ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 457 นี่คือ...ชีวิต!
ตอนที่ 457 นี่คือ…ชีวิต!
น้องชายอ้าปากค้าง โดยเฉพาะท่ากะพริบตานั่นถึงกับทำให้น้องชายลืมตะโกน อารมณ์ทุกอย่างถูกสกัดด้วยความหวาดกลัวไปทั้งหมด เป็นคนที่ถูกเขาฆ่าตายแท้ๆ แต่กลับ ‘ฟื้น’ ขึ้นมาในวินาทีที่จะส่งเข้าเตาเผาศพ ต่อมาโดนเขาเอามืออุดหน้าอยู่ในรถมาตลอดทาง แต่กลับกะพริบตาให้เขาอย่างไม่น่าเชื่อ!
คนที่กล้าฆ่าคนถือว่าเป็นคนใจกล้าอย่างหนึ่ง แต่ต่อให้ใจกล้าแค่ไหนเมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์ ‘แปลกประหลาด’ที่น่าเหลือเชื่อ ก็ตกใจจนฉี่ราดได้เหมือนกัน และน้องชายในเวลานี้ได้ถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ตายหรือยัง นี่ ฉันถามคุณอยู่นะ!” ผู้หญิงยังคงขับรถพลางตะโกนถาม
โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่โดนน้องชายอุดรูจมูกแล้ว ตัวเขาเองกลับมีพลังควบคุมร่างนี้เพิ่มขึ้น สามารถออกแรงได้เล็กน้อย
‘กรึก…’ โจวเจ๋อลุกนั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้องชายงงเป็นไก่ตาแตก หน้าขาวซีด ตอนนี้เขาตกใจจนแทบไม่มีสติ เอาแต่ตัวสั่นงันงกไม่หยุด
“ตายหรือยัง ผ่านสี่แยกด้านหน้านี้ไปก็เป็นโรงพยาบาลแล้ว!” ผู้หญิงเร่ง
“ดีแล้ว”
เสียงคุ้นเคยดังเข้ามา ผู้หญิงหันไปมองพลันเห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนที่เคยนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับตัวเองมานานแรมปี เธอรู้สึกโล่งใจอย่างคาดไม่ถึงแล้วเอ่ยว่า “สามีคะ คุณรออีกหน่อย เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว…”
ทันใดนั้นผู้หญิงก็หยุดพูด แล้วพลันกรีดร้อง “กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!”
จริงๆ แล้วในหลายๆ ครั้งสังคมมักจะให้นิยามคำว่า ‘คนขับรถเป็นผู้หญิง’ อย่างมีอคติเกินไป อย่างเช่นตอนนี้ ทั้งๆ ที่เป็นไฟแดง ผู้หญิงคนนี้กลับเหยียบคันเร่งสุดเท้าแล้วฝ่าออกไป แต่ว่าคุณจะโทษการควบคุมของตัวเธอเองไม่ได้ เพราะต่อให้เป็นคุณผู้ชายทั้งหลายที่ขับรถเก่งกาจมาขับรถอยู่ในตอนนี้ หากจู่ๆ ภรรยาของคุณที่ตายไปนานแล้วกลับมาปรากฏตัวและพูดอยู่ข้างตัวคุณ คาดว่าคุณต้องสูญเสียการควบคุมเหมือนกัน
จากนั้นก็ ‘โครม!’ โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองซุกซนเล่นแรงเกินไปแล้ว เดิมทีเขาแค่อยากแกล้งชายชู้หญิงชู้คู่นี้ให้ตกใจเล่นเท่านั้น ถือว่าช่วยแก้แค้นให้พี่ชายที่ตัวเองเข้ามาอาศัยร่างของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อใช้ศพของเขา ก็ต้องทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างใช่ไหมล่ะ
ตอนที่รถถูกชนจากด้านข้างจนรถหมุนคว้างพลิกคว่ำ โจวเจ๋อเพิ่งตระหนักได้ว่าเล่นแรงเกินไป ดูเหมือนว่าเขาจะเล่นสนุกเกิน…
และเนื่องมาจากสาเหตุที่เขาสามารถควบคุมร่างนี้ได้มากกว่าในตอนแรก จึงเป็นผลทำให้หลังจากโดนรถชนแล้วความเจ็บปวดที่โจวเจ๋อได้รับทั้งหมดจึงชัดเจนขึ้นไม่น้อย โดนกระแทกและหมุนคว้างอย่างแรง ทำให้โจวเจ๋อต้องสลบไปอีกครั้ง
…
‘ติ๊งต่อง’ ประตูเปิดออก จางเยี่ยนเฟิงยืนอยู่หน้าประตู และคนที่ยืนอยู่ประตูด้านในก็คือตำรวจเฉิน
ตำรวจเฉินเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง ที่นี่เป็นห้องชุดของโรงแรม
“บรรยากาศพอได้ใช่ไหม” ตำรวจเฉินถาม
“อืม” จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า
“ไม่ต้องรู้สึกกดดัน มันมีระเบียบของการดูแลต้อนรับอยู่แล้ว” ตำรวจเฉินหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมา เธอพบว่าเย็นชืดเล็กน้อยก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ช่วยต้มน้ำให้ฉันหน่อย น้ำเดือดแล้วช่วยชงกาแฟอีกที”
“อ้อ ครับ” เหล่าจางพยักหน้าแล้วเดินไปต้มน้ำ เวลาที่เขาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เหล่าจางมักจะรู้สึกเหมือนถูกกดขี่ทุกด้าน และเพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายที่ต้อง ‘ประจบ’ มากเกินไป จางเยี่ยนเฟิงพูดขึ้น “เมื่อกี้ผมดูข่าวสวีโจวในห้อง ข่าวบอกว่าเมื่อวานซืน มีศพกำลังจะเผาในหอประกอบพิธีฌาปนกิจแห่งหนึ่งของสวีโจว แต่เหมือนศพจะขยับได้ จากนั้นญาติและครอบครัวจึงรีบย้ายศพขึ้นรถรีบนำตัวไปที่โรงพยาบาลเพื่อกู้ชีพทันที
ผลปรากฏว่าขับรถเร็วเกินไป จึงเกิดอุบัติเหตุรถชน ภรรยาและน้องชายของผู้ตายที่อยู่ในรถบาดเจ็บหนักทั้งคู่ แต่รักษาไม่ทันจึงเสียชีวิต”
“ค่ะ เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในเวยป๋อแล้ว” ตำรวจเฉินยังคงไม่ยินดียินร้ายเหมือนเดิม
“น่าเสียดายจริงๆ บางทีถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงเหมือนกัน พอเห็นคนรักของตัวเองเสียชีวิต ต่อให้มองผิดคิดว่าเขาขยับตัวกะทันหัน ก็มักจะเกิดความหวังที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา”
“อาจจะใช่”
เมื่อน้ำเดือดแล้ว เหล่าจางก็ชงกาแฟแล้วนำมาวางข้างโต๊ะของตำรวจเฉิน นอกจากนี้ยังมีเอกสารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับมีโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง
“เรื่องที่พูดกับคุณคราวที่แล้วคุณพิจารณาหรือยัง” ตำรวจเฉินหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาแล้วดื่มหนึ่งที เหล่าจางจะบอกว่าระวังร้อนแต่ไม่ทันแล้ว และดูเหมือนว่าตำรวจเฉินจะไม่ได้ร้อนลวกปากอีกด้วย
“ผมคิดว่า ผมเหมาะที่จะอยู่ทงเฉิงต่อไป”
“เหรอคะ” ตำรวจเฉินตกใจเล็กน้อย มองจางเยี่ยนเฟิงแล้วเอ่ยว่า “ย้ายไปอยู่ที่มณฑล ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณไปอยู่บนหิ้งเฉยๆ สักหน่อย จริงๆ แล้วยังมีคดีอีกไม่น้อย”
ย้ายจากสถานีตำรวจในเมืองไปอยู่สถานีตำรวจในมณฑล ถือว่าเป็นการเลื่อนขั้นอย่างหนึ่ง และมีความหมายว่าจะได้ยืนบนเวทีที่มีอนาคตไกลมากกว่านี้
“ผมรู้ครับ และผมก็เข้าใจ แต่ผมชอบอยู่ที่ทงเฉิงมากกว่า”
“ทุกคนล้วนเป็นอิฐที่ต้องทำตามหน้าที่ ที่ไหนต้องการก็ต้องโดนย้ายไปที่นั่น” ตำรวจเฉินเอ่ยหยั่งเชิง ถือว่าให้โอกาสจางเยี่ยนเฟิงเป็นครั้งสุดท้าย
“ผมคิดว่าประชาชนเมืองทงเฉิงยังต้องการผม ผมจึงอยากอยู่รับใช้ประชาชนที่ทงเฉิงต่อครับ” อืม บรรยากาศของการพูดคุยกำลังอึดอัดนี้ใกล้จะจบลง เพราะพวกเขาทั้งสองคนไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมเกรงอกเกรงใจ
“โอเคค่ะ ฉันรู้แล้ว รอให้การสืบสวนคดีร่วมกันของสวีโจวเสร็จแล้ว คุณก็กลับทงเฉิงได้เลยค่ะ”
“ฮู่ว…” จางเยี่ยนเฟิงถอนหายใจโล่งอก ครั้งนี้เขาถูกหัวหน้าสถานีย้ายมาสืบสวนคดีร่วมกันที่สวีโจว และเรื่องนี้ถูกดำเนินงานโดยตำรวจเฉิน
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่กลวิธีใช้เส้นสายอะไร ร่างนี้ของจางเยี่ยนเฟิงเคยเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่แฝงตัวเข้าไปสืบคดีก่อนหน้านี้ โดยทำภารกิจสำเร็จและพลีชีพตัวเอง จากนั้นต้องขอบคุณคดีร้ายที่เกิดขึ้นในทงเฉิงติดต่อกันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เขาเขียนประวัติการทำงานได้มากมาย
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเมื่อรู้ว่าต้องไปสถานีตำรวจระดับมณฑล เหล่าจางย่อมยินดีอย่างมาก ไม่ใช่เพราะได้เลื่อนขั้นได้เงินเพิ่ม นั่นดูเชยเกินไป แต่เพื่อความก้าวหน้า อืม เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้ตัวเอง
ทว่าจางเยี่ยนเฟิงรู้ว่า ขอเพียงโจวเจ๋อยังเปิดร้านหนังสือในทงเฉิงอีกหนึ่งวัน เขาในฐานะที่เป็นยมทูตที่อยู่ใต้อาณัติ จะไม่สามารถอยู่ห่างจากที่นี่ได้เป็นเวลานาน
เว้นเสียแต่ว่าวันหนึ่งโจวเจ๋อจู่ๆ เกิดคึกขึ้นมาอยากให้ทุกคนไปแย่งเขตควบคุมในหนานจิง
‘เวลาที่จางหายไปท่ามกลางสายลม ราวกับนึกไม่ออกว่าต้องเผชิญหน้าอีก วันเวลาที่เรื่อยเปื่อย มีคุณอยู่เคียงข้าง…’ ท่ามกลางเพลงฉากหลัง ‘วันเวลาของมิตรภาพ’ ที่เล่นประกอบ โจวเจ๋อกับทุกคนในร้านหนังสือใส่แจ็กเก็ตสีดำจุดไฟแช็กพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเตรียมสู้เพื่อแย่งชิงเขตควบคุม แต่เมื่อนึกถึงเถ้าแก่ของตัวเองที่ชอบนอนอาบแดดตอนเช้าอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้านแล้ว จางเยี่ยนเฟิงรู้สึกว่าการแก่งแย่งเขตแดนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
“หืม”
“หืม” จางเยี่ยนเฟิงไม่เข้าใจ
“คุณยังยืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีก”
“เอ่อ…”
“คุณกลับได้แล้ว แล้วก็เขียนรายงานมาส่งด้วยนะ”
“ครับ” จางเยี่ยนเฟิงลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป ตอนที่เขาเดินไปที่หน้าประตู กลับพบจี้หยกเครื่องรางป้องกันตัวแขวนอยู่ด้านหลังประตูห้อง
“จี้อันนี้สลักเป็นตัวปี่เซี๊ยะใช่ไหมครับ” จางเยี่ยนเฟิงถาม
บ้านเกิดของตำรวจเฉินเป็นคนหนานจิง สำหรับปี่เซี๊ยะแล้วก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของจินหลิง[1]ในระดับหนึ่ง
“เป็นเซี่ยจื้อ[2]” ตำรวจเฉินตอบ
เหล่าจางตัวสั่นเล็กน้อย
“คุณลืมแล้วเหรอ พ่อของฉันเป็นอัยการ นี่คือของขวัญที่พ่อมอบให้ฉันตอนที่ฉันเข้าทำงาน”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” จางเยี่ยนเฟิงเปิดประตูแล้วเดินออกไป หลังจากประตูปิดแล้ว ตำรวจเฉินจึงหยิบถ้วยกาแฟร้อนขึ้นมาอีกครั้งแล้วดื่มหมดรวดเดียว เธอไม่กลัวลวกปากเลยสักนิดเดียวจริงๆ
เธอเปิดดูแฟ้มที่วางคว่ำไว้บนโต๊ะ ในนั้นมีรูปภาพและเอกสารมากมาย และยังมีการประเมินของทีมตำรวจทงเฉิงสองสามคนที่ให้คะแนนหัวหน้าตำรวจอาชญากรรมที่มาใหม่ได้ไม่นาน ทุกคนคิดว่าหน่วยงานเตรียมเลื่อนตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการทำตามขั้นตอน และเรื่องนี้ควรจะปิดเป็นความลับ ดังนั้นตัวของจางเยี่ยนเฟิงก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน ในแฟ้มนั้นมีรูปภาพใบหนึ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก นั่นก็คือรูปภาพที่จางเยี่ยนเฟิงเข้าออกร้านหนังสือที่ถนนหนานต้าแต่ละครั้ง
เอกสารที่อยู่ในนี้มีเยอะมาก ประกอบไปด้วยข้อมูลของสวีเล่อเถ้าแก่ร้านหนังสือรวมไปถึงข้อมูลและตัวตนของคนอื่นๆ ในร้านหนังสือ ฐานะและตัวตนของพวกเขาถูกปากกาวงเป็นเครื่องหมายคำถาม ‘?’ ตัวใหญ่
“เหอะ” ตำรวจเฉินหัวเราะขึ้นมาในทันใด เอื้อมมือไปที่ปากแล้วเริ่มกัดเล็บของตัวเองด้วยความเคยชิน กึกๆๆ
…
โจวเจ๋อไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานแค่ไหน ต้องขอบคุณที่ตัวเองปลดล็อกสกิลใหม่ได้เมื่อครู่ ทำให้ตัวเองมีพื้นที่ในร่างนี้ได้มากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีพลังน่ากลัวเหมือนที่ชุ่ยฮวาสิงร่างครั้งที่แล้ว แต่สำหรับเถ้าแก่โจว ถือว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก
ทว่าในทุกข์มีสุขในสุขมีทุกข์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะตัวเองถูกรถชนจนได้บรรลุพลังใหม่ สามารถควบคุมร่างนี้ได้อีกหนึ่งขั้น ความเจ็บปวดขณะที่เกิดรถชนจะไม่รุนแรงขึ้นถึงขั้นนี้
เขาสลบไปแล้ว ใช่ สลบไปแล้วจริงๆ และไม่รู้ว่าสลบไปนานแค่ไหน แต่เมื่อรอให้เขาฟื้นสติกลับมา เขาพบว่าตัวเองยังคงสิงอยู่ในร่างนี้เหมือนเดิม
เฮ้อ…มีแต่คนที่หนีออกจากบ้านเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความงดงามที่บ้าน ด้วยหลักการเดียวกันนี้ วิญญาณที่สูญเสียกายเนื้อจะรู้ซึ้งดีว่าอยู่ในกายเนื้อที่เน่าเหม็นเป็นเรื่องที่มีความสุขมากแค่ไหน
ข้างหูของเขาได้ยินเสียงร้องไห้โฮแทบขาดใจ หลายคนกำลังร้องไห้ ร้องไห้อย่างน่าสงสาร โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองยังมึนเล็กน้อย หากเขาอยากจะควบคุมร่างกายนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอีกนิด
“คุณซุน คุณผู้หญิง อย่าเสียใจไปเลย ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องจัดงานศพเพื่อส่งให้ไปสู่สุขคติ” เสียงที่คุ้นเคย โจวเจ๋อลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องน้ำชาในร้านสปา อ้อไม่ใช่ ผู้อำนวยการของหอฌาปนกิจ
ซี้ด…โจวเจ๋อสูดปากอยู่ในใจ ไม่ใช่มั้ง
“เฮ้อ อย่าร้องไห้ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ปล่อยให้พวกเขาได้ไปสู่สุขคติเถอะ” เสียงของคนชราคนหนึ่งดังเข้ามา “ผู้อำนวยการจ้าว ผมจะพาภรรยาของผมกลับก่อน ที่เหลือ คุณรับผิดชอบเลยแล้วกัน”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ นี่คือภาระและหน้าที่ของพวกเรา”
จากนั้นญาติคนอื่นๆ ก็กลับไปเหมือนกัน ผู้อำนวยการจ้าวหยิบผ้าเช็ดมือออกมาแล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตัวเอง มองดูศพทั้งสามตรงหน้าตัวเองที่เพิ่งจัดการเสร็จเรียบร้อย เวรกรรมแท้ๆ แม่งเวรกรรมจริงๆ
“เร็ว เอาไปเผา เอาไปเผาได้แล้ว! หมอยืนยันว่าตายแล้ว ยืนยันว่าตายแล้ว! ครั้งนี้ไม่ว่ามือจะขยับหรือไม่ขยับ หรือต่อให้ศพจู่ๆ เด้งขึ้นมาเต้น พวกคุณก็ต้องส่งกลับไปเผาให้เรียบร้อย! แม่งซวยจริงๆ เลย!”
‘แกร๊ก…’ ประตูของเตาเผาศพถูกเปิดออก
“…” โจวเจ๋อ
………………………………………………………………………..
[1] จินหลิง ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของหนานจิง
[2] เซี้ยจื่อ ตามตำนานเป็นสัตว์อาศัยในป่า ตัวใหญ่กว่าวัว รูปร่างเหมือนสิงห์ มีเขาแหลมกลางศีรษะ มีสติปัญญาสูง สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด เป็นสัตว์แห่งความยุติธรรม ในช่วงราชวงค์หมิงและถังใช้เป็นสัญลักษณ์ของกฎหมายและความยุติธรรม