ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 422 โหยหวนเอาอะไร
ตอนที่ 422 โหยหวนเอาอะไร
เมื่อทนายอันเดินไปถึงร้านขายยาข้างๆ ฟางฟางกำลังแกะกล่องพัสดุของตัวเองอยู่ข้างในพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ การได้แกะกล่องพัสดุเป็นเรื่องที่ฟินดีจริงๆ
“คนล่ะ” ทนายอันถาม
“คนอะไรคะ”
“เด็กผู้หญิงคนนั้นไง”
“อ๋อ สาวน้อยบ้านพวกคุณคนนั้นพาเธอออกไปแล้วละ”
“ออกไปแล้วงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ เพิ่งจะออกไปได้ไม่นานนี่เอง เดินไปทางนั้นแน่ะ เหมือนว่าจะโบกรถไปแล้วด้วย”
ทนายอันหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาหลินเข่อ แต่ฝั่งนั้นตอบกลับมาว่า ‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว…’
…
รถแท็กซี่มาถึงหน้าประตูโรงพยาบาลประจำอำเภอ เด็กผู้หญิงทั้งสองคนลงจากรถพร้อมกัน
“พาฉันมาที่นี่ทำไม” หลินเข่อมองเด็กผู้หญิง มันเป็นสถานที่ที่จูเซิ่งหนานบอกว่าอยากจะพาเธอมาด้วยกัน เธอก็เลยตามมาด้วย
“มาเยี่ยมเพื่อนของหนูบางคนน่ะค่ะ” เด็กสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เพื่อนเหรอ”
“ใช่ค่ะ เพื่อน ที่บ้านไม่ยอมให้หนูเข้าเรียนอนุบาล เอาแต่ขังหนูไว้ในบ้านทั้งวัน ให้หนูออกจากบ้านน้อยครั้ง หนูเลยมีเพื่อนน้อย แต่พวกเธอก็มักจะมาเล่นกับหนูบ่อยๆ นะ ดังนั้นหนูถึงไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวยังไงล่ะคะ”
“สรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่”
หลินเข่อไม่ใช่เด็กน้อยน่ารักที่ไม่รู้ความ เด็กผู้หญิงที่ชื่อจูเซิ่งหนานตรงหน้าคนนี้ค่อนข้างพิเศษ เธอเองก็เข้าใจ ดังนั้น ‘เพื่อนๆ’ จากปากของจูเซิ่งหนาน ทำให้สาวน้อยโลลิไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่นิดเดียว
นี่ไม่ใช่เด็กๆ ที่เล่นสนุกกันในโรงเรียนอนุบาลแน่ๆ
ที่นี่เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ ขนาดไม่ใหญ่นัก ถึงแม้ว่าจะเล็กแต่ก็มีอุปกรณ์ครบครัน แผนกที่ควรจะมีก็มี พวกอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยและโรคประจำถิ่นทั่วไป อย่างเช่นการผ่าตัดไส้ติ่งอะไรทำนองนี้ก็รักษาได้ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าหากมีโรคค่อนข้างร้ายแรง ผู้ป่วยในพื้นที่ก็จะเข้าเมืองไปหาหมอที่โรงพยาบาลในเครือหรือโรงพยาบาลประชาชนเอง แม้แต่หมอในโรงพยาบาลประจำอำเภอก็ยังแนะนำให้คุณไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลในเครือหรือโรงพยาบาลประชาชน อย่างไรเสียโรงพยาบาลใหญ่ก็มีอุปกรณ์ที่ดีกว่าและมีเงื่อนไขทางการแพทย์ที่ดีกว่า
แม้ว่าบางคนจะเพียงแค่ขลิบอวัยวะเพศ ถ้าอยากให้สวยงามดูดีกว่าหน่อยก็จะเลือกไปขลิบที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ
“เพื่อนของเธอนอนโรงพยาบาลเหรอ”
“อื้อ ใช่ค่ะ พวกเธอนอนโรงพยาบาลน่ะ”
เด็กผู้หญิงเดินนำหน้า สาวน้อยโลลิเดินตามหลัง
เด็กผู้หญิงไม่ได้เดินเข้าประตูใหญ่ แต่กลับเดินอ้อมกำแพงโรงพยาบาลต่อไปเรื่อยๆ สาวน้อยโลลิไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เพียงแค่เดินตามไป
“คุณน้าว่าทำไมคุณพ่อหลายๆ คนถึงรักแค่ลูกชายแต่ไม่ชอบลูกสาวกันเหรอคะ ไหนจะคุณแม่และคุณย่าอีก พวกเธอเองก็เป็นผู้หญิงชัดๆ กลับรักแต่หลานชายและลูกชาย ไม่ชอบหลานสาวกับลูกสาวด้วย” เด็กผู้หญิงเอ่ยพูด เสียงของเธอเบามาก เบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ไม่รู้สิ” สาวน้อยโลลิตอบ
อันที่จริง นี่เป็นเรื่องที่รู้กันดี สาเหตุคืออะไรทุกคนย่อมรู้กันดี แต่เพราะว่าทุกคนรู้ดีว่าสาเหตุมันคืออะไรเนี่ยแหละ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นให้ต้องพูดถึงแล้ว
“ฉันก็ไม่รู้”
เด็กผู้หญิงยังคงพูดต่อ มันไม่เหมือนการเอ่ยถาม แต่เหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า
“เด็กผู้หญิงอย่างพวกเราทำผิดอะไรกันนะ คุณน้าคะ คุณก็เป็นผู้หญิงใช่ไหม”
“อืม” สาวน้อยโลลิไม่ติดใจเรื่องที่ถูกเรียกว่า ‘คุณน้า’ อีกต่อไป เพราะไม่รู้ว่าทำไม เธอเองก็ถูกล่อลวงให้เกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมาเช่นกัน “ตอนที่น้ายังเด็ก อันที่จริงฐานะทางบ้านใช้ได้ทีเดียว สามารถส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยได้ แต่บ้านของน้าไม่ยอมให้น้าเรียนมหาวิทยาลัย และเตรียมส่งเสียให้น้องชายของน้าเรียนมหาวิทยาลัยแทน แต่คะแนนของน้าในตอนนั้นมันยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
“คุณน้าก็น่าสงสารมากเหมือนกันนะ”
“น้าไม่น่าสงสารหรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะในฤดูร้อนในวันนั้น น้าพาน้องชายออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ระหว่างรอรถประจำทาง น้าก็แอบผลักเขาไปทีหนึ่ง เขาไม่เป็นอะไร แต่แขนข้างหนึ่งของเขาถูกทับจนหักและกระดูกแตกละเอียด”
เด็กผู้หญิงหันหน้ากลับมามองสาวน้อยโลลิอย่างจริงจัง ในเวลานี้เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยของสาวน้อยโลลิ ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“เขาบาดเจ็บแล้วพักการเรียน ปีนั้นน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จและได้เข้ามหาวิทยาลัย”
“คุณน้าเก่งจัง แต่แบบนี้มันผิดนะ”
“ฉันไม่มีทางเลือก” จู่ๆ น้ำเสียงของสาวน้อยโลลิก็แหลมปรี๊ดขึ้นมา “เธอจะให้ฉันเลือกยังไง ให้ฉันหยุดเรียนงั้นเหรอ ไปทำงานหาเงินส่งเขาเรียนมหาวิทยาลัยหรือไง มีสิทธิ์อะไรกัน! เพียงเพราะฉันเป็นเด็กผู้หญิง เป็นสินค้าขาดทุนในสายตาของพ่อแม่ ดังนั้นฉันเลยต้องถูกรุมทึ้งอย่างนี้เลยน่ะเหรอ
หยุดเรียนออกไปทำงาน แล้วถูกพ่อแม่หาผู้ชายให้สักคน ตระเตรียมให้แต่งงานออกเรือนไป พวกเขาค่อยเก็บเงินสินสอดไปอีกที แล้วเก็บเงินสินสอดที่ได้จากการขายฉันไว้ให้น้องชายไปใช้ในอนาคตน่ะเหรอ”
“แต่มันก็ไม่ถูกอยู่ดีนะคะ” เด็กผู้หญิงพูดอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เธอก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ในสายตาของเธอบนโลกใบนี้ไม่ใช่สีดำ มันคือสีขาว นอกจากถูกแล้วก็คือผิด ดังนั้นตอนที่คุณย่าและคุณพ่อของเธอทรมานเธอไม่หยุด เธอถึงได้นิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ดังนั้นหลังจากที่เธอมองเห็นคนในภาพวาดเคลื่อนไหว เธอถึงได้ตื่นเต้นที่จะพิสูจน์ให้คุณพ่อและคุณย่าเห็น
เธอยืนอยู่ท่ามกลางแอ่งเลือด สิ่งที่นอนอยู่รายล้อมคือศพที่น่าสยดสยองของครอบครัวเธอเอง แต่เธอไม่มีอารมณ์โกรธแค้นหรือหวาดกลัว เธอเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ คอยดูเลือดของครอบครัวที่เปรอะเปื้อนใต้รองเท้าแตะของตัวเองทีละนิด
“เธอรู้ไหมว่าหลังจากผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานออกไปแบบไร้แบบแผน จุดจบของเธอจะน่าสมเพชแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพ่อแม่ของเธอสนใจเพียงแค่จำนวนเงินค่าสินสอดเท่านั้น ช่วงครึ่งหลังของชีวิตจะดีหรือไม่ จะมีความสุขหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับโชคแล้วจริงๆ มันอยู่ที่ดวงล้วนๆ มันก็เหมือนการซื้อลอตเตอรีในร้านขายลอตเตอรี มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเงินรางวัลก้อนโตที่สะสมไว้ในแต่ละครั้งจะถูกชายสวมหน้ากากบ้าบอคนไหนคว้าไป”
ดวงตาของสาวน้อยโลลิเริ่มแดงรื้น และเริ่มหายใจถี่ขึ้นเช่นกัน
“ฉันไม่อยากพึ่งโชค ฉันก็แค่อยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ฉันแค่อยากได้ความเป็นธรรมบ้าง! พวกเขา เดิมทีพวกเขาสามารถส่งเสียฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ เดิมทีฐานะของพวกเขาก็ดีกว่านี้ได้ หลังจากพวกเขาคลอดฉันออกมากลับอยากได้ลูกคนที่สอง พวกเขาบอกว่ากลัวฉันเหงา ต่อมาแม่ฉันตั้งครรภ์ แต่เป็นเด็กผู้หญิงจึงทำแท้งไป ต่อมาก็ตั้งครรภ์อีก เป็นเด็กผู้ชายจึงได้คลอดออกมา แม่ของฉันตกงานเพราะเรื่องนี้ พ่อก็ถูกลดตำแหน่งเพราะเรื่องนี้เช่นกัน อันที่จริง สิ่งที่น่ากลัวและโหดร้ายที่สุดในโลกใบนี้ก็คือ จู่ๆ คุณก็พบว่าพ่อแม่ของคุณไม่ได้สนใจคุณจริงๆ”
“คุณน้า ไม่ร้องนะคะ” เด็กผู้หญิงเอื้อมมือไปช่วยสาวน้อยโลลิเช็ดน้ำตา
“เด็กผู้หญิงแค่เกิดมาก็ลำบากแล้ว เข้าเรียนก็ยาก เข้าทำงานก็ลำบาก…”
ทันใดนั้นสาวน้อยโลลิก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน สีหน้าเย็นชาปรากฏบนใบหน้าที่เศร้าสร้อย และเอื้อมมือผลักเด็กผู้หญิงออกไป จนจูเซิ่งหนานล้มลงไปที่พื้น
นอกกำแพงโรงพยาบาลเป็นพื้นที่ก่อสร้างที่หยุดทำงานมาเป็นเวลานาน เต็มไปด้วยเศษหินดินทราย หลังจากจูเซิ่งหนานล้มลง มือทั้งสองข้างและตรงเข่าถลอกปอกเปิก มีเลือดไหลซิบออกมา แต่สาวน้อยโลลิยังนิ่งไม่ไหวติง หยาดน้ำตาและสีแดงรื้นในดวงตาก่อนหน้านี้เลือนหายไปทันทีและตำหนิอออกมาตรงๆ
“เมื่อกี้เธอทำอะไรฉันกันแน่!!!” หลินเข่อกางฝ่ามือออกทั้งสองข้างพร้อมกับมองไปรอบข้าง
เมื่อสักครู่นี้ จู่ๆ เธอก็พูดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง พูดเรื่องที่เคยประสบในอดีต กระทั่งพูดความลับของตัวเองที่ไม่เคยเปิดเผยให้คนนอกรู้จนหมดเปลือก นี่ไม่ใช่การเห็นภาพแล้วนึกถึงอดีตของตัวเองขึ้นมาแน่นอน และไม่ใช่การเผยอารมณ์ความรู้สึกอะไรแน่ๆ!
เธอมีความรู้สึก แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอได้เรียนรู้วิธีควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ตั้งนานแล้ว อีกอย่าง ทำไมเธอถึงได้บอกความรู้สึกและสิ่งที่อยู่ในใจกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ได้
คำอธิบายเดียวในตอนนี้คือ เมื่อสักครู่นี้เธอถูกผลกระทบจากอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว สิ่งนั้นแทรกซึมเข้ามาในใจของเธออย่างเงียบเชียบ และเข้ามาควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของเธอจนทำให้ในขณะนั้นเธอไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพื่อการก่อสร้างและพัฒนาร้านหนังสือ ทนายอันทุ่มเทและพยายามไม่ลดละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ตระหนักถึงความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเป็นปลาเค็มของเถ้าแก่ เขามีความมั่นใจในอนาคตของร้านหนังสืออย่างเต็มเปี่ยม
ดังนั้นสำหรับการพัฒนาพวกสุนัขรับใช้… ไม่สิ ต้องเรียกว่านักสู้ที่เก่งกาจภายใต้เงื้อมมือของเถ้าแก่โจวเหล่านี้ เขาขุดใช้มันสมองแทบแตก แม้แต่จางเยี่ยนเฟิงที่ถูกเขามองว่าเป็นการลงทุนที่ล้มเหลว ในยามว่างเขายังตั้งใจคิดวางแผนช่วยจางเยี่ยนเฟิงทำงานและผลักดันไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอีกในอนาคต หวังใช้ประโยชน์จากตัวตนทางโลกของเขามาช่วยเหลือร้านหนังสือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวน้อยโลลิที่ขยันหมั่นเพียรและกระตือรือร้นที่จะไต่เต้าขึ้นไป
สำหรับการตรวจจับภาพลวงตาและการตอบโต้กลับ ทนายอันไม่ซ่อนความลับต่อสาวน้อยโลลิเลยแม้แต่น้อย ภาพลวงตาเป็นหนึ่งในทักษะที่เชี่ยวชาญของเขา และด้วยเหตุนี้หลังจากจมดิ่งไปกับมันโดยไม่รู้ตัว สาวน้อยโลลิพลันดึงสติกลับมาได้ทันที
เด็กผู้หญิงนั่งอยู่บนพื้น เธอไม่ได้มองผิวบนมือและหัวเข่าของตัวเองที่ถลอกปอกเปิกมีเลือดไหลซึมออกมาเลย แต่กลับมองสาวน้อยโลลิต่ออย่างใจเย็น
“เธอพาฉันมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร เมื่อกี้เธอทำอะไรกับฉันกันแน่! ถ้าเธอไม่บอกละก็ ฉันจะฆ่าเธอและส่งเธอลงนรกเดี๋ยวนี้แหละ!”
“คุณน้า ทุกคนก็แค่ชอบคุณน้าเท่านั้นเอง” ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงก็หัวเราะ และยิ้มอย่างสดใส
ฉับพลันนั้น เงาสีชมพูในกองเศษกระเบื้องด้านหลังเด็กผู้หญิง ในลำธารด้านหลังโรงพยาบาล และเหนือห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเริ่มมารวมตัวกันที่นี่
สาวน้อยโลลิมองไปรอบข้างด้วยความตกใจ นี่ไม่ใช่ผี เพราะพวกเธอไม่มีร่างวิญญาณ แต่พวกเธอกลับมีจิตสำนึกของตัวเองและมีภาพลวงตาของตัวเอง
เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนแล้วคนเล่า พวกเธอหัวเราะ กระโดด และวิ่งเข้ามาทางนี้จากทุกทิศทุกทาง พวกเธอรวมตัวกันอยู่รายล้อมตัวจูเซิ่งหนาน พวกเธอยังเดินเข้ามาหาสาวน้อยโลลิ พวกเธอไร้เดียงสา พวกเธอบริสุทธิ์ พวกเธอช่างน่ารักกันขนาดนั้น
“พวกเธอ…พวกเธอคือ…”
“ใช่แล้ว คุณน้า พวกเขาเป็นพวกเดียวกับเราไงคะ”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของจูเซิ่งหนานถลำลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดำดิ่งจนทำให้ผู้คนมองแค่แวบเดียวก็ตกลงไปในห้วงเหวลึกนั้นไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้
“แต่ทำไม พวกเราต้องทำอย่างนี้!”
จูเซิ่งหนานเริ่มร้องไห้ น้ำตาไหลรินหยดแล้วหยดเล่า เด็กผู้หญิงที่อยู่ล้อมรอบก็ร้องไห้ตามๆ กัน แต่สิ่งที่ไหลออกมาจากดวงตาของพวกเธอกลับเป็นเลือดสีแดงฉาน!
สิ่งที่ตามมาก็คือ ‘ร่างกาย’ ที่แต่เดิมผุดผ่องของพวกเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ เพราะการร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลเป็นสายเลือด
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง…นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
สาวน้อยโลลิก้าวถอยหลังด้วยความสยดสยองเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ร่างวิญญาณและไม่ใช่ดวงวิญญาณ แต่ว่าทำไมในเวลานี้สพวกนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นผีร้ายไปซะได้!
……………………………………………………