ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 364 ร่วมมือ!
ตอนที่ 364 ร่วมมือ!
“หลิวเฮ่าหนานเขาไม่ใช่คนทงเฉิง เขามาจาก….ผมคิดมาตลอดว่า ถ้าหากวันนั้นผมชวนเขาไปกินข้าวมื้อดึกแล้วลากเขาไปเล่นเกมที่ร้านอินเทอร์เน็ตได้ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องถูกฆ่าในหอพักก็ได้ครับ” ภายในร้านน้ำชา โจวเฟิงพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตา
สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิวเฮ่าหนานจะดีมากจริงๆ เขาจึงรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของหลิวเฮ่าหนานก่อนหน้านั้นที่พบว่าโจวเจ๋อเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุโดยพลการ เขาจึงจับโจวเจ๋อไว้ และน่าจะเป็นเพราะความปรารถนาที่อยากจะช่วยแก้แค้นให้เพื่อนรักด้วย
“คุณสวี ผมพูดหมดแล้วครับ ไม่ทราบว่าเรื่องพวกนี้พอจะช่วยวิเคราะห์รูปคดีกับหาตัวคนร้ายได้ไหมครับ” โจวเฟิงมองโจวเจ๋อด้วยความคาดหวังที่เปี่ยมล้น เมื่อครู่เขาพูดรายละเอียดทั้งหมดที่ตัวเองพอรู้ออกมาแล้ว
เขารู้ว่าตัวเองกับนักสืบมืออาชีพมีความแตกต่างกัน และคุณสวีที่อยู่ตรงหน้ายังเป็นที่ปรึกษาที่หัวหน้าตำรวจอาชญากรรมจางเยี่ยนเฟิงเชิญมา เขาจะต้องเป็นนักสืบมือฉมังแน่นอน
โจวเจ๋อจิบน้ำชาหนึ่งที แล้วมองพระอาทิตย์ตกดินด้านนอก พลางคิดว่าเล่านานจนใกล้ค่ำแล้ว
“มีประโยชน์ไหมครับ คุณสวี” โจวเฟิงถามต่อ
“เอ่อ…” โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงสังเกตว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ายังคงมองตัวเองด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง
“โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร”
“…” โจวเฟิง
“โอเค พวกคุณต้องทบทวนหนังสือเรียนเองตอนกลางคืน งั้นกลับไปเรียนเถอะครับ” โจวเจ๋อลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป พูดจริงๆ นะ รายละเอียดชีวิตประจำวันของคนอ้วนที่ชอบอยู่ในห้องแบบนี้ไม่มีอะไรน่าดึงดูดจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอิงอิงไม่อยู่ข้างกาย โจวเจ๋ออาจจะนอนหลับเพราะการเล่าบรรยายของเด็กหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
ในสายตาของโจวเจ๋อ เขาอดทนฟังเด็กหนุ่มเล่าอย่างตั้งใจ ถือว่าเป็นการแสดงความรักต่อดอกไม้ของมาตุภูมิมากแล้ว
“เอ่อ…” โจวเฟิงคิดไม่ถึงว่าตัวเองพูดยาวตลอดช่วงบ่ายจะได้รับคำวิจารณ์แบบนี้
“อ้อใช่ คุณพกเงินมาหรือเปล่า คิดเงินเถอะ” โจวเจ๋อถาม
“อ้อ ได้ครับ คุณสวี” โจวเฟิงรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จากนั้นจึงออกจากร้านน้ำชาอย่างหงอยเหงาเศร้าสร้อย
โจวเจ๋อยื่นมือบิดขี้เกียจแล้วหาวอย่างแรงอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาสาวน้อยโลลิ “ฮัลโหล คุณอยู่ที่ไหน”
“ข้าอยู่ที่ร้านหนังสือ”
“ไม่รอผมแล้วก็กลับไปคนเดียวแบบนี้เหรอ”
“เจ้าก็ไม่ดูว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะไปเดินมั่วที่ไหนอีก”
โจวเจ๋อกำลังจะวางสาย แต่ในเวลานี้สมุดยมทูตของตัวเองกลับสั่นขึ้นมากะทันหัน เขาหยิบสมุดยมทูตออกมากวาดตามองหนึ่งที พบว่ามีแสงสีน้ำเงินกะพริบอยู่บนสมุดยมทูต เขาเปิดดูหน้าใหม่ล่าสุด พบว่ามีชื่อและรูปภาพของคนคนหนึ่ง
ผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่ในรูปภาพมีหน้าตาซูบผอม ตาโหลเหม่อลอยทั้งสองข้าง เขามีชื่อว่า ‘กู่เหอ’ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตำแหน่งหน้าที่อยู่ด้านล่างสุด ถูกระบุอย่างชัดเจนว่า ‘ผู้จับกุม’ เอ่อ ผู้จับกุมผี หรือว่าตัวเองจะได้เลื่อนขั้นแล้วใช่ไหม
“เจ้าได้รับการเรียกหรือยัง” สาวน้อยโลลิที่อยู่ปลายสายอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ก็มองสมุดยมทูตของตัวเองเหมือนกัน
“นี่มันอะไรกัน” โจวเจ๋อถาม
“มีผู้จับกุมส่งสัญญาณเรียก ขอความช่วยเหลือจากยมทูตที่อยู่แถวนี้ ข้าคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้”
“เหมือนตอนที่พวกคุณไปหรงเฉิงครั้งที่แล้วเหรอ”
“ประมาณนั้น”
การส่งสัญญาณเรียกแบบนี้ เหมือนกับการยิงธนูหนึ่งดอกคนมารวมตัวนับพัน แน่นอนว่าขณะเดียวกันก็ต้องดูความนิยมของผู้จับกุมคนนี้ด้วยว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นผู้จับกุมที่ทำงานเก่งมีคุณธรรม อาจจะมีคนมาเยอะหน่อย อย่างไรก็ตามระหว่างยมทูตด้วยกันแท้จริงแล้วก็มีการพูดถึง ‘น้ำใจ’ เช่นกัน
แน่นอนว่าถ้าหากเป็นผู้จับกุมที่มีความสามารถโดดเด่นและแข็งแกร่ง ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคุณธรรม แต่ก็ยังสามารถเรียกยมทูตมาได้ไม่น้อย เพราะทุกคนรู้ว่าอยู่กับเขาอย่างไรก็มีเนื้อให้กิน
ส่วนผู้จับกุมที่โง่เซ่อซ่า นอกจากลูกน้องของพวกเขาแล้ว โดยทั่วไปจะไม่มีใครสนใจเขา
“สงสัยเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาแล้ว” สาวน้อยโลลิพูดสาย
“ไปหนึ่งคนก็พอแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อถาม
“ไปไม่ไปเป็นแค่พิธีเท่านั้น ไปสักคนหนึ่งก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว”
“อย่างนั้นคุณไป ผมอยากกลับไปพักผ่อน”
“โอเค อีกสักพักค่อยออกไป ด้านหลังสมุดยมทูตมีสองจุด จุดหนึ่งสีแดง อีกจุดหนึ่งสีฟ้า สีฟ้าหมายถึงตำแหน่งของพวกเรา สีแดงหมายถึงตำแหน่งของคนที่เรียก เหมือนกับเรดาร์ไปตามนั้นก็เจอแล้ว”
โจวเจ๋อพลิกดูสมุดยมทูตของตัวเองแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “ทำไมด้านหลังของผมมีแค่สีฟ้าเท่านั้น”
อีกฟากของโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง สาวน้อยโลลิกระแอมสองที แล้วพูดว่า “นี่หมายความว่า จุดสีฟ้าครอบคลุมจุดสีแดงแล้ว ซึ่งก็คือผู้จับกุมที่เรียกยมทูตแถวนี้อยู่ที่เดียวกันกับเถ้าแก่แล้ว”
“…” โจวเจ๋อ
“เถ้าแก่ ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าก็ไม่ต้องไปแล้วนะ บ๊ายบาย” เธอวางสายด้วยความดีใจอย่างไม่ลังเล เหมือนกลัวว่าโจวเจ๋อจะพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา
อันที่จริงไม่ใช่เพราะสาวน้อยโลลิขี้เกียจ เมื่อก่อนเธอกระตือรือร้นอยากร่วมทำภารกิจเหมือนยมทูตคนอื่นๆ และภารกิจที่มักจะปลอดภัยแบบนี้ ทุกคนสามารถแบ่งผลงานได้ไม่น้อย ซึ่งดีกว่านั่งรอเนื้อยุงน้อยๆ อยู่ที่บ้านเป็นไหนๆ
แต่หลังจากค่ำคืนนั้นที่หรงเฉิง สาวน้อยโลลิได้เห็นการฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมของเหล่ายมทูตต่อหน้าต่อตาตัวเอง ภาพการตายของแต่ละคน เป็นผลทำให้เธอรู้สึกฝังใจและใจสั่นเล็กน้อย
โจวเจ๋ออยากจะหาเหตุผลให้ไม่ต้องไปสักหนึ่งข้อ เพราะว่าเขาขี้เกียจ ขี้เกียจปฏิสัมพันธ์กับยมทูตที่อื่น ขี้เกียจทำความรู้จักสิ่งที่เรียกว่าผู้จับกุม คนเราเมื่ออยู่ติดบ้านนานแล้ว ได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือของตัวเองมานาน ได้เป็นพระราชาอยู่ในอาณาจักรเยี่ยหลางอย่างสุขสบาย จึงมีความรู้สึกอยากปฏิเสธการเข้าสังคม
แต่เขาหาเหตุผลไม่ได้เลย และผู้จับกุมที่ส่งสัญญาณเรียกออกมา ก็อยู่ในร้านน้ำชาที่ตัวเขาอยู่ตอนนี้ คุณอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าบอกให้สาวน้อยโลลิมาเปลี่ยนเวรแล้วตัวเองก็กลับร้านเหรอ
เขาถือสมุดยมทูตอยู่ในมือ หลับตาเพื่อสัมผัสการรับรู้ครู่หนึ่ง โจวเจ๋อเดินไปทางห้องอาหารส่วนตัวทีละก้าว ก่อนจะหยุดเดินที่หน้าประตูห้องอาหารส่วนตัวห้องหนึ่ง แล้วจึงยื่นมือผลักประตูออก
มีผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนนั่งอยู่ในห้องอาหารส่วนตัว ผู้ชายที่ค่อนข้างผอมชื่อกู่เหอใส่เสื้อคลุมสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ
ผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังเป็นหนุ่มสาวอยู่เลย คนหนึ่งใส่กระโปรงสีฟ้าดูแล้วเหมือนนักศึกษาหญิง เธอกำลังนั่งปอกส้มอยู่ตรงนั้น ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังเล่นเกมมือถืออย่างเมามัน
ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้ามา ผู้ชายและผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ มองไปทางโจวเจ๋อด้วยสายตาที่สงสัย กู่เหอก็ลืมตามองโจวเจ๋อเหมือนกัน แล้วจึงยิ้มพูดว่า “มีความสามารถเก็บลมหายใจได้เยี่ยมมาก”
ใช่แล้ว ยมทูตผู้ชายและผู้หญิงสองคนนี้ตอนแรกสังเกตไม่ออกว่าโจวเจ๋อก็เป็นยมทูตเหมือนกัน สาเหตุเพราะปากกาด้ามนั้นที่อยู่ในร่างกายของโจวเจ๋อ ถึงแม้ตอนนี้ปากกาด้ามนั้นหลักๆ แล้วใช้กักขังจิตสำนึกนั่นอยู่ก็ตาม แต่ขณะเดียวกันยังสามารถเก็บลมหายใจของโจวเจ๋อได้อย่างดีเยี่ยม
สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ แล้วก็คือ หลังจากที่เห็นวิธีปิดกั้นลมหายใจของทนายอันครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อจึงสั่งให้ทนายอันทำไพ่ให้ตัวเองหนึ่งใบ เพื่อสกัดกั้นการไหลออกของลมหายใจตัวเอง เพราะว่าเมื่อก่อนน่าอายมากจริงๆ คนอื่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าตัวเองเป็นผีหรือเป็นยมทูต แต่ตัวเองเวลาที่กินข้าวกับผีหรือเดินสวนกัน กลับมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนหรือว่าผีกันแน่ ดังนั้นยมทูตคนนี้จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
สายตาของโจวเจ๋อกวาดมองใบหน้าของทั้งสามคน จากนั้นหาที่นั่งว่างข้างๆ แล้วนั่งลง เขาไม่แนะนำตัวเองและไม่ทักทายใคร ได้แต่นั่งไขว่ห้างอยู่อย่างนี้
ยมทูตสองคนที่อยู่ถัดไปพิจารณามองโจวเจ๋ออย่างสงสัย แม้แต่กู่เหอที่เป็นผู้จับกุมก็ยังมองโจวเจ๋อสองสามครั้งเขากระแอมสองทีแล้วเอ่ยว่า ”ขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่อกู่เหอ เป็นผู้จับกุมจากหางโจว”
“เยวี่ยหยา ยมทูตจากซูโจว”
“หลี่เซิน ยมทูตจากอู๋ซี”
โจวเจ๋อพยักหน้า เพื่อบอกว่าตัวเองรู้แล้ว ทั้งสามคนที่อยู่ในนี้ต่างตกตะลึง คุณพยักหน้าทำไม แม่งเอ๊ยสรุปใครเป็นหัวหน้าใครกันแน่ พวกเราแนะนำตัวแล้ว แล้วคุณล่ะ
โจวเจ๋อหลังจากเริ่มรู้ตัวแล้ว จึงเอ่ยว่า “โจวเจ๋อ ยมทูตทงเฉิง”
กู่เหอพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ยังมีอีกหนึ่งคน น่าจะมาถึงแล้ว”
เพิ่งจะสิ้นเสียง ประตูห้องอาหารส่วนตัวถูกผลักออกอีกครั้ง มีคนสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเดินเข้ามา เขาใส่ชุดบาสเกตบอล สวมรองเท้าบาสเกตบอล พร้อมกับถือลูกบาสเกตบอลอยู่ในมือ
“โอ๊ะ มาหลายคนจัง ผมชื่อเจิ้งเฉียง ยมทูตจากไหวอันครับ”
“ประมาณนี้ก็พอแล้ว”
กู่เหอลุกขึ้น กวาดสายตามองยมทูตทั้งสี่คน แล้วพูดเสียงขรึมว่า “ถ้าหากต่อจากนี้ยังมียมทูตคนอื่นยินดีมาตามคำเรียกร้องก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้ผมขออธิบายถึงสาเหตุที่เรียกทุกคนมาครั้งนี้ คิดว่านอกจากยมทูตโจวจากทงเฉิงแล้ว คนอื่นก็คงไล่ตามผีตนนั้นมาที่ทงเฉิงเช่นกัน”
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ยมทูตทั้งสามคนจากอู๋ซี ซูโจว และไหวอันจะต้องมาถึงทงเฉิงก่อนหน้านั้นแล้วแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่มารวมตัวกันทันทีหลังจากการเรียกของกู่เหอ บินยังไม่รวดเร็วขนาดนี้เลย
“ผีตัวนั้นจัดการยากนิดหน่อย เพราะมันปล่อยความปรารถนาบางอย่าง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความแค้นเข้าไปในร่างกายของคน มันผลุบๆ โผล่ๆ ไปหลายสถานที่แล้ว ครั้งนี้มันมาปรากฏตัวที่ทงเฉิง พวกเราต้องจับมันให้ได้ ส่วนผลงานอะไรนั้นก็แบ่งตามสัดส่วน สมุดยมทูตของของยมทูตจะจดบันทึกเอง ทุกคนไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
ผู้ร้ายก่อคดีไปทั่ว ทำให้หน่วยงานหลายฝ่ายต้องร่วมมือกัน การกระทำของยมทูตแห่งนรกมีความคล้ายคลึงกับตำรวจในโลกมนุษย์จริงๆ
“มีผีแค่ตัวเดียวใช่ไหมครับ” โจวเจ๋อถาม
“อย่างน้อยหนึ่งตัว ส่วนรายละเอียดอย่างอื่น ต้องจับมันได้ก่อนแล้วถึงจะยืนยันได้”
“ตำแหน่งของมันในเวลานี้ ถูกกำหนดหรือยัง” เจิ้งเฉียงที่ถือลูกบาสเกตบอลถาม
“อืม ยังอยู่ในมหาวิทยาลัยทงเฉิง เมื่อคืนวานผมกับผู้จับกุมกู่เหอได้สร้างเขตอาคมไว้ที่ประตูหน้าสองทางกับประตูด้านข้างอีกสามทางของมหาวิทยาลัยทงเฉิง ไอ้นั่นยังอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้แน่นอน”
“ถูกขังอยู่ในมหาวิทยาลัยเหรอ”
โจวเจ๋อขมวดคิ้ว แบบนี้ไม่เท่ากับบังคับให้มันก่อความวุ่นวายในมหาวิทยาลัยอีกเหรอ
“อืม ต้องรอให้มันลงมืออีกครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเราจะรับรู้ถึงมันไม่ได้ โอเค ทุกคน คืนนี้พวกเราก็คอยดักซุ่มอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยกัน รอให้มันล่าเหยื่อรายต่อไปแล้วค่อยจับมัน”
โจวเจ๋ออยากถามเหลือเกินว่า ขังผีร้ายที่ฆ่าคนเอาไว้ในมหาวิทยาลัย ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายมากเกินไปหรือเปล่า แต่เยวี่ยหยาที่อยู่ข้างๆ พลันยื่นมือจิ้มแขนโจวเจ๋อ แล้วพูดเตือนเบาๆ ว่า
“ได้ยินว่าผู้จับกุมกู่เหอสอบตกเอ็นทรานซ์ในชาติที่แล้ว”
…………………………………………………………..