ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 473 ความโชคดี!
ตอนที่ 473 ความโชคดี!
ท่ามกลางความมืดมิด เหมือนจะเห็นแสงสว่างรำไร ชั่วเวลาเดียวทำให้คนรู้สึกทำตัวไม่ถูก ความแตกต่างกันอย่างรุนแรงนี้ทำให้ดวงตาทรมานอย่างมาก โจวเจ๋อจึงหลับตาโดยไม่รู้ตัว ข้างหูของเขามีเสียงรถราขับผ่านไปมารวมทั้งเสียงผู้คนเซ็งแซ่
เขารู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่บนถนนเส้นใหญ่ ผ่านไปสักพักหนึ่ง จึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความพร่าเลือนเขาเห็นความคุ้นเคยที่อยู่โดยรอบ
ถนนที่เคยคุ้น ไฟริมทางที่คุ้นชิน หัวท่อน้ำดับเพลิงที่คุ้นเคย รวมทั้งป้ายที่คุ้นมากอย่าง ‘ลองไปเรื่อยๆ เผื่อจะเข้าท่า’
พอหันไปมองด้านข้าง และแล้วก็เห็นตัวเองนอนพิงอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างในร้านหนังสือ ในมือของตัวเองกำลังถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พร้อมกับเติมน้ำตาลใส่กาแฟขณะอ่านมันไปด้วย
ครั้งนี้ คือที่นี่เหรอ คือร้านหนังสือใช่ไหม โจวเจ๋อไม่ขยับตัว แต่ยืนอยู่กับที่อย่างเงียบๆ มีคนเดินผ่านข้างตัวเขาเป็นระยะ แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กับเขาเลยสักนิด บ้างก็ลังเล บ้างก็เดินเตร็ดเตร่ และยังมีพวกสองจิตสองใจ…ที่ไม่รู้จักชื่อบางส่วน
ท่ามกลางความมึนงง สามารถฝันถึงที่นี่ได้ ที่นี่คือจุดสิ้นสุดใช่ไหม แต่สิ่งที่โจวเจ๋อไม่รู้คือ ท่ามกลางมหาชน มีผู้ชายใส่สเวตเตอร์สีดำคนหนึ่งกำลังยืนพิงเสาไฟฟ้า ภายใต้หมวกแก๊ปใบนั้น แอบซ่อนใบหน้าที่เหมือนเขาทุกประการไว้เพียงแต่บนถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน สามารถหลบซ่อนเขาได้เป็นอย่างดี
“เข้าไปสิ รีบเข้าไปสิ เดินมาถึงที่นี่แล้ว เข้าไปเลย” ผู้ชายยิ้มมุมปากเล็กน้อย พูดพึมพำกับตัวเอง
“เหลืออีกแค่สองเท่านั้น แล้วก็ฆ่าเขา จากนั้นก็จะเหลือข้าคนเดียว เหอะๆ”
“ซี้ด…” ผู้ชายร้องเสียงทุ้ม เขาเอื้อมมือบีบหน้าอกของตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าเจ็บปวดทรมานยากจะทนได้ แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงยิ้มด้วยความสุขอยู่เช่นเดิม
เขาฉีกมุมหนึ่งของชายเสื้อของสเวตเตอร์ เผยให้เห็นบาดแผลที่มีเลือดสด กลุ่มผู้คนที่เดินสัญจรไปมากลับทำเป็นไม่เห็น เหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตรงกลางของบาดแผลเด่นสะดุดตา มีปากกาด้ามหนึ่งปักอยู่ ตัวปากกาเกือบครึ่งด้ามปักอยู่ในร่างกาย
“เจ้าผนึกข้าไว้ แต่จะมีประโยชน์อะไร” ผู้ชายก้มหน้า เหมือนกำลังพูดกับปากกาที่ปักอยู่ตรงหน้าอกของตัวเอง
“ขอเพียงเขาฆ่าเขาที่เข้าไปในร้านหนังสือ ก็จะเหลือแค่ข้าเท่านั้น เขาก็คือข้า ข้าก็คือเขาแล้ว เจ้าปิดผนึกไว้เช่นนี้ จะมีประโยชน์เหรอ”
ปากกาเสียบอยู่ในเลือดเนื้ออย่างเย็นชา ไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด สิ่งที่มันสามารถทำได้ จริงๆ แล้วคือจ้องมองเขาตาเขม็ง ส่วนอย่างอื่นน่ะเหรอ มันไม่สามารถทำอะไรได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันผนึกอยู่ก็คือแม่ทัพในสมัยโบราณ ที่กล้าต่อต้านจักรพรรดิเหลืองในอดีต เจ้าแห่งนรก ถึงแม้ใกล้จะดับสูญแล้ว แต่ก็ยากที่จะรับมือได้
“ข้าช่วยเขาประหารสามอสุภะ เพื่อให้เขาเรียนรู้การต่อสู้ จะได้ประหยัดเวลาของเขา ประหยัดพลังของเขา แน่นอนว่าต้องคิดกำไรนิดหน่อย ฆ่าเลยๆ เพราะได้ฆ่าชาติที่แล้วไปแล้ว จากนั้นก็ฆ่าพันธนาการที่ยังหลงเหลืออยู่ของฝู่จวินผู้นั้น และตอนนี้ก็ฆ่าตัวเขาเองในปัจจุบัน หลังจากนั้น ต่อให้ไอ้ผนึกบ้าบอนี่ยังอยู่ ทว่ามันก็ไม่มีความหมายแล้ว เขากลายเป็นข้าไปแล้ว หลอมรวมเข้ากับข้าอย่างสิ้นเชิง!” ผู้ชายยื่นมือจับปากกา เขาไม่ได้ดึงออกมา แต่ใช้แรงกดลงไป พร้อมกับร้องเสียงทุ้มต่ำด้วยความทรมานในขณะเดียวกัน ดูเหมือนการทารุณตัวเองแบบนี้สามารถทำให้เขารู้สึกติดใจและมีความสุข!
“เหอะๆ แทงเลยๆ แทงต่อสิ เจ้า ยังจะแทงข้าได้อีกนานแค่ไหน แค่จิตสำนึกของสุนัขเฝ้าบ้านที่เกิดขึ้นตอนที่ข้านอนหลับเพื่อรักษาบาดแผล แต่กล้าทำตัวกำเริบกับข้าอย่างไม่น่าเชื่อ! เป็นใครที่มอบความกล้าให้เขา และเป็นใครที่มอบความมั่นใจให้เขา ปากกาเช่นเจ้าเหรอ หรือว่าไท่ซานฝู่จวินตัวตลกที่ถูกพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์หลอกจนหัวหมุนในตอนแรก กาแฟ หนังสือพิมพ์ เพิ่มน้ำตาล เหอะๆ…”
…
เขามองตัวเองผ่านกระจกกั้น ดูพร่าเลือนเล็กน้อย แต่กลับรับรู้ได้เหมือนกัน และเป็นความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจกันโดยความหมายที่แท้จริง เพราะว่าท่าทางนี้ การเคลื่อนไหวนี้ ฉากนี้ คือสิ่งที่โจวเจ๋อทำมาตลอดปีกว่าที่ผ่านมา
ถ้าไม่เกิดอะไรผิดคาด ไม่มีเรื่องด่วน หรือมีเรื่องด่วนต่อให้รีบเร่งก็ไม่มีประโยชน์ หลังตื่นมาตอนเช้า ตัวเขาต้องมานอนที่ตำแหน่งนั้น เพิ่งจะนอนไม่นาน อิงอิงก็นำหหนังสือพิมพ์กับกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ เขาเริ่มต้นการใช้ชีวิตของตัวเองในทุกวันแบบนี้
ไม่รู้ว่ามองนานแค่ไหน โจวเจ๋อยกเท้าก้าวอย่างเงียบๆ เดินไปที่ประตูใหญ่ แล้วผลักประตู โจวเจ๋อเห็นนักพรตเฒ่านั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ นักพรตเฒ่ากำลังหาเหาให้เจ้าลิง เจ้าลิงมองนักพรตเฒ่าด้วยใบหน้าตัดพ้อ ทำท่าจนใจอย่างช่วยไม่ได้
มันเป็นลิงฉลาด เป็นลิงวิเศษที่สามารถไลฟ์สดได้ เปลี่ยนเพลงเป็น เรียกแท็กซี่ได้ จิตสำนึกของมันรักความสะอาดมากกว่านักพรตเฒ่าเสียอีก แล้วจะมีเหาได้อย่างไร แต่นักพรตเฒ่าไม่คิดแบบนี้ ลิงที่ไม่มีเหาจะเรียกว่าลิงได้ไหม
หรือพูดอีกอย่างคือ แทนที่จะบอกว่านักพรตเฒ่าหาเหา สู้พูดว่าใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกับเจ้าลิงจะดีกว่า เหมือนกับคนแก่ที่มีความสุขเวลาอยู่กับลูกหลานก็เท่านั้นเอง
ชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน ถึงแม้จะไปใช้บริการหญิงขายบริการเป็นบางครั้ง แต่นั่นก็คือความยินยอมช่วยเหลือกันและกันของทั้งสองฝ่าย จ่ายเงินแลกบริการแล้วจบกันไป เมื่อได้มาเจอเจ้าลิง นักพรตเฒ่าจึงเลี้ยงมันเหมือนหลานจริงๆ
“อ้าว แขกมาแล้ว” นักพรตเฒ่าเงยหน้า เห็นโจวเจ๋อเดินเข้ามา จึงยื่นมือชี้ไปที่ป้ายแล้วพูดว่า “ร้านนี้ต้องซื้อของอย่างน้อยหนึ่งพัน”
เขาจำได้ว่าตอนแรกการซื้อขั้นต่ำคือ ‘หนึ่งร้อย’ แต่เนื่องจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนพร้อมกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่พัฒนาสังคมให้ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง เป็นผลทำให้ถึงแม้จะแขวนป้ายไว้ว่า ‘ใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งร้อย’ แต่ก็ยังมีลูกค้าเข้ามาไม่น้อย ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ‘หนึ่งพัน’ คาดว่าด้วยอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยภายในสองสามปีนี้คนส่วนใหญ่จะเสียดายไม่อยากเข้ามาจับจ่ายใช้สอย
โจวเจ๋อพยักหน้า ไม่พูดอะไร นักพรตเฒ่าเห็นโจวเจ๋อไม่สั่งของ จึงขี้เกียจสนใจเขา แล้วจึงหาเหาให้เจ้าลิงต่อ
ร้านหนังสือให้บริการลูกค้าคนเป็น ไม่เคยกระตือรือร้นเท่ากับบริการลูกค้าที่เป็นคนตาย นี่คือประเพณีและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“วันนี้อากาศดีนะ” สวี่ชิงหล่างเดินลงมาจากบันได วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีฟ้า ดูแล้วเท่มาก พูดจริงๆ นะความอ่อนช้อยอาจจะมีมาแต่กำเนิด แต่เหล่าสวี่ไม่เคยแสร้งทำเป็นผู้หญิงเพื่อให้คนอาเจียนเลยสักครั้ง มีหน้าตาสะสวย ไม่ใช่ความผิดของเขา หน้าตาสวยกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกัน
ดูจากการพูดจาและท่าทางยามปกติของเขา จริงๆ แล้วเขาก็แมนมากเหมือนกัน
“เหล่าสวี่” โจวเจ๋อเห็นตัวเขาที่นั่งอยู่บนโซฟาโบกมือให้สวี่ชิงหล่าง “เหล่าสวี่ ฉันจะบอกข่าวดีกับนาย”
“เรื่องอะไร”
“ดูเหมือนภาษีโรงเรือนและที่ดินจะออกมาแล้วจริงๆ”
“…” สวี่ชิงหล่าง
“เหอะๆ” หลังจากแบ่งปันความสุขกับเหล่าสวี่แล้ว ตัวเขาที่นั่งอยู่บนโซฟาก็อ่านหนังสือพิมพ์ของตัวเองต่อไปสำหรับค่าบ้าน ตัวเขาเกลียดมันจริงๆ ชาติที่แล้วลำบากทำงานตั้งนาน แต่กลับซื้อได้แค่บ้านหลังเล็กๆ เท่านั้น
รายได้ของเขา ตอนที่เป็นเหมอเคยรับงานผ่าตัดข้างนอกเป็นครั้งคราว จริงๆ แล้วถือว่ารายได้ดีพอสมควร ถือว่ามีรายรับมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง ทว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้า ตัวเขาไม่ได้มีกระเป๋าสตางค์หกใบ
สวี่ชิงหล่างเข้าไปในห้องครัว ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงนวดแป้ง โจวเจ๋อจำได้ว่า เมื่อก่อนเหล่าสวี่เปิดร้านบะหมี่อยู่ข้างร้านหนังสือของสวีเล่อ แขวนป้ายว่าร้านบะหมี่ ขายแบบเดลิเวอรี่ เหล่าสวี่ทำบะหมี่ ถือว่าสุดยอดที่หนึ่งจริงๆ
ครั้งที่แล้วบะหมี่หมูเส้นผักกาดดอง ทำให้ชุ่ยฮวาที่มาจากนรกเอ่ยชมไม่ขาดปาก พูดไปกินไป แทบจะกินจนเกลี้ยงชาม
“เย้ๆๆ เถ้าแก่ เมื่อกี้ข้าชนะด้วยเจ้าค่ะ!” อิงอิงวิ่งลงมาด้วยความดีใจอย่างมาก แล้วอ้อนตัวเขาคนนั้นที่อยู่บนโซฟา
เธออ้อนได้น่ารักมาก อิงอิงที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้ากลับเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ทันใดนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่านี่คือเวลาที่ว่างที่สุดของร้านหนังสือ เหล่าสวี่ยังไม่เคยเจอเรื่องอาจารย์ของเขา แล้วเปลี่ยนเป็นวาดยันต์อย่างบ้าระห่ำ นักพรตเฒ่าเพิ่งรู้จักเจ้าลิง อิงอิงยังคงหมกมุ่นอยู่กับเกมกินไก่ที่ฮิตในช่วงแรกซึ่งตอนนี้เริ่มไม่เป็นที่นิยมแล้ว
สาวน้อยโลลิยังไม่เข้ามา และไม่เห็นเงาของทนายอัน ทุกคนใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายอยู่ในร้านหนังสือด้วยกัน จากนั้นรอผีเข้าร้านทำธุรกิจทุกคืน ฟังเรื่องราวและพูดคุยกับพวกเขา ไม่มีเรื่องยุ่งยากใจและไม่มีเรื่องวุ่นวายใจขนาดนั้นช่วงเวลาที่แสนสบายผ่านไปอย่างเงียบๆ
โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหรี่ตา จากนั้นจึงเดินไปฝั่งตรงข้ามตัวเองคนนั้นแล้วนั่งลง
ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่เขานั่งลงและมองตัวเองที่อยู่ตรงข้าม ซึ่งกำลังนอนสบายเหมือนเก่อโยว จิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ นอนอาบแดด ท่าทางขี้เกียจ ไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง แถมยังทำท่ามีความสุขกับตัวเองแบบนั้น จู่ๆ โจวเจ๋อกลับควบคุมมือของตัวเองไม่อยู่ เกิดอารมณ์หุนหันอยากเข้าไปต่อยเขา ขณะเดียวกัน โจวเจ๋อได้นึกถึงอีกอย่าง ตำแหน่งที่ตัวเองนั่งอยู่ตอนนี้ ปัจจุบันเป็นตำแหน่งที่ทนายอันนั่งบ่อยที่สุดในร้านหนังสือ เวลาที่ตัวเองอ่านหนังสือพิมพ์ดื่มกาแฟอยู่ตรงนั้นทุกวัน ทนายอันชอบมานั่งตรงข้ามตัวเอง ไอ้เลว ไอ้หมอนี่อยากต่อยฉันเหรอ!
…
ด้านนอกร้านหนังสือ ผู้ชายใส่เสื้อสเวตเตอร์สีดำเดินมาช้าๆ เขาไม่ได้เข้าไป แต่ยืนมองอยู่ที่หน้าประตูร้าน
ใกล้แล้วๆ จะลงมือแล้วใช่ไหม เจ้าจงรำลึกนึกถึงอดีตต่อไปอีกนิด นี่คือความโชคดีที่ข้ามอบให้เจ้า ขณะเดียวกันก็คือความโชคดีครั้งสุดท้ายของเจ้า
‘ตึกๆ!’ ปากกาที่ปักอยู่ตรงหน้าอกสั่นสะเทือนขึ้นมา ผู้ชายต้องคุกเข่าอย่างช่วยไม่ได้ มือข้างหนึ่งกดแผลไว้แน่น
“เหอะๆ เจ้ากำลังกลัวใช่ไหม แต่เจ้าขัดขวางข้าไม่ได้ ขัดขวางไม่ได้ เขาให้โอกาสนี้กับข้า จากนั้นข้าจึงพายเรือตามน้ำมอบโอกาสนี้ให้เขาไปด้วย เจ้า เจ้าได้แต่มองดูอยู่ข้างๆ ไม่สมัครใจใช่ไหม ไม่สมัครใจอย่างมากใช่ไหม งั้นเจ้าก็เข้าไปบอกเขา ไปเตือนเขา ขอแค่เจ้าออกไป สร้างจิตสำนึกที่เป็นรูปธรรมแล้วสื่อสารกับมัน ผนึกนี้จะหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เจ้าไม่มีวิธี ไม่มีวิธีเลย ใช่ไหมล่ะ”
‘ตึกๆ!’ ปากกาสั่นสะเทือนอีกครั้ง จากนั้นแรงสั่นสะเทือนเริ่มอ่อนลง
“เป็นอะไร ยอมแพ้แล้วเหรอ”
‘ตึกๆ!’ ปากกาสั่นสะเทือนอีกครั้ง
“ช่วยทะนุถนอมเวลาที่เจ้าได้ปิดผนึกข้าเถอะ อีกไม่ช้า เจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์แล้ว สักวันหนึ่งสามารถปิดผนึกข้าได้หนึ่งครั้ง นับเป็นเกียรติของเจ้าและเจ้านายคนนั้นที่เจ้าสร้างในตอนนั้น”
‘กรึก…’ ปลอกปากการ่วงบนพื้น หมุนไปหนึ่งรอบ
ผู้ชายมองปลอกปากกาที่อยู่บนพื้น ใบหน้าที่อาบด้วยรอยยิ้มก่อนหน้านี้เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมาด้วยความโกรธ ตวาดเสียงต่ำ “เจ้ากำลังพูดว่าข้ากลัว เหอะๆ ตลก ข้าต้องกลัวอะไร”
………………………………………………………………………..