ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 414 การพลิกผัน!
ตอนที่ 414 การพลิกผัน!
หวังเคอเปิดประตูห้องนอน เมื่อประตูเปิดออก เขาก็เห็นโจวเจ๋อกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ส่วนอิงอิงและหลินเข่อกลับนอนห่มผ้าอยู่บนเสื่อข้างเตียง นอนด้วยกันอย่างเรียบร้อย หวังเคอไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเขา พลางปิดประตูเบาๆ อีกครั้งก่อนหันหลังกลับลงไปอีกครั้ง
หลังจากหวังเคอออกไป หลินเข่อก็รีบลืมตาขึ้น อิงอิงที่อยู่ข้างๆ ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน สองสาวเลิกผ้าห่มออกพร้อมกันถึงได้รู้ว่าตอนนี้เสื้อผ้าบนตัวของพวกเธอมีอยู่น้อยชิ้นจนน่าสังเวช เมื่อเลิกผ้าห่มของโจวเจ๋อขึ้น เสื้อผ้าของพวกเธอซ่อนอยู่ในนั้น จึงรีบหยิบออกมาสวมทันที เถ้าแก่โจวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งนั้น โจวเจ๋อคงจะเหนื่อยจริงๆ
“ทำไมไม่ล็อกประตู” ไป๋อิงอิงพูดด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย
“ล็อกประตูมันจะไม่ยิ่งผิดสังเกตกว่าหรือไง” หลินเข่อโต้กลับ
“นั่นก็ยังดีกว่าแบบนี้แหละน่า”
“เขาคือพ่อของข้าในร่างนี้”
“ความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเจ้าช่างวุ่นวายจริงๆ”
หลังจากสองสาวจัดการตัวเองแล้ว หลินเข่อลุกขึ้นเปิดประตูและเดินลงไป หวังเคอนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นหนึ่ง ทนายอันและเหล่าจางกำลังยืนปรึกษาอะไรบางอย่างที่หน้าประตู เหล่าจางยังคงถือโทรศัพท์ไว้ในมือ น่าจะเป็นที่สถานีตำรวจมีเรื่องแจ้งให้เขาไปอีกแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ” หวังเคอวางนิตยสารในมือลงและมองลูกสาวที่เดินลงมาจากชั้นบน
“อื้อ” หลินเข่อตอบรับ
“ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว เล่นสนุกพอหรือยัง” หวังเคอถาม
หลินเข่อได้ยินดังนั้นจึงชะงักไปครู่หนึ่ง “แม่ล่ะคะ”
“พ่อพาแม่กลับมาด้วยกันน่ะ ตอนนี้อาการของแม่คงที่แล้ว ในระยะนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก” หวังเคอมองไปรอบๆ พลางเอ่ย “ชินกับการอยู่ในร้านหนังสือหรือยัง”
“ค่อนข้างชินเลยทีเดียวค่ะ”
“คิดอยากจะอยู่ต่อไหม”
“หนูเชื่อฟังพ่อค่ะ”
“พ่อคิดว่าไปโรงเรียนดีกว่า แทนที่จะเอาแต่เล่นสนุกเกินไปน่ะ”
“ค่ะ อีกสองวันหนูจะย้ายกลับและไปโรงเรียน”
หวังเคอยิ้ม พลางลุกขึ้นและเดินไปข้างๆ หลินเข่อ อยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาวของเขา แต่หลินเข่อกลับก้าวถอยหลัง หลบมือของหวังเคอและพูดว่า “หนูไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ เอาแต่ลูบหัวอยู่ได้”
หวังเคอพยักหน้า “ลูกสาวของพ่อโตแล้วสินะ”
การพูดคุยของสองพ่อลูกธรรมดามาก หวังเคอดูเวลาพลางเอ่ยว่า “อีกสองวันให้พ่อมารับลูกกลับบ้านไหม”
“ได้ค่ะ”
“งั้นพ่อไปก่อนนะ”
“อื้อ”
หวังเคอกลับไปแล้ว ขับรถของเขาออกไปแล้ว เหล่าจางก็ไปแล้ว กล่าวว่าทีมเฉพาะกิจจากมณฑลเรียกตัวประชุมเป็นการภายใน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องไปเข้าร่วม เดิมทีเหล่าจางไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมด้วยซ้ำ สืบเนื่องจากความผิดพลาดในครั้งก่อน เขาจึงถูกแยกออกจากทีมเฉพาะกิจ แต่บางทีอาจเป็นเพราะเขาเพิ่งจะแจ้งข้อมูลเบาะแสอันใหม่ไป ดังนั้นจึงแจ้งให้เขาเข้าร่วมฟังการประชุมด้วย
ทนายอันบิดขี้เกียจ เขาพร้อมที่จะเป็นทนายแก้ต่างของนักพรตเฒ่าแล้ว เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่สามารถใช้ได้ในมือตอนนี้แล้ว ความมั่นใจยังมีอยู่มากพอสมควร
“โอ๊ะ ทำไมพ่อคุณถึงได้กลับไปเร็วขนาดนี้ล่ะ” ทนายอันล้อเลียน
“เขามาบอกฉันว่าใกล้จะเปิดเทอมแล้ว”
“เขาคิดถึงลูกสาวของเขาแล้วน่ะสิ”
สาวน้อยโลลิเงยหน้าขึ้นมองทนายอันและเอ่ยเสียงขรึม “ฉันรู้”
“รู้แล้วก็ดี” พูดแล้วทนายอันก็หมุนเปิดกระติกเก็บความร้อนใบใหญ่ของเขา และพบว่ากาแฟในขวดโหลใกล้จะหมดอีกแล้ว จึงกวาดส่วนที่เหลือออกมา จากนั้นทนายอันเอาบัตรที่วางแผนจะให้เถ้าแก่บริจาคเงินตอนสายๆ ออกมาวางไว้ข้างๆ
“ดื่มกาแฟแพงๆ ของคุณสิ้นเปลืองขนาดนี้ คงจะปวดใจมากสินะ”
เสียดายที่ตอนนี้เถ้าแก่กำลังนอนหลับสนิท หากเขาตื่นขึ้นมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า จะต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งด้วยความดีใจแน่ๆ
…
จางเยี่ยนเฟิงกลับไปที่สถานีตำรวจอีกครั้งและเดินตรงเข้าไปในห้องประชุม มีคนมากมายในห้องประชุม ถึงอย่างไรมันก็เป็นคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหลายสิบชีวิต อย่าว่าแต่มณฑลเลย แม้แต่กระทรวงยังคอยเฝ้าติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ทุกรายละเอียดและความคืบหน้าของคดีนี้สร้างความสั่นประสาทให้กับทุกฝ่าย
จางเยี่ยนเฟิงหาที่นั่งแถวหลังและนั่งลง หยิบสมุดโน้ตของตัวเองออกมาเตรียมวาดการ์ตูน ไม่ใช่ว่าจางเยี่ยนเฟิงละเลยหน้าที่ ประเด็นคือเป็นเพราะเขารู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว ฟังการประชุมไปมันก็ไม่ได้มีความน่าสนใจมากขึ้น
ในบรรยากาศที่เคร่งเครียดอย่างยิ่งของทั้งห้องประชุม เหล่าจางรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นธารน้ำใส
“ตอนนี้การประชุมเริ่มขึ้นแล้ว เรียนเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจเฉินแจ้งความคืบหน้าล่าสุดของคดีให้ทุกท่านทราบ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉินเหรอ เหล่าจางเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย คนที่ก้าวไปข้างหน้าคือตำรวจหญิงนายหนึ่ง เหล่าจางกวาดสายตามองยศตำรวจของอีกฝ่าย จุ๊…เหลือบมองท่าทางของอีกฝ่ายอีกครั้ง จุ๊ๆ…
เหล่าจางปิดสมุดโน้ตของเขาและเตรียมตั้งใจฟัง ไม่ใช่เพราะเหล่าจางคิดเพ้อเจ้อในเรื่องอื่น ลูกชายเขาใกล้จะแต่งงานแล้ว แม้ว่าตอนนี้ดูแล้วอายุเพียงแค่สามสิบปี แต่ก็เลยวัยที่เห็นสาวสวยแล้วก้าวขาไม่ออกไปนานแล้ว เพราะเขาเคยได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้ดังมากในมณฑล ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไขคดีใหญ่ได้หลายคดีติดต่อกัน ชื่อเสียงเลื่องลือนัก
ความเหลื่อมล้ำทางเพศในที่ทำงานเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งในสถานีตำรวจก็เช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะการดูถูกดูแคลนในความหมายที่แท้จริง แต่เป็นเพราะลักษณะงานของตำรวจนั้นเอนเอียงไปทางเพศชายเป็นหลัก ถ้าเพศหญิงต้องการโดดเด่นในที่นี้ พวกเธอมักจะต้องทำได้ยอดเยี่ยมกว่า สำหรับในหนังอาชญากรรมหรือละครทีวีเรื่องอื่นๆ ทุกทีมเฉพาะกิจล้วนมีตำรวจหญิงหลายนายอยู่ นั่นดูไม่ค่อยสมจริงนัก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเอาใจผู้ชมเสียมากกว่า
“ทุกท่านคะ ฉันมาล่าช้าไปสองสามวัน ไม่ได้เข้าร่วมงานสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นไปพร้อมกับทุกท่าน หลังจากที่ฉันมาถึงทงเฉิง ฉันใช้เวลาสองวันในการรวบรวมพยานวัตถุและข้อมูลเบาะแสต่างๆ ให้สอดคล้องเป็นอันเดียวกัน และในช่วงเช้าสถานีตำรวจทงเฉิงได้ส่งมอบหลักฐานล้ำค่ามาอีกชิ้นหนึ่ง”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉินมัดผมหางม้ายืนอยู่บนเวทีอย่างทะมัดทะแมง จอฉายภาพที่อยู่ข้างหลังกำลังถูกดึงออกไปอย่างช้าๆ
“มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ฉันได้หาเวลาไปดูสถานที่เกิดเหตุภายหลัง ได้ถูกมนุษย์ทำลายไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันหวังว่าเจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านนี้จะรับผิดชอบด้วยนะคะ”
ทุกคนเงียบกริบ พอมาถึงก็ถามหาความรับผิดชอบทันที อารมณ์ร้อนจริงๆ ส่วนเหล่าจางยิ้มอยู่ในใจ ที่เกิดเหตุถูกทำลายเป็นเพราะเถ้าแก่และสาวใช้โผล่ไปต่อสู้กันถึงที่นั่นยังไงล่ะ
“หลังจากที่ฉันมาแล้ว ฟีดแบ็กข้อมูลที่ได้รับก็คือโดยทั่วไปนั้นทุกท่านยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่านายลู่ผู้ต้องสงสัยคือฆาตกรในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพหลังจากถูกจับกุม แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้ต้องสงสัยได้กลับคำสารภาพ การที่ผู้ต้องสงสัยจะกลับคำสารภาพ ฉันว่ามันไม่น่าแปลกใจเลย ในความเป็นจริงมันคงจะแปลกมากถ้าเขายังคงกัดฟันยืนกรานว่าเขาเป็นคนฆ่าอยู่”
“รบกวนทุกท่านดูรูปภาพด้านหลังด้วยค่ะ นี่เป็นภาพบาดแผลบนร่างกายของนายหลัวผู้ตาย สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายมาจากการเสียเลือดมาก แต่ฉันได้ชันสูตรบาดแผลหลายจุดเหล่านี้ด้วยตนเองแล้ว ผลชันสูตรคือบาดแผลที่สะโพกด้านหลัง น่อง และแขนเกิดจากมีดทำครัวที่ใช้ในครัวเรือน หรือก็คือมีดทำครัวเล่มนั้นที่นายลู่ผู้ต้องสงสัยถือเอาไว้ตอนที่ถูกจับในที่เกิดเหตุ ทุกท่านโปรดสังเกตรายละเอียดของบาดแผลด้วยค่ะ ตรงจุดนี้ฉันทำเป็นแบบจำลองสามมิติ ทุกท่านโปรดสังเกตวิธีการเฉือนบาดแผลเหล่านี้”
หลายคนที่อยู่ในนี้ต่างก็เป็นตำรวจอาชญากรรมที่มากประสบการณ์ ตอนแรกอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่หลังภาพจำลองออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
“ทุกท่านคิดว่าตำแหน่งของคมมีดและทิศทางในการเฉือนดูแปลกไหมคะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉินแสดงท่าทางการแล่เนื้อ
“ทุกท่านสามารถลองจำลองดูได้ ใช้ฝ่ามือของตัวเองแทนคมมีดและเฉือนเนื้อกับเอ็นบนน่องของตัวเอง จากนั้นค่อยจำลองอีกครั้งว่าตัวเองถือมีดแล่เนื้อบนตัวของคนอื่น ทิศทางของคมมีดและความเคยชินในการออกแรงมันต่างกัน หากมีลักษณะแบบนี้เพียงแผลเดียวก็อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทว่าหากเป็นแบบนี้หลายๆ แผล ก็ไม่สามารถใช้คำว่าบังเอิญมาอธิบายได้แล้ว”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉิน ความหมายของคุณก็คือ”
“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่า ผู้ที่เฉือนร่างของผู้ตายไม่ใช่นายลู่ผู้ต้องสงสัย แต่เป็นนายหลัวตัวผู้ตายเอง”
ครู่หนึ่ง สีหน้าของบรรดาตำรวจที่กำลังทำท่าทางต่างเผยสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ตายแล่เนื้อตัวเองงั้นเหรอ
“ถ้างั้นอาจจะถูกฆาตกรบังคับข่มขู่ก็ดะ…” ตำรวจนายหนึ่งออกความเห็น แต่พอพูดไปแล้วก็หยุดลง
ฆาตกรยื่นมีดให้เหยื่อแล่เนื้อตัวเองงั้นเหรอ เหยื่อจะไม่ขัดขืนหรือไง
“ไม่พบร่องรอยการถูกมัดบนร่างกายของเหยื่อ จุดสังเกตคือไม่มีร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย นี่หมายความว่า ก่อนเสียชีวิต มีความเป็นไปได้สูงที่เหยื่อจะอยู่ในสภาพเป็นอิสระอยู่ตลอด นอกจากนี้ บรรดาพยานวัตถุที่นำกลับมาด้วย คราบเลือดและรอยนิ้วมือของผู้ตายต่างปรากฏอยู่ที่ขวดเครื่องปรุงในครัวและบนเตาแก๊ส
การที่ลายนิ้วมือปรากฏอยู่บนสิ่งของต่างๆ ในบ้านของผู้ตายเอง มันเป็นเรื่องปกติมาก แต่ยกเว้นบนมีดเล่มนั้นที่นายลู่ผู้ต้องสงสัยถืออยู่ในมือตอนที่ตำรวจรีบรุดไปถึงที่เกิดเหตุ เครื่องใช้อื่นๆ ในห้องครัวก็ไม่ปรากฏรอยนิ้วมือของนายลู่เลย
นายลู่ถือมีดและรอให้ตำรวจมา อีกทั้งในตอนแรกรับสารภาพว่าตัวเองฆ่าคนตาย ดังนั้นตรงนี้นายลู่จึงไม่จำเป็นต้องจัดการลบลายนิ้วมือ เขาไม่มีแรงจูงใจในจุดนี้ แล้วเขาจะลบลายนิ้วมือตัวเองออก และทิ้งลายนิ้วมือของเหยื่อเอาไว้อย่างเดียวแบบนั้นได้อย่างไร ดังนั้นฉันคิดว่าเหยื่อแล่เนื้อตัวเองและทำการปรุงสุกด้วยตัวเอง
สุดท้าย จากการตรวจสอบลายนิ้วมือบนตู้แช่ พบว่ามีรอยนิ้วมือของเหยื่อด้านในตู้แช่ทั้งสองฝั่งชัดเจนมาก ทุกท่านดูที่รูปนี้ได้เลย ฉันพยายามประมวลผลตามทิศทางและรายละเอียดของลายนิ้วมือทีละขั้นตอน จากข้อมูลดังกล่าว จึงสามารถอนุมานการกระทำของเหยื่อในขณะนั้นได้
จากการอนุมานของฉัน ตอนนั้นเหยื่อได้เข้าไปในตู้แช่เอง และถึงแม้ว่าเราจะเก็บลายนิ้วมือของนายลู่ผู้ต้องสงสัยภายนอกตู้แช่ได้ แต่กลับไม่พบด้านใน ในตอนเช้าสหายจากทีมตำรวจสืบสวนในเขตทงเฉิงได้ส่งหลักฐานชิ้นใหม่มาให้ มีการยืนยันในเบื้องต้นว่าซย่าชุนฮวาผู้ตายศพนิรนามหมายเลข F ถูกนายหลัวเหยื่อในคดีนี้ทำการฆาตกรรมเมื่อปี 2016
โดยสรุปก็คือ ฉันอนุมานได้ว่า นายหลัวเหยื่อในคดีนี้เป็นฆาตกรตัวจริงในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ และนายลู่ผู้ต้องสงสัยในตอนนี้ไม่มีเหตุจูงใจใดๆ ในการฆาตกรรม นายลู่อายุมากแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขากลับมาจากห้องของหญิงบริการอีกครั้งเพื่อตามหาโทรศัพท์ในสถานที่เกิดเหตุแล้วพบศพคนตาย จนเกิดอาการช็อกก่อให้เกิดภาพหลอน”
“คุณจะบอกให้เรารายงานต่อสาธารณชนว่า ผู้ตายแล่เนื้อของตัวเอง จากนั้นเอาเนื้อตัวเองปรุงอาหาร แล้วค่อยมากินข้าวพูดคุยกับนายลู่ รอจนนายลู่กลับไปแล้ว ผู้ตายก็ค่อยเข้าไปนอนในตู้แช่เอง แล้วก็ตายงั้นเหรอ เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉิน คุณคิดว่าประชาชนจะเชื่อการรายงานอย่างนี้เหรอครับ ความคิดเห็นของสาธารณชนจะเชื่อหรือเปล่า ตำรวจอย่างเราควรจะอธิบายกับสังคมอย่างไร”
“พวกเราเป็นตำรวจ ไม่ใช่หัวหน้าคนงานหน้าประตูสโมสร เราจำเป็นต้องอธิบายต่อสัญลักษณ์ประจำชาติที่อยู่เหนือหัวของเรา และอธิบายความจริงที่เราค้นพบทั้งหมดเท่านั้น!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเฉินปิดโปรเจกเตอร์และพูดต่อ
“ตอนนี้ ฉันแนะนำให้ถอนฟ้องนายลู่ผู้ต้องสงสัย เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในคดีนี้อาจจะเป็นนายลู่ก็ได้ ฆาตกรต่อเนื่องหลอกล่อไปที่บ้านของตัวเองเพื่อไปทำอะไรนั้น ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายไปมากกว่านี้แล้วใช่ไหมคะ อย่างไรก็ตาม พวกเรากลับกักขังเหยื่อที่แท้จริงไว้ในห้องขังเป็นเวลานานอีกด้วย นายลู่เสียขวัญมาแล้วครั้งหนึ่ง หากอาการทางจิตใจของนายลู่แย่ลงโดยมีสาเหตุมาจากการคุมขังของพวกเรา นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ทางตำรวจอย่างเราควรคิดที่จะอธิบายมากกว่า!”
……………………………………………………….