ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 336 ในเรื่องเล่าและนอกเรื่องเล่า
ตอนที่ 336 ในเรื่องเล่าและนอกเรื่องเล่า
หน้าต่างกรงเหล็ก กระจก เครื่องโทรศัพท์
ไม่ว่าโจวเจ๋อจะกำลังยุ่งอะไรอยู่ ทนายอันก็ต้องเจียดเวลาไปทำเรื่องที่เขาต้องทำอยู่ดี แม้ว่าส่วนแบ่งธุรกิจของเขากับโจวเจ๋อในตอนนี้จะแบ่งอยู่ที่สองต่อแปดส่วน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นที่เขามีต่องานลดลง
พูดตามตรง กำไรของงานนี้ก็คือน้ำใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน ไมตรีจิตของคนเบื้องล่างและคนเบื้องบน เขาให้กำไรโจวเจ๋อไปถึงแปดส่วน ก็เป็นการลงทุนเพื่อมิตรภาพด้วย ส่วนเงินกระดาษที่ตกถึงมือระหว่างทางรวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเหตุนี้ ทนายอันมองว่ามันเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้ก็เท่านั้น
อันที่จริง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเถ้าแก่โจวที่เปิดร้านหนังสือถึงได้รักเงินขนาดนี้
เงินน่ะ มีอะไรให้น่าหลงใหลนักหนา ทั้งเหม็นและสกปรกมากอีกต่างหาก
เมื่อนักโทษนั่งลงและยกหู โทรศัพท์ สีหน้าของเขาดูหม่นหมองเล็กน้อย
จะเห็นได้ว่าระยะนี้เขาอาจจะใช้ชีวิตในคุกอย่างอิ่มเอิบเกินไปสักหน่อย อืม ฝ่ายที่ถูกทำให้อิ่มเอิบเช่นนี้ คล้ายกับหยาดน้ำค้างบนเกสรดอกไม้ในยามเช้าตรู่ เปราะบางและน่าดึงดูด
“ช่วยพาผมออกไปที!” เปิดมาประโยคแรกก็คือร้องขอออกจากคุก
“รออีกหน่อย” ทนายอันปฏิเสธตรงๆ
“คุณลองเข้ามาอยู่ไหมล่ะ คุณคิดว่ามันจะรู้สึกยังไง” นักโทษฉุนเฉียวเล็กน้อย “ผมจะบอกคุณให้นะ ผมใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไอ้เวรพวกนี้มันรังแกผมทุกวันเลย!”
“ในเมื่อคุณทนไม่ไหวแล้วก็ฟาดฟันมันไม่ยั้งในคุกไปเลยสิ”
ทนายอันล้วงกรรไกรตัดเล็บออกมาเล็มตกแต่งเล็บของตัวเอง
“ถ้าเรื่องแค่นี้คุณยังทนไม่ได้ โทษที ผมคงไม่อาจปล่อยคุณให้เป็นอิสระได้ เพราะมันหมายความว่าหลังจากคุณออกไปแล้วจะต้องหาเรื่องให้ผมแน่ๆ”
บทสนทนาตกอยู่ในความเงียบ
พวกที่สามารถออกมาจากในนรกได้น้อยนักจะเป็นคนดี คนประเภทที่อยากให้ได้ดีกันทุกฝ่ายไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครจะมีความคิดก่อการจลาจลหลบหนีออกมาได้อย่างไร
ดังนั้น งานของทนายอันใช้พลังงานส่วนใหญ่หมดไปกับการ ‘ฝึกอินทรีให้เชื่อง’ ลบคมเขี้ยวของคนเหล่านี้ ให้พวกเขาเข้าใจกฎของโลก
“ผมต้องอยู่อีกนานแค่ไหนครับ”
“สองเดือน”
“ทำไมยังเลื่อนออกไปอีกล่ะ”
“เพราะบทสนทนาวันนี้ทำให้ผมผิดหวังนิดหน่อย” ทนายอันยักไหล่
“คุณมันไร้ยางอาย!”
“ขอร้องละ ที่ผมหาได้มันเป็นแค่เงินกระดาษ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ ดันมีผู้ตรวจสอบคนไหนเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ ผมอาจจะสูญเสียชีวิตไปเลยก็ได้ ดังนั้น โปรดหุบปากและใช้ชีวิตในคุกอย่างเชื่อฟังซะ”
“คนนั้นติดต่อผมแล้วนะ” อีกฝ่ายเอ่ยปาก
“คนไหน คนเบื้องล่างเหรอ คุณอยู่ที่นี่แล้วยังสามารถติดต่อกับคนเบื้องล่างได้อีกเหรอ”
ทนายอันขมวดคิ้ว เขาไม่พอใจกับสถานการณ์แบบนี้มาก หากลูกค้าเบื้องล่างเข้ามาแทรกแซงการจัดการของเขา มันจะทำให้แผนการ ‘ฝึกอินทรีให้เชื่อง’ ของเขาเกิดการเบี่ยงเบน
“ไม่ใช่ คนที่ผมเคยบอกคุณเมื่อครั้งก่อนไง คนที่เขียนหนังสือในคุกแล้วได้รับการลดโทษน่ะ”
‘ปัง!’
ทนายอันใช้สองมือทุบกระจกอย่างแรง ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่นักโทษตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
“เฮ้ ระวังหน่อยสิ!” ไม่ไกลนัก ผู้คุมชี้มาทางนี้และเอ่ยเตือน
ทนายอันทำสัญญาณมือขอโทษไปทางนั้นและนั่งลงอีกครั้ง แต่พูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ผมจำได้ว่าผมเคยเตือนคุณแล้วว่าอย่าเข้าใกล้คนคนนั้น”
“ผมไม่ได้เข้าใกล้เขา เป็นเขาที่เริ่มชวนคุยก่อน”
“อะไรนะ เขาเข้าหาคุณก่อนงั้นเหรอ”
“ใช่น่ะสิ เขาชวนคุยก่อน บอกว่าเขาอยากหาทนายสักคน เขารู้ว่าผมมีทนายดีๆ คนหนึ่งน่ะสิ ถึงได้หวังว่าผมจะแนะนำคุณให้เขา”
ทนายอันมีสีหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง คนคนนั้นตามหาเขาเหรอ
“เขาพูดอย่างนี้จริงเหรอ”
“ผมจะโกหกคุณไปทำไม อีกอย่างถ้าตอนนี้คุณไปติดต่อทางเรือนจำ บอกว่าคุณจะเป็นทนายให้เขา พวกคุณก็น่าจะถูกจัดเตรียมให้ได้เจอกันในเร็วๆ นี้ละ เพราะเขาคือผู้นำการปฏิรูปในเรือนจำ เป็นตัวอย่างที่นำมาโฆษณา จุดนี้ผ่อนปรนได้ ทางเรือนจำนั้นจะจัดการให้อย่างแน่นอน อีกอย่างนะ เขาเหลืออีกหนึ่งปีก็จะออกไปได้แล้ว”
“ผมเข้าใจแล้ว”
ทนายอันพยักหน้า วางหูโทรศัพท์กลับไป นักโทษถูกผู้คุมพากลับเรือนจำ ส่วนทนายอันค่อยๆ เก็บกระเป๋าเอกสารตรงหน้าตัวเอง
หลังจากเดินออกไปและสูบบุหรี่ไปแล้วสองสามมวนที่เขตสูบบุหรี่ ทนายอันก็เข้าไปติดต่อกับทางเรือนจำ หลังจากอธิบายวัตถุประสงค์ในการมาของตัวเองแล้ว ทางเรือนจำก็อำนวยความสะดวกให้
แน่นอนว่า ทนายอันก็ได้รับข้อมูลป้อนกลับมาเช่นกัน นั่นก็คืออีกฝ่ายยื่นใบคำร้องขอทนายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ในห้องเยี่ยมนักโทษแห่งนั้นเหมือนเดิม ทนายอันกลับไปนั่งลงตรงนั้นอีกครั้ง เขาใช้นิ้วเคาะบนกระเป๋าเอกสารเบาๆ บอกตามตรงว่าเขาประหม่าเล็กน้อย
ลูกค้ารายนี้แตกต่างจากลูกค้าทั้งหมดที่เขาเคยเจอมาก่อนอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายเข้าหาลูกค้า แต่ครั้งนี้เป็นฝ่ายลูกค้าที่เข้าหาเขาบ้าง
อยากปฏิเสธมาก อยากปฏิเสธมากจริงๆ แต่ก็ยังเอนเอียงไปทางอยากรู้อยากเห็นมากกว่า ทนายอันอยากรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายตามหาเขาไปทำไม!
ประตูถูกเปิดออก เขาเดินเข้ามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ใส่กุญแจมือ และแม้แต่ผู้คุมที่คุมตัวเขามาก็ยังส่งยิ้มให้เขาเลย
ใช่แล้ว ในมุมมองของเรือนจำ นักโทษอย่างนี้เปรียบเสมือนนักเรียนดีเด่นในสายตาของครู ยังบวกกับที่เขาเหลือเวลาอีกไม่ถึงปีก็สามารถออกไปได้แล้ว มั่นใจว่าวางใจได้แล้วจริงๆ
อีกฝ่ายนั่งลงที่อีกฝั่งของกระจกกั้น เขาไม่ได้พูดอะไร ทนายอันยังคงรักษาท่านั่งไขว่ห้างไว้ ไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่กล้ามเนื้อส่วนขาเริ่มเกร็งไปบ้างแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทนายอันใช้มือข้างหนึ่งจับต้นขาของตัวเองและเอามันลงมาวาง จากนั้นหายใจเข้าลึกและหยิบเครื่องโทรศัพท์ เมื่ออีกฝ่ายเห็นทนายอันทำอย่างนี้ ก็หยิบเครื่องโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาวางแนบหูเช่นกัน
‘อึก…’
ทนายอันกลืนน้ำลายลงคอ
“สวัสดี”
“สวัสดี”
หลังจากทักทายง่ายๆ สั้นๆ ในที่สุดทนายอันก็เอ่ยถามอีกครั้ง “คุณ…ตามหาผมเหรอ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“อยากให้ผมช่วย…อะไรคุณ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“นี่…”
แล้วแกจะตามหาฉันทำแมวอะไร
“อยากให้พวกคุณไม่ต้องทำอะไรเลย” อีกฝ่ายปริปากพูด
“ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ เดี๋ยวนะ พวกเรางั้นเหรอ” ทนายอันเน้นหนักที่คำว่า ‘พวก’
“ใช่ พวกคุณ”
“ขอถามหน่อยได้ไหม คำว่า ‘พวก’ ยังใช้แทนใครได้อีก ลูกค้าของผมหรือว่าคนที่อยู่เบื้องล่าง”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“งั้นหมายถึงอะไร”
“ตอนนี้คุณอาศัยอยู่ที่ไหน”
“อาศัยอยู่ที่…” ทนายอันเข้าใจแล้ว
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ในระยะนี้ให้เป็นอย่างนี้แหละ”
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ คุณไม่รู้หรอกว่าร้านหนังสือที่ผมอาศัยอยู่ตอนนี้น่ะ มันไร้ชีวิตชีวามากแค่ไหน เป็นปลาเค็มจอมขี้เกียจกันทั้งบ้านเลย สิ่งที่ต้องทำในทุกวันคือการไม่ทำอะไรเลย”
“เหนื่อยจัง”
“อะไรนะ”
“คุยกับคุณน่ะ”
“คุยกับผมมันเหนื่อยมากเหรอครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“…” ทนายอัน
“ผมไม่ค่อยชอบพูดน่ะ ผมชอบใช้ปากกาเขียนตัวอักษรมากกว่า เขียนเรื่องราวน่ะ”
“อืม อันนี้ผมรู้”
“ช่วงนี้ผมเพิ่งเขียนบทความเสร็จเรื่องหนึ่งพอดี แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเนื้อหา จึงตีพิมพ์ออกไปยากมาก
สภาพแวดล้อมในประเทศ สำหรับงานสร้างสรรค์ด้านวรรณกรรมและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นมีการตรวจสอบเข้มงวดมาก เพราะมันง่ายต่อการส่งเสริมความเชื่องมงาย ก่อนหน้านี้สำนักพิมพ์และวารสารหลายแห่งที่เคยรับต้นฉบับของผมต่างก็เลือกที่จะปฏิเสธต้นฉบับในครั้งนี้”
“แล้วไงต่อ”
“แม้ว่าจะไม่สามารถตีพิมพ์สู่ภายนอกได้ แต่เรือนจำก็ยังตีพิมพ์ลงในวารสารภายในของเรือนจำให้ผมได้ ตอนที่คุณออกไป สามารถลองไปขอจากห้องประชาสัมพันธ์มาดูสักฉบับได้ เป็นเรื่องสั้นที่ค่อนข้างน่าสนใจเรื่องหนึ่งเลย”
“ครับ”
จากนั้นก็เงียบอีกครั้ง
“ยังมีธุระอีกไหม” ทนายอันถาม
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“งั้นผมไปได้แล้วใช่ไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้า
ทนายอันอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนออกไป กลับยิ้มๆ พร้อมเอ่ยขึ้นคล้ายพูดล้อเล่น
“ว่ากันว่า ในปีนั้นลูกและภรรยาของคุณต่างถูกคุณ…”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นทันควัน ดูฉงนเล็กน้อย ทั้งยังดูว่างเปล่า คำพูดของทนายอันสะดุดลงทันที
เงียบและก็เงียบอีกครั้ง
อีกฝ่ายอ้าปาก จากนั้น ถอนหายใจและพูดขึ้น “มันเป็นความผิดของผม”
“เอ่อ…ผมเองก็ไม่ควรถาม”
“ดังนั้น ความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง” อีกฝ่ายยิ้มและพูดต่อ “วันไหนออกจากบ้านแล้วถูกรถชนตาย อย่าเรียกร้องความเป็นธรรมล่ะ”
“ผมจะระวัง” เมื่อพูดจบ ทนายอันลุกขึ้นยืน
“คุณไม่เอาค่าตอบแทนเหรอ” อีกฝ่ายถาม
ทนายอันกลับมานั่งลงอีกครั้ง
“น่าเสียดาย หากคุณต้องการละก็ ผมก็ไม่มีอะไรจะให้คุณเหมือนกัน” อีกฝ่ายดูเสียใจเล็กน้อย
ทนายอันรีบลุกขึ้นทันที เดินออกมาพร้อมกระเป๋าเอกสาร เขาโกรธแล้วนะ อย่ามาล้อเล่นกับคนอื่นแบบนี้!
เมื่อเดินออกไปจนสุดทาง ทนายอันตั้งใจจะขับรถกลับเร็วหน่อย ก่อนกลับร้านหนังสือจะได้แวะกินข้าวก่อน สั่งเมนูขึ้นชื่อ ‘สองหงส์ประคองมุก’ มากระแทกปากสักหน่อย
ตอนที่เดินผ่านป้อมยามข้างหน้า เหมือนว่าทนายอันจะนึกอะไรออกจึงเดินเข้าไปเคาะหน้าต่าง
“มีอะไร” ผู้คุมที่อยู่ข้างในเปิดหน้าต่างถาม
“สหาย มีวารสารอยู่ที่คุณบ้างไหม วารสารภายในของเรือนจำน่ะ”
“คุณจะเอามันไปทำอะไร” อีกฝ่ายสงสัยเล็กน้อย
วารสารและนิตยสารส่วนใหญ่ของหน่วยงานตัวเอง พวกเขามักจะขี้เกียจอ่านกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรังเกียจที่เอาไปเช็ดตูดแล้วกระด้างเกินไปละก็ คาดว่าคงจะถูกทำลายทิ้งรวมกันอยู่ในห้องน้ำไปแล้ว
“อ้อ บทความลูกความของผมได้รับการตีพิมพ์ที่นี่น่ะ เขาขอร้องให้ผมนำกลับไปให้แม่ของเขาอ่านฉบับหนึ่ง เรียงความที่เขียนมาทั้งชีวิตนี้ในที่สุดก็ได้รับรางวัลแล้ว”
ผู้คุมรื้อหาบนโต๊ะและหยิบวารสารเล่มบางออกมาแล้วส่งให้
วารสารบางมาก แน่นอนว่า นิตยสารส่วนใหญ่ในตอนนี้ถ้าเอาหน้าโฆษณาที่อยู่ในนั้นออกก็ไม่หนาสักเท่าไรหรอก และก็คงไม่มีนักธุรกิจปัญญานิ่มคนไหนโผล่มาสนับสนุนวารสารภายในของเรือนจำหรอก
“ขอบคุณครับ” ทนายอันกล่าวขอบคุณ ก่อนจะถือวารสารเดินไปจนถึงลานจอดรถ
เขาสตาร์ทรถ เปิดแอร์แล้ว แต่ภายในรถก็ยังโดนแดดอบจนร้อนอบอ้าวอยู่ดี ทนายอันได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ รอให้เครื่องปรับอากาศทำงานเพื่อให้อุณหภูมิภายในลดลง จากนั้นจุดบุหรี่และสูบมัน ถือโอกาสหยิบวารสารเล่มนั้นติดมือขึ้นมาด้วย พิมพ์หน้าปกได้หยาบมาก แต่ชื่อของวารสารดุดันมาก
“‘คุกเดือด’”
“จุ๊ๆ” ทนายอันเดาะปาก พลิกดูอย่างตั้งใจ บทความของผู้ชายคนนั้นอยู่ด้านหลังสุด ชื่อเรื่องคือ ‘ไร้ชื่อ’
ทนายอันจำได้ว่าครึ่งค่อนชีวิตก่อนเคยอ่านนวนิยายดีๆ มากมาย ผู้แต่งมีชื่อว่า ‘นิรนาม’
เรื่องราวไม่ยาวมากนัก ดูเหมือนว่าจะเขียนเฉพาะส่วนแรกเท่านั้น นี่เป็นลักษณะของการวางแผนจะทำภาคต่อ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับตำรวจน้ำดีที่เสียสละชีวิตเพื่อช่วยตัวประกัน หลังจากเสียชีวิตไปด้วยเหตุผลพิเศษทำให้ดวงวิญญาณของเขาฟื้นคืนชีพกลับมาและต่อสู้กับอาชญากรต่อไป…
“เป็นลูกไม้ที่ล้าสมัยจริงๆ เคยดูหนังยุโรปอเมริกาที่คล้ายกันมาหลายเรื่องแล้ว”
ทนายอันอ่านเรื่องราวจบแล้ว รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้อย่างช้าๆ และชะงักไป
…………………………………………………..