ในร้านหนังสือ เหลือเหล่าสวี่อยู่คนเดียวใช่ไหม” โจวเจ๋อกัดฟันพูด
“ยังมี…ยังมีดอกไม้อีกหนึ่งดอก” นักพรตเฒ่าพูดเสริม
“อิงอิง โทรไปที่ร้านหนังสือ บอกให้เหล่าสวี่ระวังตัว ปิดร้านชั่วคราวแล้วระวังตัวด้วย” โจวเจ๋อพูด
“เจ้าค่ะ” ไป๋อิงอิงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปที่ร้านหนังสือทันที สักพักหนึ่งไป๋อิงอิงจึงตอบด้วยสีหน้าดูไม่ได้ “เถ้าแก่โทรศัพท์บ้านในร้านหนังสือกับโทรศัพท์ของแม่นางสวี่ ตอนนี้ไม่มีคนรับสาย…”
…
สวี่ชิงหล่างมาส์กหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้เขาจะรู้ว่าความถี่ในการมาส์กหน้าแบบนี้แท้จริงแล้วการซึมซาบเข้าผิวนั้นแย่มาก แต่เขาก็ยังชดเชยสิ่งที่ติดค้างตัวเองที่ปรนนิบัติผิวไม่ดีจากใจจริง
ส่วนผลลัพธ์จริงๆ จะกี่มากน้อย บางครั้งสิ่งล้ำค่ายากที่จะซื้อด้วยเงินได้ขอแค่ฉันพอใจก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ วันนี้เขาปิดร้านนานแล้ว อากาศก็ดีเหลือเกิน ผู้คนบนถนนหนานต้ายังคงเดินพลุกพล่าน อืม ไม่เหมาะที่จะเปิดร้าน
อย่างไรเสียในสายตาของเขา เหล่าโจวก็ไม่อยากให้คนป่วยหนักอย่างเขารีบทำงานต้อนรับลูกค้าทันที เสียงเพลงรักดังออกมาจากลำโพงเซอร์ราวด์ เหล่าสวี่นอนอยู่บนเก้าอี้โยกที่นักพรตเฒ่าชอบนอนมาตลอดแล้วโยกไปมาเบาๆ เขาพยายามไม่คิดเรื่องที่ตัวเองไม่สบายใจ อย่างเช่นราคาห้อง อย่างเช่นอาจารย์ของตัวเอง ในเมื่อตื่นมาแล้ว อย่างนั้นก็มองไปข้างหน้าสิ
เขายื่นมือจับไวน์ที่รินไว้นานแล้วค่อยๆ ลิ้มรสชาติของมัน จากนั้นจึงวางลง เพลิดเพลินกับ ‘ภาพลวงตา’ ว่าผิวกำลังถูกบำรุงให้ชุ่มชื้นต่อไป
‘ก๊อกๆๆ!’ มีคนเคาะประตู
สวี่ชิงหล่างนั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เปิดแผ่นมารส์กหน้ามองออกไปข้างนอก พบว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน
ชายหนุ่มสวมหมวกเบสบอลใส่ชุดกีฬา เนื่องจากอากาศข้างนอกร้อนมาก ดังนั้นจึงมีคราบเหงื่อเล็กน้อย แต่ผมหน้าม้าของเขากลับไม่ยุ่งเหยิง ผิวขาวเนียน เห็นได้ชัดว่าดูแลผิวดีมาก
“แม่งเอ๊ย เป็นผู้ชายจะดูสาวขนาดนี้ไปทำไม” สวี่ชิงหล่างบ่นพึมพำ จากนั้นสวี่ชิงหล่างจึงโบกมือให้ชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตูร้าน เพื่อบอกว่าไม่เปิดร้าน แล้วนอนต่อ เสียงเคาะประตูหยุดแล้ว เขาจึงคิดว่าคนน่าจะกลับไปแล้ว
สวี่ชิงหล่างเตรียมตัวมาส์กหน้าใหม่ เขาเพิ่งจะวางแผ่นมาส์กหน้าและหลับตา ทันใดนั้นเขารู้สึกเย็นข้างตัว เมื่อลืมตาขึ้น เขาเห็นชายหนุ่มใส่หมวกเบสบอลยืนอยู่เหนือตัวเอง จากนั้นเชือกเส้นหนึ่งได้รัดคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เอื้อออ…” สวี่ชิงหล่างพยายามต่อต้านสุดชีวิต สองมือจับเชือกไว้แน่น แต่อีกฝ่ายเร็วกว่าและมีกำลังเยอะกว่าเขา ถ้าหากร่างกายของสวี่ชิงหล่างฟื้นตัวกลับมาพอสมควรแล้วน่าจะดิ้นได้อีกสองสามที แต่ปัญหาคือเขาเพิ่งจะฟื้นหลังจากที่นอบสลบไปนาน ร่างกายของเขาจึงค่อนข้างอ่อนแอ
เขาไม่สามารถหายใจได้ สวี่ชิงหล่างเตะขาทั้งสองข้างไม่หยุด แต่อีกฝ่ายมีประสบการณ์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดสองมือคู่นั้นรัดคอของเป้าหมายแน่นต่อไป
“แม่งเอ๊ย…นี่มันเรื่อง…อะไรกันวะเนี่ย…”
‘เป๊าะ!’ เก้าอี้หวายของนักพรตเฒ่าตอนนี้หักแล้ว เพราะคุณภาพที่แย่เกินไป ดังนั้นจึงแตกเมื่อโดนกดลง สวี่ชิงหล่างร่วงลงมาจากเก้าอี้ อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ เชือกว่างเปล่าทันที
สวี่ชิงหล่างรีบพลิกตัวบนพื้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร มีดสั้นเล่มหนึ่งก็หวดเข้ามา
‘ฉึก!’ สวี่ชิงหล่างถอยหลังเมื่อรู้ตัว แต่กลับรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้าของตัวเอง เลือดสดกระเด็นเข้าดวงตาเป็นผลทำให้สิ่งที่สายตามองเห็นแดงฉานไปด้วยเลือด จริงๆ เลย หน้าแหกแล้ว!
เมื่อถึงช่วงเวลาความเป็นความตาย คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงหล่างจะสนใจสิ่งนี้! อีกฝ่ายไม่ได้พูดมากกระโจนเข้ามาอีกครั้ง สวี่ชิงหล่างเอนตัวไปข้างหลัง กะว่าจะหนีออกจากเคาน์เตอร์ แต่อีกฝ่ายรวดเร็วยิ่งกว่า หลังจากกระโจนเข้ามาแล้วจึงกลิ้งลงไปบนพื้นพร้อมกับสวี่ชิงหล่าง
สวี่ชิงหล่างต่อยหมัดตรงไปที่บริเวณขมับของอีกฝ่ายอย่างจัง อีกฝ่ายตัวสั่น แต่วินาทีต่อมามือซ้ายของอีกฝ่ายพลิกกลับมาล็อกแขนของสวี่ชิงหล่างเอาไว้ มือขวาจับมีดสั้นแล้วแทงลงไปอย่างแรง!
‘ฉึก!’ มีดสั้นแทงเข้าไปที่แขนซ้ายของสวี่ชิงหล่างมิดด้าม ตรึงแขนของสวี่ชิงหล่างติดกับพื้น
“อ๊ากๆๆ!!!” สวี่ชิงหล่างร้องเสียงหลง แล้วเลือดสดก็กระเด็นออกมา กระเด็นไปติดกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ริมหน้าต่าง เดิมทีเป็นดอกไม้ตูมสีแดงสดใสตอนนี้กลายเป็นสีแดงเข้มมากขึ้น ทำให้คนรอบข้างต่างอิจฉา…
‘กริ๊งๆๆ…กริ๊งๆๆ…กริ๊งๆๆ…’ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นในเวลานี้อีกครั้ง แต่ไม่มีใครว่างไปรับสาย
…………………………………………………………………………