ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 447 ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง!
ตอนที่ 447 ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง!
หลังจากเขตภูเขาแถบนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป กระทั่งสามารถพูดได้ว่าแม้แต่ยมทูตก็ต้องระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ที่นี่
สามารถดูจากโจวเจ๋อและทนายอันสองคนนี้เป็นหลักฐานเพื่ออ้างอิงได้เลย พวกเขาต้องถ่อมตัวเป็นพิเศษ แต่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ กลับมียมทูตรีบ ‘ทำผลงาน’ อยู่ที่นี่อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเห็นสมาชิกในครอบครัวที่แขวนคอตายในบ้านหลังนี้ต่างเดินออกมาข้างนอก เดินมารวมตัวกันบนถนน โจวเจ๋อจึงครุ่นคิดแล้วพูดเสนอว่า “พวกเราออกไปดูกันเถอะ”
“ได้เลย” ทนายอันพยักหน้าเพราะเขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เขาอยากรู้ว่าเพื่อนสายอาชีพเดียวกันมาจากหน่วยงานไหนกันแน่ ถึงได้มีหน้ามีตาขนาดนี้ แต่จะออกไปโต้งๆ แบบนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าไร
ทนายอันจึงไปหาเชือกเส้นหนึ่งจากในห้องครัว ตัดเป็นสองท่อน ผูกคอตัวเองหนึ่งเส้น แล้วยื่นให้โจวเจ๋ออีกหนึ่งเส้น
“พวกเรามีไพ่ซ่อนลมหายใจที่ผมทำขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่ในกระเป๋า ถึงตอนนั้นค่อยปล่อยไอวิญญาณออกมาก็ไม่น่าจะโดนจับได้”
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปดึงเชือกที่คอของทนายอันเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “แต่เชือกของคนอื่นหันไปข้างบน”
ก็จริง ชาวบ้านเหล่านี้แขวนคอตาย ถึงแม้จะหลุดพ้นจากสภาพการแขวนคอแล้ว เชือกที่ผูกอยู่บนคอของพวกเขาก็ยังชี้ขึ้นฟ้า ราวกับว่าตัวเองยังผูกคอตายอยู่
“มีวิธีแก้ไขน่า” ทนายอันหากิ่งไม้ขนาดเล็กสองกิ่งมาจากห้องครัว แล้วใช้เชือกพันโดยรอบ จากนั้นปักอยู่ด้านในหลังคอเสื้อของตัวเอง ดูแล้วจึงเหมือนเชือกตั้งขึ้นไป
“แบบนี้ได้แล้วใช่ไหม” ทนายอันยิ้มพูด
“คุณนี่ฉลาดจริงๆ”
จากนั้นโจวเจ๋อกับทนายอันที่แขวนคอกับไม้ฟืนก็เดินออกมา หลังจากมารวมตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านแล้ว ทั้งสองคนจึงปล่อยไอวิญญาณออกมา เดิมทีพวกเขาก็เป็น ‘ผี’ อยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเสแสร้งแกล้งทำ แต่ยิ่งเหมือนเผยตัวตนที่แท้จริงออกมามากกว่า
หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรสองสามร้อยคนเท่านั้น ดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่พอทุกคนมายืนเรียงแถวรวมกัน ก็ดูเป็นขบวนใหญ่เหมือนกัน
โจวเจ๋อกับทนายอันแทรกเข้าไปกลางขบวน ด้านหน้าคือเสียงแส้เส้นหนึ่ง จากนั้นทั้งขบวนจึงเริ่มเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ทุกคนเดินไปข้างหน้าเหมือนคนโง่
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้โจวเจ๋อใจลอยเล็กน้อย ราวกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่อยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลือง เพราะทั้งหมดทั้งมวลช่างเหมือนจริงเกินไป
ทนายอันมองซ้ายมองขวาตลอดเวลา เหมือนกำลังสำรวจอะไร แต่ดูจากสภาพภายนอกของเขาที่หน้าตาซีดขาวแล้ว ก็สมจริงอยู่ไม่น้อย
โจวเจ๋อกำลังคิดว่า ถ้าหากมีกองถ่ายต้องการนักแสดงมาเล่นเป็นศพโดยเฉพาะ เลือกเขาไปคงจะเหมาะสมที่สุด ไม่ต้องแต่งหน้าก็สามารถกลมกลืนได้อย่างแนบเนียน ทุกคนเดินออกจากหมู่บ้านไปแบบนี้
โจวเจ๋อมองเห็นคนถือแส้อยู่แถวหน้าสุด ใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุด เหมือนนักพรตกำลังขนศพ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เดินมาข้างหลัง ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงยังไม่โดนจับได้ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พลาดโอกาสสำรวจพนักงานคนนั้นที่มาจากหน่วยงานเดียวกันเพราะเหตุนี้เช่นกัน
หมอกหนาทั้งสองข้างมีมือโบกไปมาไม่หยุด เหมือนผีร้ายแต่ละตัวกำลังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ตรงนั้น แต่เนื่องจากถูกควบคุมด้วยแส้ จึงต้องหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ไม่กล้าเข้ามาก่อกวน
เสียงหวดแส้ดังเป็นระยะ พร้อมกับตะโกนกระตุ้นไปด้วย พวกเขาเดินเรียงแถวไปข้างหน้า ไม่เหมือนการขนศพ แต่เหมือนกำลังไล่ต้อน ^(* ̄(oo) ̄)^ มากกว่า
เนื่องจากต้องใช้เวลาเดินนาน เท้าโจวเจ๋อจึงเริ่มปวดเมื่อยบ้างแล้ว ทนายอันที่อยู่ข้างๆ ยังคงแสดงอย่างสมบทบาทต่อไป หลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างสมบูรณ์
“นี่ เดินตามโง่ๆ ต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีแน่นอน” โจวเจ๋อเอ่ย
ทนายอันไม่พูด
“นี่” โจวเจ๋อเรียกอีกครั้ง
ทนายอันยังไม่พูดเหมือนเดิม
โจวเจ๋อยื่นมือจิ้มทนายอันเบาๆ ร่างกายของทนายอันพลันเซ เหมือนจะล้มลงไป ก็พลันตกใจโจวเจ๋อรีบเอื้อมมือประคองทนายอันขึ้นมา ถ้าหากเขาล้มลงไปก็เป็นอันจบเห่
ทนายอันยังคงเดินไปข้างหน้าเหมือนเครื่องจักร โจวเจ๋อยื่นมือหยิกเอวทนายอัน ทนายอันจึงลืมตา พร้อมกับสูดปาก
“คุณหลับเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“หา อืม” ทนายอันบิดคอเล็กน้อย แล้วจึงเดินไปข้างหน้าต่อ
“การทำสมาธิได้ผลแบบนี้ด้วยเหรอ”
“หา อืม”
ฉันกำลังแสดงละครเดินไปข้างหน้า แต่คุณกลับนอนหลับ สรุปใครเป็นเถ้าแก่กันแน่
“ความสามารถของการทำสมาธิ มีความมหัศจรรย์มาก คนที่มีสาวใช้ให้นอนกอดอย่างคุณ ไม่เข้าใจเป็นธรรมดา” ทนายอันพูดด้วยความอิจฉา
ทั้งสองคนพูดเถียงกันไปมา จนขบวนหยุดลงโดยไม่รู้ตัว
“หยุดแล้วเหรอ” ทนายอันยื่นศีรษะมองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
“ข้างหน้าเหมือนจะมีซุ้มประตู”
โจวเจ๋อก็ชโงกศีรษะมองออกไปข้างนอกเหมือนกัน และเป็นความจริงแล้ว ข้างหน้ามีซุ้มประตูซุ้มหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของซุ้มประตูเป็นสีดำและอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ตั้งตระหง่านอยู่กลางทางภูเขา ไม่สูงมาก มีขนาดเท่าประตูของชาวบ้านทั่วไป แต่กลับส่งกลิ่นอายโบราณบางอย่างออกมา
“ที่นี่ไม่ใช่ประตูนรกใช่ไหม” โจวเจ๋อถาม
เหล่าอันมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าเขา จริงๆ แล้วโจวเจ๋อไม่เคยเข้าไปแม้แต่ศูนย์กลางของนรก แต่เหล่าอันเป็นคนเก่งกาจที่อยู่ในระบบมาก่อน
“มีกุญแจประตูนรกอยู่ในมือของยมทูต จริงๆ แล้วเป็นแค่สื่อนำทางเท่านั้น เหมือนค่ายกลขนส่งมากกว่า ส่วนประตูนรกของจริง ผมกล้ารับประกัน แม้แต่ผู้พิพากษาก็ไม่สามารถครอบครองได้ แม้แต่พญายมราชทั้งสิบในตำนาน กระทั่งพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็ไม่สามารถครอบครองได้”
ประตูนรก เหมือนการบรรยายในแบบนามธรรมมากกว่า ตามตำนานเล่าว่า มันเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งความตาย เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างสองโลก ‘สิ่ง’ ที่สามารถตัดสินทั้งสองโลกนี้ได้ จะถูกครอบครองด้วยกำลังคนได้อย่างไร
ถ้าหากใครครอบครองมัน ไม่เพียงแต่สามารถควบคุมการเข้าออกได้ง่ายดายแค่นั้น เมื่อบวกกับผลกระทบและความหมายในความเป็นจริงของมัน เท่ากับว่าสมารถควบคุมเส้นแบ่งแขตของโลกแห่งความเป็นและความตายได้อย่างแท้จริง!
“งั้นนี่คืออะไร” โจวเจ๋อถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ารู้ผมจะถูกขังอยู่ในหมอกแบบนี้ไหม”
“ทำไมคุณไม่ได้เรื่องเลย”
“…” ทนายอัน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังพูดว่าเขาฉลาดอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
เพื่อนสายอาชีพเดียวกันที่ใส่ชุดสีดำล้วนวางแส้ลง จากนั้นคุกเข่าต่อซุ้มประตูสีขาวดำ ดูเหมือนกำลังท่องคาถาอะไรอยู่
“เขากำลังท่องอะไร เหมือนจะเป็นภาษาถิ่น” โจวเจ๋อถาม
“ไม่รู้ ภาษาถิ่นของยมทูตโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสถานที่เกิด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภาษาจีนกลางในโลกมนุษย์ได้รับการยกระดับขึ้น แต่ถ้าอยากให้มีผลกระทบต่อโลกหลังความตายจริงๆ จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนที่สามารถพูดภาษาจีนกลางได้คล่องแคล่วยังไม่ใกล้ตายเหมือนคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี แต่เป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้น”
หลังจากเขาท่องคาถาเสร็จแล้ว ซุ้มประตูสีขาวดำก็เริ่มสั่นสะเทือน ต่อจากนั้นม่านแสงที่คล้ายภาพไท่จี๋[1] ได้ปรากฏอยู่ด้านล่างของซุ้มประตู ยมทูตชุดสีดำคนนั้นจึงลุกขึ้นอีกครั้ง หยิบแส้ขึ้นมาแล้วหวดไปบนฟ้าอย่างแรง พลางคำราม “ออกเดินทางได้!”
ช่วงเวลาเดียวกันทั้งขบวนเริ่มเดินไปข้างหน้า คนที่อยู่ข้างหน้าเดินเข้าไปในซุ้มประตูทีละคน จากนั้นจึงหายไป ส่วนคนข้างหลังก็ทยอยเดินตามเข้าไป ฉากที่เห็นทั้งหมด ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง เหมือนทุกคนกำลังต่อแถวกระโดดบันจีจัมป์ โดยไม่มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยแม้แต่นิดเดียว
และยังเหมือนคนเดินเรียงแถวดาหน้าไปเพื่อโดนยิงตาย อย่างไรก็ตามไม่มีการป้องกันเลยสักนิด
บางทีความรู้สึกถึงอันตรายแบบนี้อาจจะมาจากสิ่งที่ไม่อาจรู้ก็เป็นได้
ชาวบ้านที่ตายไปแล้วเหล่านี้ยังพอไหว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีสตินึกรู้แล้ว จึงถูกควบคุมด้วยแส้อย่างสิ้นเชิง แต่โจวเจ๋อกับทนายอันไม่ใช่
ด้านหลังซุ้มประตูเป็นอะไรกันแน่ หลังจากเข้าไปแล้วจะออกมาได้หรือไม่ ทุกอย่างยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ และด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจากเดิมที่ยืนต่อแถว จึงเริ่มแสดงอาการ ‘ให้ความเคารพผู้อาวุโส รักเด็ก ให้เกียรติผู้หญิงก่อน’ เชิญคุณก่อน คุณไปก่อนเลย เชิญเลยครับ ผมไม่รีบ ผมไม่รีบเลย
ทั้งสองคนเริ่มเดินถอยหลังไม่หยุด จนถึงตอนท้ายพวกเขาจึงถอยมาอยู่ส่วนท้ายสุดของขบวน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าอยากจะช่วยส่งเสริมจึงเป็นไปไม่ได้ ไม่ช้าหนทางด้านหน้าจึงเหลือแค่สองทางเท่านั้น
ทางหนึ่งคือหลับตาแล้วเดินไปข้างหน้า ในเมื่อพายุลูกใหม่ปรากฏแล้ว จะหยุดนิ่งไม่เดินหน้าได้อย่างไร อีกทางหนึ่งคือฉีกหน้า เริ่มสู้กันเลย!
คนที่ใช้ชีวิตและเคยทำงานมาก่อนล้วนเข้าใจหลักการเหล่านี้เป็นอย่างดี นั่นก็คือพนักงานในแผนกเดียวกันบางครั้งมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากกว่าเจอคนบ้านเดียวกันที่ยิงใส่หลังกันเสียอีก
แน่นอนว่า ทั้งสองตัวเลือกนี้ จะต้องเลือกอย่างหลังแน่นอน ตัวเลือกที่หนึ่งถูกปฏิเสธทันควัน ในฐานะผู้ชายวัยกลางคนที่เคยเจออุปสรรคผ่านลมผ่านฝนจนเบื่อหน่ายมาก่อน เมื่อต้องเจอกับสิ่งที่ไม่รู้และการท้าทายใหม่ๆ นั่นเป็นสิ่งที่เด็กวัยรุ่นควรทำ เถ้าแก่โจวกับทนายอันทั้งสองคนไม่อาจทนรับความตื่นเต้นเหล่านี้ได้ นิสัยโดยพื้นฐานของคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านก็คือฉันรับผิดชอบแค่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเท่านั้น แต่จะไม่ลงไปร่วมเด็ดขาด!
ตอนที่ข้างหน้าเหลือเพียงสิบกว่าคน เถ้าแก่โจวกับทนายอันเตรียมตัวลงมือก่อนเพื่อควบคุมยมทูตชุดดำถือแส้คนนั้น
จากนั้นเงาสีฟ้าทั้งเก้าได้โผล่พรวดออกมาจากหมอกหนา เป็นวิญญาณของหญิงสาวทั้งเก้าคนซึ่งมาพร้อมกับความแค้น
ก่อนหน้านั้นโจวเจ๋อเจอสองคน และเจอในห้องเล็กอีกเจ็ดคน เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นเก้าคน
ผู้ชายที่ถือแส้อยู่ในมือหมุนตัวทันที
โจวเจ๋อกับทนายอันรีบมองไปที่เขาทันใด อืม ยังเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจน เพราะว่าเขาใส่หน้ากากสีดำอีกอันหนึ่ง
“พวกคุณก็เข้าไปสิ เร็วเข้า!!!”
‘เปรี๊ยะ!’ แส้หวดขึ้นอีกครั้ง
วิญญาณทั้งเก้าแสดงสีหน้าเจ็บปวดดิ้นรนออกมา ตอนที่พวกเธอยังมีชีวิตอยู่ถูกบังคับจับมาขายที่นี่ ตอนนี้ก็ถูกแส้บังคับให้เข้าไปยังสถานที่อื่น การฝ่าฝืนที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณทำให้พวกเธอถูกตีตราว่าไม่เชื่อฟัง บวกกับความผิดฐาน ‘ฆ่าคนไม่เว้น’ ที่พวกเธอก่อขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้
ผีร้ายที่ฆ่าคนมากมายเมื่อเทียบกับผีทั่วไปจะมีความแตกต่างกัน เหมือนกับทหารเก่าที่ออกรบร้อยสนามกับทหารใหม่ที่เพิ่งเข้ากรม
“อ๊ากๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!” เสียงร้องโหยหวนทั้งเก้ารวมกันเป็นหนึ่งสาย จากนั้นเงาทั้งเก้าก็พุ่งเข้าหาผู้ชายชุดดำคนนั้น คล้ายกับว่าจะทำให้ตกตายไปพร้อมกัน!
เอ๊ะ จะสู้กันแล้วใช่ไหม โจวเจ๋อกับทนายอันสบตากัน รอดูฉากเด็ด แต่ฉากที่เห็นในวินาทีต่อไป ทำให้โจวเจ๋อกับทนายอันต้องเบิกตากว้าง
ผู้ชายที่หวดแส้ด้วยความหยิ่งยโสโอหังยิ่งในตอนนั้น เมื่อเห็นผีร้ายทั้งเก้าตัวพุ่งมาหาเขา เขากลับร้องตะโกนด้วยความตกใจกลัวว่า “แม่จ๋า!!”
จากนั้นแส้ตกลงไปบนพื้น เขาก้าวขาออกแล้วเริ่มวิ่งหนีเข้าไปในหมอกหนาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งโดยไม่เหลียวหลัง วิ่งหน้าตั้ง วิ่งอย่างรวดเร็วฉับไว เหลือเพียงเงาหลังเก๋ๆ ให้คนอื่นดูต่างหน้าเท่านั้น…
………………………………………………………………………..
[1] ไท่จี๋ เป็นนามที่แท้จริงของหยินหยาง