ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 365 ปล่อยศัตรูไปก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง!
ตอนที่ 365 ปล่อยศัตรูไปก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง!
เมื่อพูดถึงจรรยาบรรณของยมทูตกับตำรวจของจริงมีความแตกต่างกันอย่างไร อันที่จริงดูจากแผนการรับมือก็สามารถวิเคราะห์แยกแยะได้แล้ว
ทางตำรวจเป็นไปไม่ได้ที่จะบีบบังคับให้คนร้ายกระทำความผิดในเขตมหาวิทยาลัยที่มีคนอยู่หนาแน่นแบบนี้จากนั้นก็รอให้คนร้ายลงมืออีกแล้วค่อยจับกุม
ถึงแม้จะพูดว่าหลายปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัยจะรับสมัครนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทว่าคำว่า ‘นักศึกษา’ นี้มีความหมายในทางที่แย่ลงแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไร หากพาดหัวข้อด้วยคำว่า ‘นักศึกษา’ ก็ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในชั่วพริบตา
แต่ยมทูตไม่มีความคิดเช่นนี้ พวกเขาแทบจะไม่สนใจว่ามีใครต้องเสียชีวิตเพราะเหตุนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือพยายามควบคุมเหตุการณ์ประหลาดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้สิ่งนั้นจะฆ่าคนในมหาวิทยาลัยอีกก็ตาม ขอเพียงแค่จับมันได้ ไม่ปล่อยให้มันทำความชั่วต่อไปอีก ก็ถือว่าปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว
คุณยากที่จะพูดกับพนักงานในโรงฆ่าสัตว์ว่าหมูพวกนี้น่ารักน่าชังมากแค่ไหน นี่เป็นหลักการเดียวกัน คุณก็ยากที่จะบอกให้ยมทูตที่รับส่งวิญญาณทุกวันเข้าใจคำว่า ‘ชีวิตคนสำคัญกว่า’ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือว่าขอทาน ในสายตาของยมทูตส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างกัน หลังจากคนตายแล้วล้วนเป็นผลงานทั้งสิ้น
ยามราตรีมาเยือน แต่ในมหาวิทยาลัยยังมีคนเดินพลุกพล่านเหมือนเดิม สำหรับนักศึกษาแล้ว ชีวิตยามค่ำคืนเพิ่งจะเริ่มต้น บนสนามบาสเกตบอลแสงไฟสว่าง เจิ้งเฉียงกำลังเล่นบาสเกตบอลกับนักศึกษาสองสามคน เขาชอบเล่นบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
โจวเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวข้างสนามบาสเกตบอล พร้อมกับเยวี่ยหยาที่นั่งอยู่ถัดไป กู่เหอกับคนที่ชื่อหลี่เซินคนนั้นอยู่ที่โรงยิมทางด้านโน้น ไม่ได้อยู่ละแวกนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ จริงๆ แล้วก็คือไม่ต้องทำอะไร รอให้ไอ้นั่นควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วลงมือล่าเหยื่ออีกที ตอนนั้นพวกเขาถึงจะรู้ตำแหน่งที่ถูกต้อง
“คุณดื่มไหม” เยวี่ยหยายื่นชานมที่ตัวเองเพิ่งดื่มเมื่อครู่ให้โจวเจ๋อ เป็นชานมรสเผือกใส่น้ำแข็ง
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“รังเกียจหลอดที่ฉันใช้เหรอ” เยวี่ยหยายิ้มเล็กน้อยเอาผมทัดหูตัวเองแล้วถาม โดยทั่วไปผู้หญิงพูดขนาดนี้แล้ว ผู้ชายจะเกรงใจไม่อยากขัดแล้วหยิบไปดื่มหนึ่งที แต่โจวเจ๋อกลับพยักหน้า
“…” เยวี่ยหยา เธอคิดว่าคงพูดคุยกันอีกไม่ได้แล้ว
สายตาของโจวเจ๋อมองสำรวจไปรอบๆ ถึงแม้เขารู้ว่าการทำแบบนี้ไร้ประโยชน์ เพราะมหาวิทยาลัยใหญ่ขนาดนี้ และสิ่งที่ตัวเองมองเห็นในตอนนี้ก็แค่ผิวเผินเท่านั้น แต่ถ้าหากรู้ร่องรอยของไอ้นั่นได้เร็ว ก็จะจับมันได้เร็วขึ้น และอาจจะปกป้องอีกชีวิตหนึ่งได้ทันท่วงที
เถ้าแก่โจวไม่ใช่คนที่โมโหเพราะความไม่ยุติธรรมของสังคมที่ย่ำแย่ แต่ตัวเขาพยายามจะทำเรื่องดีเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แค่ได้ทำก็ไม่เป็นไร
เจิ้งเฉียงชูตบาสได้สามแต้ม สิ้นสุดการแข่งขันเล็กๆ แต่เพียงเท่านี้ นักศึกษาสองสามคนเชิญเขาไปกินปิ้งย่างด้วยกัน แต่ถูกเขาปฏิเสธ
เขาเดินมาทางนี้หยิบชานมของเยวี่ยหยาขึ้นมา แกะฝาแก้วแล้วเทใส่ปากโดยตรง
“ฮ้า สบาย!” เจิ้งเฉียงมองเยวี่ยหยาแล้วมองโจวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ จากนั้นจึงยิ้มพูดว่า “ตอนที่ทำภารกิจชอบทารุณคนอื่นด้วยเหรอ”
เยวี่ยหยาเหลือบตามองเจิ้งเฉียงหนึ่งที “คุณไม่ต้องยุ่ง”
“อยากจะจีบก็ต้องจีบคนอย่างผมสิ หนุ่มหน้าขาวแบบนั้นจะดูดีกว่าผมได้ยังไง”
“ไสหัวไป”
“ฮ่าๆๆ”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ ชาติที่แล้วคุณเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต”
“อย่างนั้นคุณก็อย่าคิดว่าผมไม่รู้ ชาติที่แล้วคุณเป็นผู้หญิงอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ชาตินี้ยังจะแสร้งทำเป็นสาววัยรุ่น ถ้าคุณอยากเล่นสู้มาเล่นกับผมจะดีกว่า ไม่ว่ายังไงร่างกายของพวกเราก็เข้ากันพอดี อย่าไปคิดเรื่องอื่นเลย ตั้งใจระบายอารมณ์ออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว”
โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ มีภาพหนึ่งในนิตยสารที่เขาเคยอ่านลอยขึ้นมาในหัว เป็นภาพของผู้ชายกับผู้หญิงกำลังจูบกัน ผู้ชายกำลังคิดว่า ‘เป็นผู้หญิงที่ผ่านการศัลยกรรม’ ผู้หญิงกำลังคิดว่า ‘จีบหนุ่มมีเงิน’ เป็นภาพที่เข้ากันกับสองคนที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ
ไม่ว่าอย่างไรยมทูตก็เป็นตัวตนที่ใช้อายุจริงมาวัดกันไม่ได้ อย่างเช่นสาวน้อยโลลิของเขา ยังดีที่เธอเป็นสาวน้อยโลลิ ถ้าหากเธออยู่ในร่างของผู้หญิงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในร้านหนังสือจะมีสภาพเป็นอย่างไร
เวลานี้ความรู้สึกใจสั่นพลันโจมตีเข้ามา และสายตาของเจิ้งเฉียงกับเยวี่ยหยาที่กำลัง ‘จีบกัน’ ก็สั่นไหวทันที โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ดึกมากแท้ๆ เจ้าสิ่งนั้นก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ จะมีคนซวยอีกแล้วใช่ไหม ความปรารถนาถูกกระตุ้นออกมาอีกแล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะแก้ไขจนกระทั่งถึงตาย!
…
“คราวนี้น่าจะจับได้แล้วใช่ไหม” หลี่เซินวิ่งเข้ามาพร้อมกับถามกู่เหอไปด้วย กู่เหอพยักหน้า เลี้ยงปลาจนตัวอวบอ้วนแล้วถึงเวลาจับได้เสียที
“ยมทูตทงเฉิงคนนี้มาดเยอะจริงๆ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยพอใจที่คุณกักตัวไอ้นั่นอยู่ในมหาวิทยาลัย” หลี่เซินใส่ร้ายโจวเจ๋อ บนโลกนี้ไม่เคยขาดคนที่พูดจาทำร้ายคนอื่นโดยไม่สนผลประโยชน์ส่วนตนเลยจริงๆ คนที่พูดจาว่าร้ายคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตน คุณพอจะเข้าใจได้ แต่คนที่พูดจาทำร้ายคนอื่นโดยไม่สนผลประโยชน์ของตนนั้น น่ากลัวยิ่งกว่า
“เขาเป็นยมทูตทงเฉิง เป็นปกติที่ยมทูตบางคนจะมีความรู้สึกเหมือนพ่อแม่ที่คุ้มครองลูกบ้าน” กู่เหอแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งนี้อย่างใจเย็น
ในความเป็นจริง เจ้าสิ่งนั้นปรากฏตัวครั้งแรกที่หางโจว แต่ถูกกู่เหอไล่ออกมา ตอนนั้นกู่เหอมีโอกาสจับมันได้ แต่กลับปล่อยให้มันหนีไป จึงเป็นผลทำให้เจ้าสิ่งนั้นก่อคดีที่ซูโจว อู๋ซี ลามไปจนถึงไหวอันอย่างต่อเนื่อง
กู่เหอในฐานะผู้จับกุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการหรือความสามารถล้วนโดดเด่นกว่ายมทูต ครั้งแรกเขาสามารถพูดได้ว่าตั้งใจปล่อยให้หนีไปก่อน แต่ปล่อยให้มันหนีไปได้สองสามครั้งติดต่อกัน เขารู้สึกพูดไม่ถูกอยู่บ้าง กรณีแบบนี้คล้ายกับการปล่อยศัตรูไปก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง…เหมือนตามเขตชายแดนในสมัยโบราณ
เขาปล่อยให้เจ้าสิ่งนั้นฆ่าคนต่ออีกสองสามคนเพื่อสะสมกรรมชั่ว เมื่อมีกรรมบาปหนา เขาค่อยออกมาจับมันในตอนท้าย แล้วตัวเขาก็จะได้รับผลงานมากขึ้น
แน่นอนว่าทุกอย่างจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ อย่าเล่นกับไฟมากเกินไป จำเป็นต้องอยู่ระหว่างขอบเขตการอนุญาตของนรกและขอบเขตของการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างแท้จริง ถ้าหากเกินขอบเขตก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
ครั้งนี้กู่เหอตั้งใจจะจัดการเจ้าสิ่งนั้นจริงๆ หากปล่อยต่อไปตัวเขาเองก็ยากที่จะหนีความรับผิดชอบ กู้คืนกลับมาไม่ได้แล้ว
“รอให้เสร็จเรื่องนี้แล้ว ต้องถามวิธีการเก็บลมหายใจจากเขาอย่างจริงๆ จังๆ” หลี่เซินพูดพึมพำ ถือเป็นการเตือนตัวเองเช่นกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว รอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จ ผมจะไปถามเขาเหมือนกัน”
การร่วมมือกันระหว่างยมทูต มีหลายครั้งที่เหมือนพวกเสเพลมารวมตัวกัน หรือจะพูดว่า ไม่ ‘เหมือน’ แต่เป็นการรวมตัวของพวกเสเพลของจริง
ทั้งสองคนรีบวิ่งไปที่ด้านล่างอาคารเรียนตึกบี กู่เหอเงยหน้าหลับตาเพื่อสัมผัสการรับรู้แล้วพูดทันทีว่า “ตำแหน่งอยู่ที่ชั้นแปดกับชั้นเก้า”
หลี่เซินทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มบนใบหน้า แต่ไม่ช้าก็ตกใจตื่น ขณะเดียวกันก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “สงสัยความปรารถนาในครั้งนี้ จะเป็นเรื่องเซ็กส์”
…
โจวเจ๋อ เจิ้งเฉียง และเยวี่ยหยาทั้งสามคนวิ่งเข้ามา ถ้าหากช้าอีกนิดก็จะไม่ทันการ สำหรับการแบ่งคะแนน ถ้าหากคุณไม่โผล่หน้ามาตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างนั้นคุณก็จะไม่ได้อะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแบ่งคะแนน
ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ข้างๆ แค่ตะโกนให้คนอื่นว่า ‘เก่งมากๆ’ ก็อาจจะมีรางวัลปลอบใจ
“รู้สึกแปลกเล็กน้อย” เจิ้งเฉียงเอ่ย “ผมคิดว่าต้องสร้างค่ายกลอะไร ทุกคนต่างมีหน้าที่ต้องจับให้ได้ ผลปรากฏว่าได้แต่รออยู่ในมหาวิทยาลัย แล้วค่อยบุกเข้าไปเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจ แบบนี้เป็นกลยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ”
“ขอแค่ใช้ได้ผลก็พอ” เยวี่ยหยาเอ่ย
“ถ้าหากใช้ได้ผล ทำไมก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่หางโจวกับในเมืองของพวกเราสองคนผู้จับกุมที่ชื่อกู่เหอถึงได้พลาดติดต่อกัน” เจิ้งเฉียงย้อนถาม
เมื่อได้ยินดังนั้น เยวี่ยหยาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
“ถ้าหากครั้งนี้เขาเรียกพวกเรามารวมตัวกัน เล่าวิธีการต่อสู้ ช่วยคิดนโยบายรับมือ บางทีผมอาจจะไม่สงสัย แต่ให้พวกเราคอยตามติดแบบนี้ เขามีจุดประสงค์อะไรนั้นเห็นได้ชัดเจนแล้ว เขาอยากให้พวกเราติดตามเขา เขาได้กินเนื้อส่วนพวกเรากินน้ำแกง จะได้อุดปากพวกเราได้ แม่งเอ๊ย กลอุบายของคนระดับผู้จับกุมนั้นอยู่ในขั้นสูงมากกว่าพวกเรา พวกเรายังโง่รอให้ผีมาเยือนถึงที่อยู่เลย แต่เขาได้รับประสบการณ์พอเหมาะพอควรแล้ว”
โจวเจ๋อเข้าใจความหมายของเจิ้งเฉียง อย่างไรก็ตามเขามีทนายอันอยู่ข้างกาย ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนใช้เล่ห์เหลี่ยมโอเวอร์ยิ่งกว่ากู่เหอคนนั้นเสียอีก ในฐานะยมทูตกลับทำธุรกิจปล่อยคนลักลอบเข้าเมือง
แต่วิธีของกู่เหอที่ตั้งใจเอาชีวิตของคนทั่วไปเพื่อเพิ่มผลงานของตัวเองนั้น เถ้าแก่โจวจะไม่ทำ อย่างแรกยุ่งยากเกินไป ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว เหนื่อยมาก อย่างที่สองคือขัดกับจิตสำนึกของตัวเอง
ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงอาคารเรียนตึกบี ดูเหมือนลิฟต์จะมีปัญหา หยุดการใช้งาน
“เดินขึ้นบันได เร็วเข้า!” เจิ้งเฉียงตะโกน “เดี๋ยวจะไม่เหลือน้ำแกงสักหยด”
…
อาคารเรียนตึกบี ภายในห้องเรียนบีเจแปดศูนย์ห้า ชั้นที่แปด เลยเวลาการเรียนทบทวนด้วยตัวเองแล้ว แต่ภายในห้องเรียนยังมีนักศึกษาคนหนึ่งยังไม่กลับ เขานั่งอยู่มุมสุดของแถวสุดท้าย โดยทั่วไปเวลาเรียนในมหาวิทยาลัยคนที่นั่งอยู่ตรงกลางของแถวหน้าสองสามแถวมักจะเป็นคนเรียนเก่ง ส่วนคนที่นั่งแถวหน้าทั้งสองข้างมักจะเป็นคนมาเข้าห้องเรียนสายแล้วรีบหาที่นั่ง ที่นั่งแถวท้ายๆ มักจะเป็นคนที่มานอนต่อ ตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางท่ามกลางผู้คน กลับเป็นพื้นที่รวมของพวกปลาเค็ม
ห้องเรียนทบทวนด้วยตัวเองยังคงเปิดไฟอยู่ เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะวางหนังสือกองเป็นชั้นหนา ปากกา เครื่องคิดเลขและเอกสารต่างๆ วางอยู่เต็มไปหมด ตอนที่เดินผ่านข้างนอกหรือกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าห้องเรียนแล้วมองเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นว่าเขากำลังตั้งใจทบทวนบทเรียนอยู่
แต่ในความเป็นจริงเขาวางโทรศัพท์เครื่องหนึ่งอยู่ท่ามกลางกองหนังสือกับพาวเวอร์แบงค์ห้าเครื่อง ในโทรศัพท์กำลังเล่นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปี เขาใส่หูฟังและฟังเสียงอย่างตั้งใจ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตอนที่เขากำลังดูภาพยนตร์ประเภทนี้ เขาไม่ได้กดให้เล่นเร็วขึ้น แต่ดูสาวสวยเจ้ามือแจกไพ่ออนไลน์ตลอดตั้งแต่ต้น จนกระทั่งภาพยนตร์เล่นจนถึงตอนสุดท้าย!!!
ถึงแม้ว่าใต้เท้าของเขาจะมีแต่กองเลือด แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว หลังจากเล่นจบไปหนึ่งเรื่องแล้ว ก็เล่นเรื่องถัดไปโดยอัตโนมัติ…
…………………………………………………………………………